ตอนที่ 41 เธอทำเรื่องที่เซอร์ไพรส์เขาสุดๆ

เดิมพันเสน่หา

หนานกงเยี่ยทนไม่ไหวจึงปรายตามองมู่เฉิงซีด้วยความเย็นยะเยือก จากนั้นก็ก้าวเท้าใหญ่เดินจากไป 

 

 

พอมู่เฉิงซีจับตามองหนานกงเยี่ยที่กำลังเดินไป เขายังคงทำสีหน้าที่กังวลใจ พวกเขาเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่เด็กจนโต เขาไม่อยากให้หนานกงเยี่ยพังพินาศด้วยน้ำมือของผู้หญิงคนหนึ่ง 

 

 

อวี้ไป่หันตบไหล่ของมู่เฉิงซี แล้วพูดปลอบขึ้น “พอเถอะ อย่ากังวลไปเรื่อยเปื่อยเลย หนานกงคือใคร แกเคยเห็นมันยอมให้เรื่องๆ หนึ่งเหนือการควบคุมของมันไหม การที่ผู้ชายปล่อยตัวเพื่อผู้หญิงเป็นครั้งคราวก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” 

 

 

“หวังว่าจะเป็นแบบนั้น” มู่เฉิงซีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไปหนึ่งที จากนั้นก็สาวเท้าก้าวใหญ่เดินออกจากไนท์คลับเฟิ่งหวงไถ 

 

 

หนานกงเยี่ยเดินเร็วมาก เขามัวแต่เดินไล่ตามเหลิ่งรั่วปิง และอยากจะรีบกลับวิลล่าหย่าเก๋อไปพร้อมๆ กับเธอ จูบอันดูดดื่มเมื่อกี้ยังไม่ถึงจุดสุดยอดเลย ตอนนี้ทำให้เขากำลังอดใจไม่ไหว ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอตามใจเขา ในใจของเขาจึงรู้สึกเลิศลอยขึ้นมาเล็กน้อย 

 

 

จริงๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ฟังคำบอกเตือนของมู่เฉิงซีเลย เขายอมรับว่าอารมณ์ของเขาถูกเหลิ่งรั่วปิงกระตุ้นให้ขึ้นๆ ลงๆ อยู่บ่อยครั้ง ทว่าเขายังคงเชื่อมั่นว่าเขาสามารถควบคุมทุกอย่างได้ ใครก็ไม่มีทางอยู่เหนือจากการควบคุมของเขาได้ และแน่นอนว่าเขาจะไปสืบที่มาที่ไปของเหลิ่งรั่วปิง ก่อนที่เขาจะแน่ใจว่าเธอเป็นอันตรายต่อเขาหรือไม่ เขายังคงอยากจะเสพสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ไม่มีผู้หญิงคนไหนทำให้เขาความรู้สึกแบบนี้มาก่อน บางครั้งจู่ๆ เขาก็รู้สึกโมโหอย่างควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ บางครั้งอยู่ดีๆ ไฟแห่งความโมโหนั้นก็ดับลงอย่างไร้เหตุผล ความรู้สึกแบบนี้มันน่าแปลก 

 

 

พึ่งจะเดินไปถึงห้องโถงของไนท์คลับเฟิ่งหวงไถ ก่วนอวี้ก็วิ่งมาอย่างใจร้อน “คุณชายเยี่ยครับ แย่แล้วครับ จู่ๆ คุณเหลิ่งก็ขับรถแล้วตามรถสามคันที่ไม่รู้จักไป ท่าทางดูเร่งรีบมากๆ”  

 

 

หนานกงเยี่ยนิ่งอึ้งไปสักพัก เหลิ่งรั่วปิงเป็นคนประเทศซีหลิง เธอมาที่เมืองหลงตามลำพัง นอกจากเขาแล้ว เธอยังจะรู้จักใครกัน? 

 

 

“ตามเธอไป” เขาไม่คิดอะไรมากกว่านี้ หนานกงเยี่ยก้าวเท้าใหญ่เดินผ่านห้องโถง และเดินออกจากประตูไป จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งบนรถของตัวเอง ก่วนอวี้ก็รีบขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งคนขับ 

 

 

ตอนที่รถใกล้จะขับเคลื่อนไปข้างหน้า มู่เฉิงซีก็รีบนั่งขึ้นไปบนรถของหนานกงเยี่ย 

 

 

หนานกงเยี่ยไม่ได้สนใจเขา แค่ออกคำสั่งบอกให้ก่วนอวี้รีบออกรถ เขาเป็นห่วงเหลิ่งรั่วปิงกลัวว่าจะเกิดเรื่องอันตรายอะไรกับเธอ 

 

 

ตอนนี้ยังไม่ดึกมาก บนถนนยังมีรถสัญจรไปมาไม่น้อย เหลิ่งรั่วปิงเร่งคันเร่งสุดขีด เพื่อที่จะไล่ตามรถเก๋งสีดำสามคันข้างหน้า รถพวกนั้นขับไปซ้ายทีขวาที เหมือนกำลังขับรถแข่งเล่น และตอนนี้เธอก็เหมือนสปายมากๆ 

 

 

เมื่อกี้ตอนอยู่หน้าประตูทางเข้าของไนท์คลับเฟิ่งหวงไถ จู่ๆ เธอก็เห็นด้านในของรถคันข้างหน้า มีคนๆ หนึ่งที่มีความสำคัญกับเธอมากๆ นั่งอยู่ เธอคือเวินอี๋ คือผู้มีพระคุณที่ยอมเสี่ยงตายเพื่อเข้าไปช่วยเธอออกจากไฟไหม้ในครั้งนั้น 

 

 

ตอนนั้นที่จากกัน เวินอี๋มีอายุแค่สิบสองขวบ นี่ก็ผ่านมาสิบปีแล้ว เธอเปลี่ยนไปเยอะมาก ตามหลักความเป็นจริงแล้วเธอไม่มีทางมองเธอออกภายในพริบตาเดียวหรอก ทว่าแผลตรงหลังคอของเวินอี๋เหมือนเป็นสัญลักษณ์ ทำให้เธอสามารถรู้ได้ทันทีว่านั่นคือผู้มีพระคุณของตัวเอง 

 

 

ตอนนั้น เวินอี๋ช่วยเธอ ทำให้เธอถูกไฟครอกตรงหลังคอ และทำให้มีรอยแผลเป็นสีม่วงที่ที่รูปทรงเหมือนดอกกุหลาบดอกใหญ่และดอกเล็กผสมปะปนกันไป พอได้เห็นรอยแผลเป็นนั่น ในใจของเหลิ่งรั่วปิงรู้สึกเจ็บปวดมาก 

 

 

เห็นได้ชัดเจนว่าเวินอี๋ที่อยู่ในรถไม่ได้เต็มใจตามคนพวกนั้นไป มือสองของเธอถูกมัดเอาไว้ และยังถูกผ้าเก่าๆ ยัดผ้าปากเอาไว้ ข้างๆเธอมีคนแก่ที่หน้าตาน่าเกลียดและน่ากลัว 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงไม่ทันได้คิดอะไร ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือช่วยชีวิตเวินอี๋ ดังนั้นเธอจึงลากตัวคนขับของตัวเองออกมา แล้วเดินเข้าไปนั่งบนที่นั่งคนขับ จากนั้นก็เหยียบคันเร่งให้สุดแล้วพุ่งตัวออกไปอย่างแรง 

 

 

เวลานี้ เธอไม่สนใจว่าเรื่องที่เธอมีความสามารถด้านการต่อสู้จะถูกเปิดเผย ไม่สนใจว่าหนานกงเยี่ยจะมีทีท่ายังไง เธอมีความคิดเดียวก็คือช่วยชีวิตเวินอี๋ไว้ ต่อให้ต้องสูญเสียอะไรก็ตาม เพราะนั่นคือผู้มีพระคุณของเธอ! 

 

 

นัยน์ตาของหนางกงเยี่ยค่อยๆ เย็นยะเยือกขึ้นมา ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเธอทำเรื่องที่เซอร์ไพรส์เขาสุดๆ