เล่ม 1 ตอนที่ 37 เรื่องแปลกที่ไม่น่าแปลก

ราชินีพลิกสวรรค์

ข้างๆ หูมีเสียงลมโหยหวน และความรู้สึกของการร่วงลงทำให้ลมเหล่านี้เปลี่ยนเป็นแหลมคมดุร้ายยิ่งขึ้น 

 

 

ข้างหน้าของเจียงหลี ยิ่งมืดมน 

 

 

“อย่ากลัวเลย” ข้างหูของเจียงหลี มีเสียงที่ผ่อนคลายของลู่เจี้ยดังมา 

 

 

กลัวหรือ 

 

 

นางไม่ได้กลัว เพียงแค่อยากรู้ว่านี่คือที่ไหน ลู่เจี้ยจะพานางไปที่ไหน แล้ว … ความอ่อนโยนอย่างกะทันหันนี่มันอะไรกัน 

 

 

… 

 

 

ท่ามกลางซากปรักหักพังบนพื้นดิน นักฆ่าทั้งสามกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง แต่พวกเขามองเห็นลู่เจี้ยและเจียงหลีหายไปต่อหน้า 

 

 

“มีกลไกอยู่ใต้ตั่งนั้น” 

 

 

“มิน่าเขาจึงดูไม่หวาดกลัวเลย” 

 

 

“ภารกิจนี้ล้มเหลว พวกเราจะทำอย่างไร” 

 

 

ทั้งสองคนที่อยู่ทางด้านซ้ายและขวา ขอคำแนะนำจากบุคคลที่เป็นหัวหน้า 

 

 

บุคคลที่เป็นหัวหน้ากะพริบตาและสั่งว่า “ไป” ภารกิจล้มเหลว ไม่มีประโยชน์ที่พวกเขาจะตายที่นี่ ควรถอนตัวก่อนดีกว่าและรอโอกาสต่อไป 

 

 

“ไปรึ พวกเจ้าคิดว่าจะไปได้อย่างนั้นหรือ” อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เสียงของเขาเงียบลง ก็มีเสียงที่เย็นชาและน่ากลัวดังออกมา 

 

 

‘เงา’ ยืนขึ้น มันอดกลั้นเอาไว้นานแล้ว ในที่สุดก็สามารถฆ่าคนได้แล้ว 

 

 

ในทุกทิศทาง มีลมหายใจแผ่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง พวกเขาล้วนเป็นปรมาจารย์ของตระกูลลู่ที่เคลื่อนไหวหลังจากได้รับข่าว เศษสวะสามตัวนี้ที่อยู่ตรงหน้า ยังคิดที่จะหนีอีกงั้นหรือ 

 

 

ช่างน่าขันเสียจริง 

 

 

… 

 

 

ผลของการลอบสังหารบนพื้นด้านบนนั่น เป็นข้อสรุปที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว 

 

 

ตามอุโมงค์ลับนี้ ลู่เจี้ยและเจียงหลีร่วงหล่นไปยังห้องมืดที่ตกแต่งอย่างสวยงาม 

 

 

ทางออกของเส้นทางลับนี้บังเอิญเป็นเตียงหลังหนึ่งของห้องมืด ผ่อนคลายความปวดเมื่อยของพวกเขาได้พอดี 

 

 

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ลู่เจี้ยถาม 

 

 

เจียงหลียิ้มอย่างขมขื่น “ข้าอ่อนแอไม่มีแรง ไม่สามารถขยับแขนขาได้ เจ็บลึกจากเนื้อไปถึงกระดูก” 

 

 

“อืม ถ้าเจ้าฝืนต่อสู้มากเกินไปก็จะมีผลเช่นนี้แหละ” ลู่เจี้ยสรุป 

 

 

เจียงหลีรู้เรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว 

 

 

แต่อย่างไรก็ตามนางไม่สามารถเฝ้าดูลู่เจี้ยตายไปต่อหน้า เพราะนางกลัวผลที่จะตามมา หากลู่เจี้ยตายไป ตระกูลลู่จะฝังตนไปด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ การช่วยเขาก็เป็นการช่วยตัวเองด้วย 

 

 

“ฉีกเวหา นี่เป็นความสามารถในการต่อสู้ของเลี่ยเทียนซื่อหรือ” แม้ว่าลู่เจี้ยจะใช้ประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงของเขาก็เป็นการยืนยัน 

 

 

“ใช่” เจียงหลีไม่มีอะไรต้องปกปิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ 

 

 

“พรสวรรค์นี้เป็นทักษะการต่อสู้ที่ทรงพลังมาก เจ้าฝึกฝนให้ดี สถานะที่สูงขึ้น เจ้าก็ยิ่งมีพลังมากขึ้น เช่นนั้น ก็จะไม่ถูกข่มเหงให้อับอายเช่นในวันนี้” ลู่เจี้ยกล่าว 

 

 

เจียงหลีไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองไปที่ลู่เจี้ย 

 

 

เนื่องจากท่าทางที่ตกลงมาก่อนหน้านี้ ขณะนี้นางจึงทับอยู่บนร่างของลู่เจี้ย ท่าทางของทั้งสองคนค่อนข้างคลุมเครือ ถึงขั้นดูไม่ค่อยงามอยู่บ้าง 

 

 

“นี่ ข้าขยับไม่ได้ ท่านเว้นที่ให้ข้าหน่อย ขยับออกไปหน่อยได้ไหม” เจียงหลีพูดอย่างไม่พอใจ 

 

 

“ข้าเองก็ขยับไม่ได้เหมือนกัน” ลู่เจี้ยตอบ 

 

 

ก่อนหน้านี้ เขาช่วยเจียงหลีในการผสานกับเลี่ยเทียนซื่อ พลังจิตถูกถอนออกไป ยังไม่ฟื้นตัวดีจากครานั้น แล้วต้องเผชิญกับการถูกลอบสังหารอีก 

 

 

การใช้พลังจิตไปกระตุ้นโรคเก่าๆ ในร่างกาย ตอนนี้อาการของเขาไม่ได้ดีไปกว่าเจียงหลีสักเท่าไหร่ 

 

 

“…” คำตอบของเขาทำให้เจียงหลีพูดไม่ออก 

 

 

เอาเถอะ ทั้งสองในเวลานี้คนหนึ่งนอนอยู่ด้านบนอีกคนอยู่ด้านล่าง งั้นก็นอนอยู่แบบนี้ต่อไปเถอะ 

 

 

“ท่านจะฟื้นกำลังได้เมื่อไหร่” 

 

 

“ไม่ทราบ” 

 

 

“…” 

 

 

เจียงหลีตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อสถานการณ์ปัจจุบัน รอไปเถอะ รอจนกว่าจะมีคนมาหาพวกเขา หรือไม่ก็รอจนกว่าหนึ่งคนในนี้จะฟื้นตัวได้ 

 

 

“คนพวกไหนกันที่จะฆ่าท่าน” ความเงียบทำให้ร่างกายของเขาเจ็บปวดมากขึ้นเจียงหลีก็ตัดสินใจที่จะหาอะไรทำ 

 

 

“ไม่รู้” ลู่เจี้ยพูดอย่างสงบ 

 

 

คำตอบนี้ ทำให้เจียงหลีพูดไม่ออก เป็นเพราะมีคนที่อยากฆ่าเขามากเกินไปหรือเปล่า “ทำไมไม่ส่งเนี่ยนซือมาลอบสังหารเล่า หึ นี่ส่งพวกหลิงซือมาแค่ไม่กี่คน…” นางเบะปาก ไม่ใช่ว่านางดูถูกนักฆ่าพวกเหล่านั้น แต่ส่งคนแบบนั้นมาลอบสังหาร เป็นมาการรนหาที่ตายโดยแท้ 

 

 

“บุคคลที่มีระดับการฝึกฝนเหนือกว่าของหลิงเจี้ยงขึ้นไป เมื่อเข้าไปในจวนแล้วก็จะถูกเหล่าองครักษ์พบเห็นได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น การฝึกฝนจึงไม่ควรสูงเกินไป อย่างไรก็ตาม การที่จะฆ่าคนไร้ค่าอย่างข้านี้ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้คนที่มีระดับการฝึกฝนที่สูง” ลู่เจี้ยพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบเพื่อช่วยไขความสงสัยของเจียงหลี 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่รอให้ท่านออกไปข้างออกแล้วฆ่า ต้องการเสี่ยงเข้าไปในบ้านทำไมกัน” เจียงหลีถามอีกครั้ง 

 

 

ลู่เจี้ยกล่าวว่า “ข้าเป็นคนเรียบง่ายมาตลอด จะรอโอกาสที่ให้ข้าออกไปนั้นยากยิ่งกว่าถ้าข้าต้องการออกไป ไม่มีผู้พิทักษ์ผู้เชี่ยวชาญอยู่อย่างลับๆ อย่างนั้นหรือ ในทางตรงกันข้ามแอบเข้าไปในจวนเช่นนี้ และคว้าโอกาสไว้ โอกาสในการชนะก็จะยิ่งมากกว่า” 

 

 

เจียงหลีเป็นคนฉลาด นางเข้าใจทันทีในคำพูดของลู่เจี้ย ดูเหมือนว่า โอกาสการลอบสังหารในเวลาที่ไม่เป็นเวลาคราวนี้ เป็นความตั้งใจของลู่เจี้ยด้วย และมันก็ไม่น่าจะปลอมได้ ตระกูลลู่ที่มีกำแพงเป็นทองแดงและกำแพงเหล็กนี้ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ต้องการเห็น อย่างไรก็ตาม มือลอบสังหารในวันนี้ ลู่เจี้ยได้คาดเดาไว้ตั้งแต่ต้นแล้วหรือ 

 

 

“เมื่อเป็นนักฆ่าพลีชีพ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป” เจียงหลีพูดอย่างกะทันหัน 

 

 

ลู่เจี้ยพูดว่า “อืม” 

 

 

เจียงหลีนอนอยู่บนตัวลู่เจี้ย และพูดอย่างสงสัยว่า “ท่านใจเย็นมาก” 

 

 

“ยิ่งถูกลอบสังหารมากเท่าไหร่ ก็จะสงบลงได้โดยธรรมชาติ” ลู่เจี้ยตอบ 

 

 

“…” เอาเถิด เจียงหลีจะพูดอะไรได้อีก 

 

 

“หลีเอ๋อร์…” 

 

 

“หยุดๆๆ จู่ๆ ท่านเรียกข้าเช่นนี้ ข้ารู้สึกไม่ชิน” เจียงหลีขัดจังหวะการพูดของลู่เจี้ยอย่างรวดเร็ว 

 

 

ลู่เจี้ยหัวเราะเบาๆ “ข้าเป็นนายและเจ้าเป็นทาส ถ้าเป็นความต้องการของข้า จะเปลี่ยนชื่อเจ้ายังสามารถทำได้เลย ในตอนนี้ แค่เรียกแบบนี้ เจ้าก็ไม่พอใจแล้วเหรอ” 

 

 

“…” เจียงหลีพูดไม่ออก หลังจากนั้นไม่นานนางก็พึมพำ “ท่าทีของท่านที่มีต่อข้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน รู้สึกเหมือนจะมีแผนการบางอย่าง” 

 

 

มุมปากของลู่เจี้ยยิ้มเล็กน้อย “หลีเอ๋อร์ ตระกูลลู่ของข้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไรบ้าง” 

 

 

หืม?! 

 

 

คำถามนี้ เจียงหลีครุ่นคิดอย่างรอบคอบ แม้ว่านางจะเป็นทาสของตระกูลลู่แต่ก็ไม่เคยต้องรับความไม่เป็นธรรม ตรงกันข้าม ตระกูลลู่กลับสนับสนุนนางแทน แน่นอนว่ามีองค์ประกอบของผลประโยชน์ระหว่างนางและลู่เจี้ย แต่เขาเต็มใจที่จะเอาวิญญาณยุทธ์อย่างเลี่ยเทียนซื่อออกมา มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้นางเป็นหนี้ตระกูลลู่แล้วครั้งหนึ่ง 

 

 

“ในอนาคตถ้าเจ้าฝึกฝน ตระกูลลู่จะจัดหาทรัพยากรแก่เจ้าให้มากที่สุด และบ่มเพาะเจ้า” 

 

 

“ท่านต้องการอะไร” เจียงหลีถามอย่างตื่นตัว 

 

 

ความตื่นตัวของนาง เป็นไปอย่างที่ลู่เจี้ยคาดไว้ เขาพูดอย่างสงบว่า “เจ้าเป็นผู้มีเนตรญาณเก้าดวงในตำนาน ตราบที่เจ้าฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ก็จะไปถึงจุดสูงสุดในไม่ช้า ขอเพียงเจ้าให้สัญญากับข้า ในภายภาคหน้า เมื่อเจ้ามีความสามารถแล้ว ให้ปกป้องตระกูลลู่” 

 

 

เจียงหลีมองเขาอย่างแปลกๆ ทำไมนางถึงรู้สึกว่าคำพูดของลูเจี้ยนี้ เหมือนจัดแจงเรื่องต่างๆ ไว้ล่วงหน้า 

 

 

“ได้” แม้ว่าจะแปลกใจเล็กน้อย แต่เจียงหลีก็ตอบตกลง 

 

 

นางประทับใจตระกูลลู่ ถ้าตระกูลลู่ซื่อสัตย์ต่อนาง นางก็จะซื่อสัตย์และตอบแทนเช่นกัน 

 

 

ทันใดนั้น แววตาของเจียงหลีก็เปล่งประกาย พร้อมทั้งหัวเราะแล้วพูดว่า “ลู่เจี้ย ท่านช่างเจ้าเล่ห์เสียจริง” ชายคนนี้ เมื่อรู้ว่าตนมีพรสวรรค์ เขาก็เปลี่ยนแผนการ ไม่ปฏิบัติต่อนางเหมือนคนตายอีกต่อไป แต่เปลี่ยนใจฝึกฝนนางให้เป็นคนแข็งแกร่งที่สุดของตระกูลลู่ 

 

 

มิน่าล่ะ ท่าทีของเขาที่มีต่อนางจึงเปลี่ยนไป 

 

 

เห็นได้ชัดว่าการใช้ประโยชน์แบบนี้ ไม่เป็นที่พอใจของผู้อื่นมากนัก แต่บังเอิญว่าเขาได้วางแผนอย่างตรงไปตรงมาและนางก็ตอบตกลงเป็นการส่วนตัวด้วย 

 

 

โดยพื้นฐานแล้ว มันสามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ระหว่างนางและตระกูลลู่ที่อาจมีในอนาคตได้ด้วย 

 

 

“อืม” ทันใดนั้นลู่เจี้ยก็ถอนหายใจ และใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย 

 

 

เจียงหลีรีบถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านเป็นอะไรไป” 

 

 

หลังจากที่ถาม นางรู้สึกว่ามีพลังแปลกๆ รั่วไหลออกมาจากตัวลู่เจี้ย ซึ่งดูดซึมโดยร่างกายของนาง และหลังจากที่นางดูดซับมัน เสี่ยวหมีเจี้ยจื่อที่หลับใหลอยู่นานก็คลายออกเล็กน้อย…