สำนักเทียนซือถูกจัดตั้งขึ้นโดยสามสหายสี่สำนักหกตระกูล เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการของ สำนักเทียนซือที่ตั้งอยู่เมืองเสวียนนั้นเปรียบเสมือนสำนักงานใหญ่ของศิษย์เสวียนเหมินทั้งหมด การสอบขึ้นทะเบียนปีละสองครั้งถือเป็นงานที่ใหญ่ที่สุดของสำนสักเทียนซือหรือแม้กระทั่งทั้งเสวียนเหมิน ดังนั้นเมื่ออวิ๋นเจี่ยวและไป๋อวี้มาถึง ทั้งเมืองคึกคักมากเป็นพิเศษ ทั้งถนนเต็มไปด้วยศิษย์เสวียนเหมินที่สวมชุดนักพรต บางคนถือดาบไม้ท้อบางคนถือเครื่องมือวิเศษ แต่ละคนล้วนเผยกลิ่นอายเทพเซียนของหมอผี

 

 

เดิมไป๋อวี้และอวิ๋นเจี่ยวออกเดินทางสายอยู่แล้ว ห่างกับเวลาสอบเพียงวันเดียว เมื่อพวกเขามาถึงก็พบว่าโรงเตี๊ยมในเมืองนั้นเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งสองเดินวนเวียนอยู่สักพักก็ยังหาที่พักไม่ได้ กำลังคิดอยู่ว่าจะไปพักที่ไหนในคืนนี้ ก็หันไปเห็นร่างที่คุ้นเคย

 

 

“ตาไป๋ สหายอวิ๋น ที่นี่ๆ !” พวกเขาเห็นชายคนหนึ่งในชุดสีเขียวจากระยะไกล เขากำลังกวักมือเรียกทั้งสอง ชายร่างใหญ่ที่มีใบหน้าดุร้ายและมีเคราทั่วหน้าช่างโดดเด่นในกลุ่มศิษย์เสวียนเหมินร่างผอมบาง

 

 

“ตาโจว!” ไป๋อวี้ตกตะลึงครู่หนึ่งกวาดตามองเขาขึ้นลง “ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่”

 

 

“ขนาดเจ้ายังมาที่นี่ ข้าก็ต้องลองมาเสี่ยงโชคหน่อย!” ตาโจวยิ้มตอบ จากนั้นหันไปทักทายอวิ๋นเจี่ยว และพูดอย่างเคร่งขรึม “แต่พวกเจ้าก็มาช้าไปหน่อยไหม พรุ่งนี้ก็เป็นวันขึ้นทะเบียนแล้ว ห้องพักในเมืองนี้ถูกจองเต็มเมื่อสามวันก่อนแล้ว” เขาพูดและมองไปที่อวิ๋นเจี่ยว “ข้าคิดไว้อยู่แล้วว่าเจ้าคงจะไม่สะดวกที่พาสหายอวิ๋นมาด้วย คงต้องหาที่พักเป็นแน่ ดังนั้นข้าเลยช่วยพวกเจ้าจองห้องล่วงหน้าไว้แล้ว” เขาชี้ไปที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ด้านหลัง

 

 

ไป๋อวี้สีหน้าดีใจ ตบไปที่หลังของเขาอย่างแรง “ตาโจว ขอบคุณมาก” ในที่สุดก็มีที่อยู่

 

 

“ขอบคุณลุงโจว” อวิ๋นเจี่ยวก็เอ่ยขอบคุณเขา ตาโจวน่าพึ่งพาได้มากกว่าตาแก่ไป๋อวี้มาก

 

 

“เกรงใจอะไร เรียกข้าว่าตาโจวก็พอ” ตาโจวยิ้มแล้วพาทั้งสองคนไปหาเจ้าของโรงเตี๊ยม ก่อนจะหันกลับมาพูดว่า “เจ้าของร้าน ป้ายห้องชั้นดีสองใบที่ข้าจองไว้อยู่ไหน เพื่อนข้ามาแล้ว”

 

 

“อยู่นี่!” เจ้าของร้านรีบหยิบป้ายห้องพร้อมกุญแจออกมาแล้วยื่นให้ “มาห้องชั้นดีสองห้อง”

 

 

ไป๋อวี้เอื้อมมือไปรับ และกำลังจะหันหลังกลับ ชายหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ เขาและพูดเสียงดังว่า “เจ้าของร้าน ข้าก็จะเอาที่ห้องชั้นดีหนึ่งห้อง”

 

 

“เอ่อ…” เจ้าของร้านมองชายหนุ่มด้วยความลำบากใจ “ขอโทษทีท่าน ร้านของเราเต็มแล้ว”

 

 

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว หันหน้าไปมองทั้งสามคนข้างๆ “เจ้าเพิ่งให้ห้องสองห้องแก่พวกเขาไม่ใช่หรือ ทำไมพอมาถึงข้าก็ไม่มีแล้ว”

 

 

“ขอโทษด้วยท่าน สองห้องนี้เป็นสองห้องสุดท้ายแล้ว อีกทั้งแขกผู้นี้ก็จองไว้ตั้งแต่สามวันก่อนแล้ว” เจ้าของร้านชี้ไปที่ตาโจว

 

 

คิ้วของชายหนุ่มขมวดมากขึ้น เขามองดูป้ายห้องสองใบในมือของไป๋อวี้ หันหน้ามองดูสามคนข้างๆ อย่างไม่เต็มใจเล็กน้อย กวาดตามองขึ้นลงไปยังทั้งสามคน ดวงตาของเขากวาดสายตามองไปยังข้างเอวอย่างตั้งใจ ราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง เมื่อพบว่าไม่มีสิ่งนั้น ถึงได้เอ่ยด้วยความเหนือกว่าว่า “พวกเจ้า ให้ข้าห้องหนึ่ง ข้าจะจ่ายเป็นสองเท่าของราคาห้อง “

 

 

เขาพูดอย่างได้ใจ ราบกับว่ามันเป็นเกียรติอย่างยิ่งหากพวกเขายอมให้ห้องไป ทั้งสามคนรู้สึกว่าคำพูดนี้มันช่างบาดหู ไป๋อวี้และตาโจวขมวดคิ้วในทันที “ขออภัยด้วยท่าน เราจองห้องไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่สะดวกที่จะให้ท่าน”

 

 

ชายหนุ่มส่งเสียในลำคออย่างเย็นชา ดูเหมือนไม่สนใจการปฏิเสธของเขา เสนอราคาออกมา “ข้าให้เงินสามสิบตำลึง ตกลงหรือไม่?”

 

 

ไป๋อวี้รู้สึกโกรธอย่างมาก เขาเหลือบมองชายหนุ่มแล้วส่ายหัวตอบ “เรามีกันสามคน คงไม่สะดวก”

 

 

“ห้าสิบตำลึง!” ชายหนุ่มขึ้นราคาต่อ “ห้าสิบตำลึงคงจะพอแล้ว พวกเจ้าสามารถเช่าห้องที่นี่ได้สองปี อีกอย่างพวกเจ้าเป็นชายทั้งสองคนไม่ใช่หรือ เบียดกันในห้องเดียวไม่ได้หรือไง แล้วยังได้เงินอีกห้าสิบตำลึงไปด้วย”

 

 

ไป๋อวี้โกรธมาก เขาไม่เคยเห็นชายหนุ่มที่ไม่สุภาพเช่นนี้มาก่อน เดิมทีเขาก็คิดเช่นนี้ แต่พอชายหนุ่มพูดอย่างนั้น เขาก็ไม่อยากให้ห้องไป “ไม่ สะ ดวก!”

 

 

ชายหนุ่มก็รู้สึกเคืองขึ้นมาเล็กน้อย กวาดตามองทั้งสามคนแล้วโพล่งออกมาว่า “อย่าทำตัวไม่รู้ชั่ว ข้าคือ…” จู่ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างแล้วก็หยุดลงกะทันหัน ราวกับกังวลบางสิ่งบางอย่าง จากนั้นก็พูดอสย่างโกรธเคืองว่า “แล้วพวกเจ้าต้องการทำอะไร พูดมา!” เขาได้หาทั่วเมืองแล้วจริงๆ ที่พักล้วนเต็มไปหมดแล้ว

 

 

ไป๋อวี้ส่งเสียงในลำคออย่างเย็นชา กำลังจะตอบกลับว่าไม่ว่าเงินเท่าไรก็ไม่เอา อวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ข้างๆ กลับก้าวไปข้างหน้าและมองไปที่ชายหนุ่มที่หยิ่งผยอง สีหน้าของนางไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นใบหน้าที่มีแต่ความเคร่งขรึมจริงจังราวกับอาจารย์ฝ่ายปกครอง นางกวาดตามองชายคนนั้นและพูดว่า “ท่าน…ต้องการห้องของพวกเรา?”

 

 

ไป๋อวี้และตาโจวใจกระตุกไปทีหนึ่ง ชายหนุ่มคนนี้ช่างหยิ่งผยอง แม้แต่นังหนูยังโกรธ

 

 

“ใช่!” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ยังคงแสดงทีท่าเหนือคน

 

 

ไป๋อวี้และตาโจวกำลังรอให้อวิ๋นเจี่ยวลงมือสอนชายหนุ่มให้เป็นคน แต่ทันใดนั้นนางก็เอื้อมมือออกไปและคว้าป้ายห้องในมือของไป๋อวี้ส่งไป แล้วพูดว่า “สามร้อยตำลึง ขอบคุณ!”

 

 

ไป๋อวี้: “…”

 

 

ตาโจว: “…”

 

 

ชายหนุ่ม:”…”

 

 

(⊙_⊙)

 

 

อะไรกัน?

 

 

อวิ๋นเจี่ยวเสนออย่างเด็ดขาด อีกทั้งยังแสดงสีหน้าสมเหตุสมผล การแสดงออกทุกอย่างบ่งบอกว่าควรจะเป็นเช่นที่นางพูด คนที่อยู่ในเหตุการณ์ รวมทั้งเจ้าของร้านยังไม่สามารถทำการตอบสนองต่อเหตุการณ์ตรงหน้าได้

 

 

เป็นครั้งแรกที่เห็นการรีดไถเช่นนี้

 

 

ชายหนุ่มตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้าใจว่านางพูดอะไร “สาม…สามร้อยตำลึง! ทำไมเจ้าไม่ไปปล้น!” ต้องรู้ว่าในทุกวันนี้ โรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองเสวียนวันเดียวยังไม่ถึงห้าตำลึงเลย แต่นางกลับพูดว่าจะเอาสามร้อยตำลึง

 

 

“ท่านจะเอาหรือไม่?” อวิ๋นเจี่ยวยังคงหมุนป้ายห้องในมือโดยไม่หน้าแดง “ไม่เอาก็ช่างเถอะ ตาแก่ตาโจว กลับห้องกันเถอะ”

 

 

พูดจบก็ทำท่ากำลังจะขึ้นไปชั้นบน ชายหนุ่มโกรธจนหน้าเขียว เห็นคนตรงหน้ากำลังจะจากไปจริงๆ เมื่อนึกถึงจุดประสงค์ของตัวเอง เขาจึงกระชับมือแน่นและกัดฟันแน่นพูดว่า “หยุด สามร้อยตำลึง ข้าเอา!”

 

 

พูดจบก็ควักตั๋วเงินในเสื้อตัวเองออกมา เดินไปข้างหน้าและยัดใส่มือของอวิ๋นเจี่ยว พร้อมเอ่ยด้วยเสียงโหด “พอใจหรือยัง ป้ายห้องเอามาให้ข้า!”

 

 

อวิ๋นเจี่ยวรับตั๋วเงินมา และยื่นป้ายห้องออกไปให้อีกฝ่าย คิดไปคิดมาก็พูดเสริมขึ้นมาว่า “หากท่านรู้สึกว่าห้องไม่พอ พวกข้ายังมีอีกสองห้องนะ ห้องละสามร้อยตำลึง”

 

 

สายตาของชายหนุ่มจะพ่นไฟได้อยู่แล้ว จ้องเขม็งไปยังนาง แต่ก็ไม่ได้โวยวาย เพียงแค่กัดฟันพูดว่า “ไม่จำเป็น!” พูดจบถึงได้เดินขึ้นชั้นบนไป

 

 

อวิ๋นเจี่ยวส่งตั๋วเงินต่อให้ตาแก่ พร้อมพูดว่า “เอาไป ค่าใช้จ่ายของอารามในปีนี้น่าจะพอแล้ว ตอนกลับไปอย่าลืมไปซื้อไก่มาสักสองสามตัว” จะปฏิเสธไปทำไม คนที่เลี้ยงสัตว์กลืนทองจะบอกว่า อย่าไปมีปัญหาเรื่องเงิน

 

 

ไป๋อวี้: “…”

 

 

ตาโจว: “…”

 

 

อย่างนี้ก็ได้หรือ?