บทที่ 35 เปิดโถสุราหัวใจหยกเยือกแข็ง

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

บนถนนหลักของนครหลวง

กองทัพนักรบกำลังเรียงแถวกันเพื่อกั้นผู้คนที่ยืนมุงดูจากสองฟากถนนให้พ้นทางสัญจร บริเวณนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายมารวมตัวกันและส่งเสียงดังเซ็งแซ่ ซึ่งดังมากเสียจนนครหลวงแทบจะถล่ม

ทุกคนกำลังใจจดจ่ออยู่ที่ประตูเมืองด้วยสีหน้ากระหายใคร่รู้และคาดหวัง

ลมหนาวเยือกของฤดูใบไม้ร่วงหอบใบไม้แห้งจากพื้นถนนของนครหลวงพัดปลิวขึ้นไปในอากาศ ทันทีที่ทหารกองแรกเดินเข้านครมา บรรยากาศของทั้งเมืองก็มืดมนขึ้นมาทันที ผู้คนที่มายืนมองดูต่างตกอยู่ในความเงียบงัน ธงสีเลือดนับร้อยเคลื่อนผ่านไป ดูราวกับเป็นทะเลเลือดที่ไหวกระเพื่อมไปตามสายลมหนาว

กองพลเดินสวนสนามไปข้างหน้า ทุกย่างก้าวมีเสียงโลหะกระทบกัน ดังก้องกังวานไปทั่วนครหลวงพร้อมบรรยากาศเย็นเยียบ

ผู้นำของกองพลนี้เป็นชายวัยกลางคนบนอาชาสีน้ำตาลแดง ดวงตาคมกริบและใบหน้าหล่อเหลาแสดงให้เห็นถึงอำนาจน่าเกรงขาม

ชายผู้นี้คือผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิวายุแผ่ว แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิง ผู้กลับมายังนครหลวงพร้อมชัยชนะจากการปราบสำนักน้อยใหญ่จนราบคาบ

ท่ามกลางแถวเรียงยาวของกองพล เชลยศึกทั้งหกถูกขังอยู่ในกรงเหล็กขนาบข้างด้วยกองทหารคุ้มกัน ด้านนอกของกรงเปียกโชกด้วยเลือดสดๆ ส่งกลิ่นคละคลุ้งไปในอากาศ อสูรเวทตัวมหึมาจำนวนมากกำลังลากกรงเหล็กไปข้างหน้า ทุกครั้งที่พวกมันก้าวเดินพื้นดินก็พาลสั่นสะเทือน

ศีรษะของนักโทษภายในกรงก้มต่ำและดูเหมือนแทบจะไม่หายใจแล้ว พวกเขาแต่ละคนล้วนเป็นผู้มีชื่อเสียงภายนอกอาณาจักร ทั้งหกคนเป็นผู้นำสำนักนอกรีตวังวิญญาณทมิฬ ทุกคนมีปราณอยู่ที่ระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการ

ทั้งหกที่เคยมีชื่อเสียงเกรียงไกรน่าเกรงขาม บัดนี้กลายมาเป็นเพียงเชลยศึกในกรงขัง

ล้อของกรงขังที่บดไปบนพื้นกรวดส่งเสียงดังครึกโครมไปทั่วนครหลวง ฝูงชนที่ก่อนหน้านี้เงียบกริบกลับมาส่งเสียงกึกก้องอีกครั้ง

ทุกคนล้วนตื่นเต้นดีใจกับขุนศึกที่กลับบ้านมาพร้อมชัยชนะ ชัยชนะที่จะต้องเฉลิมฉลองให้สมเกียรติ เมื่ออาณาจักรแข็งแกร่งขึ้นประชาชนก็ย่อมภาคภูมิใจในชาติบ้านเมืองของตนเองด้วยเช่นกัน

บรรดาขุนพลที่ทั้งด้านชาและมีวินัยเลิศล้ำไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายกับเสียงโห่ร้องของผู้คนแต่อย่างใด แต่กลับมุ่งไปข้างหน้าสู่จุดหมายปลายทางคือวังหลวง

ยกพื้นสูงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงประตูจัตุรัสมายาสวรรค์เบื้องหน้าวังหลวง ธงสีสันสดใสหลากหลายโบกสะบัดทั่วบริเวณจัตุรัสด้วยลมแห่งฤดูใบไม้ร่วง

องครักษ์ของพระราชวังยืนเรียงแถวล้อมประตูจัตุรัสมายาสวรรค์เอาไว้ เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย

“ยินดีต้อนรับแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงกลับบ้านพร้อมชัยชนะ!”

กองทหารหยุดอยู่หน้าประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ น้ำเสียงเฉียบขาดของขันทีผู้หนึ่งดังกังวานไปทั่วนครพร้อมด้วยพลังปราณเที่ยงแท้ที่ส่งออกมา เสียงนั้นดังไปทั่วทุกซอกทุกมุมเมือง ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องด้วยความชื่นชมของฝูงชน

ชายชราในชุดคลุมลายมังกรกำลังยืนยิ้มอยู่บนยกพื้นสูง เขามองกองทหารด้วยสายตาอ่อนโยนและพยักหน้าเป็นครั้งคราว

ใกล้ๆ กันนั้นมีองค์ชายรัชทายาทจีเฉิงอันยืนอยู่ในชุดคลุมลายพญางูด้วยท่าทางสบายๆ ด้านขวาเป็นอวี่อ๋องนามว่าจีเฉิงอวี่ผู้มีท่าทางอาจหาญราวกับเป็นวีรบุรุษ และองค์ชายสามจีเฉิงเสวี่ย

ที่ด้านข้างยกพื้นสูงรายล้อมไปด้วยขุนนางข้าราชบริพารยืนเรียงแถวทำความเคารพโดยการผสานกำปั้นและฝ่ามือเข้าด้วยกัน ด้านล่างยกพื้นสูงเป็นสมาชิกตระกูลเซียว ผู้ที่กำลังมองกองทหารที่ค่อยๆ คืบเข้ามาใกล้ด้วยสายตาตื่นเต้น ซ่อนความดีใจเอาไว้ไม่มิด

เซียวเหมิงถอดหมวกเกราะออกแล้วก้าวขึ้นไปบนยกพื้นสูง เขาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าจักรพรรดิ คุกเข่าลงหนึ่งข้าง แล้วทำมือแสดงความเคารพด้วยการผสานกำปั้นเข้ากับฝ่ามือพร้อมเอื้อนเอ่ย “ข้าราชบริพารของท่านคนนี้ไม่ได้ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง พวกข้าน้อยได้กำจัดศิษย์แห่งวังวิญญาณทมิฬเสียราบคาบไปมากกว่าหมื่นคน สังหารผู้ฝึกตนที่มีปราณสูงกว่าระดับสามขั้นคลั่งยุทธการไปหลายร้อย ทั้งยังจับเป็นเหล่าผู้นำทั้งหกได้สำเร็จ และกลับบ้านมาพร้อมชัยชนะ”

“ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยม! เหล่าพสกนิกรของข้า พวกเจ้าเป็นเสาหลักของจักรวรรดิวายุแผ่วของข้าอย่างแท้จริง หากมีพวกเจ้าอยู่ อาณาจักรของข้าจะต้องปลอดภัยเป็นแน่แท้!”

จักรพรรดิจีฉางเฟิ่งหัวเราะแล้วเอ่ยชมผลงานทันที

จากนั้นพิธีการก็ดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทุกคนทำหน้าที่ของตนเองอย่างสมบูรณ์ประณีต

“พิธีต้อนรับเสร็จสมบูรณ์แล้ว จากนี้ทุกคนจะไปยังท้องพระโรงเพื่อจัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ” เสียงเข้มของขันทีดังกังวานไปทั่วนครอีกครั้ง

ปู้ฟางลืมตาขึ้นอย่างง่วงงุน วันนี้เขาตื่นเช้ากว่าปกติ เนื่องจากถูกปลุกด้วยเสียงของขันทีที่ดังลั่นไปทั่วเมืองถึงสองครั้งสองคราอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

หลังจากล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เดินเข้าครัวไปเริ่มฝึกซ้อมทำอาหารตามกิจวัตร เขาเอาอาหารที่ฝึกทำส่วนหนึ่งใส่จานไปให้สุนัขสีดำตัวใหญ่ที่ทางเข้าร้าน

ขณะกำลังมองสุนัขกินอาหารอย่างตะกละตะกลามด้วยสีหน้าเรียบเฉย ปู้ฟางก็คิดอะไรประหลาดขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง เขารู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังทำงานรับใช้สุนัขตัวนี้อย่างกับมันเป็นขุนนางผู้สูงศักดิ์อย่างไรอย่างนั้น

หลังจากเปิดร้านเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มก็หาวหวอด เอามือไปคว้าเก้าอี้มาลดตัวลงนั่ง และเริ่มรอให้ลูกค้ามาถึง

ทว่าครึ่งชั่วยามผ่านไปก็แล้ว… ร้านก็ยังไร้ซึ่งเงาของลูกค้าที่รอคอย ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นร้านเดียวกับที่เคยเนืองแน่นไปด้วยผู้คนเมื่อหลายวันก่อน

“วันนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล เหตุใดจึงไม่มีใครโผล่มาแม้แต่คนเดียว ปกติตอนนี้เจ้าอ้วนจินและสหายคนอ้วนของเขาจะต้องกินเสร็จไปแล้วเรียบร้อย และกำลังจ่ายเงินอยู่”

“แถมเจ้าเด็กน้อยนั่นก็ไม่มาทำงานด้วย เหตุใดบริกรและลูกค้าถึงหายไปพร้อมกันเช่นนี้เล่า”

ปู้ฟางเงียบไปสักพักจากนั้นก็เดินเข้าครัวไปในที่สุด ชายหนุ่มจำได้ว่าเสี่ยวอี้เคยบอกเขาว่าจะมี “เซียวอะไรสักอย่าง” กลับนครหลวงมาวันนี้ นางจึงต้องขอลาหยุดหนึ่งวัน

แต่เหตุใดลูกค้าคนอื่นจึงหายไปด้วยเล่า นั่นเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มกังวลมากกว่า

ความจริงก็คือลูกค้าที่มากินข้าวที่ร้านเขาล้วนเป็นคนใหญ่คนโตทั้งสิ้น จักรพรรดิได้จัดงานเลี้ยงใหญ่ที่ท้องพระโรงเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะและการกลับมาของเซียวเหมิง และได้เชิญบุคคลอันทรงเกียรติมากมายในนครหลวงให้เข้าร่วมงานสังสรรค์นี้ด้วย เจ้าอ้วนจินและคนอื่นๆ เข้าวังหลวงไปร่วมงานรื่นเริงนี้ จึงทำให้ไม่มีใครมาที่ร้านแม้แต่คนเดียว

ปู้ฟางเปิดตู้ควบคุมอุณหภูมิ แล้วหยิบโถดินขนาดสูงเท่าครึ่งตัวคนออกมา จากนั้นก็วางมันที่กลางครัว

“สุรานี้ต้องใช้เวลาหมักสามวัน ข้าเอาโถใส่ตู้มาครบสามวันแล้ว แปลว่าสุราหัวใจหยกเยือกแข็งต้องพร้อมดื่มแล้วสินะ” จู่ๆ ปู้ฟางก็จำได้ขึ้นมาว่าตนเองหมักเหล้าเอาไว้ ก่อนหน้านี้เขาวางแผนไว้ว่าจะนำมันออกมาดูตอนกลางคืน แต่ในเมื่อไม่มีคนมาที่ร้าน ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนใจมาเปิดดูตอนนี้แทน

เขาหยิบโถดินขนาดเล็กสามใบที่ระบบเตรียมไว้ให้ออกมา แล้วตั้งท่าพร้อมจะเปิดโถหมักออกเพื่อกรองสุราให้ใสบริสุทธิ์

ทันทีที่ชายหนุ่มเปิดผ้าคลุมโถขนาดใหญ่ กลิ่นสุราก็ระเบิดออกจากโถพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของเขา

หลังจากสูดกลิ่นสุราเข้าปอดไปเฮือกใหญ่ ปู้ฟางก็ตัวสั่นเล็กน้อย ใบหน้าแดงเรื่อ

“กลิ่นนี้เข้มข้นมาก แต่กลับไม่ระคายจมูก แรงแต่ไม่มากจนเกินไป…” ปู้ฟางประเมินผลลัพธ์แล้วรู้สึกพอใจเล็กน้อย

ชายหนุ่มจุ่มจวักไม้ไผ่ที่ระบบมอบให้ลงไปในโถแล้วตักสุราขึ้นมาครึ่งจวัก ด้านนอกของจวักเป็นสีเขียว ส่วนด้านในเป็นสีน้ำตาลอ่อน สุราใสบริสุทธิ์เหมือนน้ำเปล่า ปราศจากซึ่งมลทินใดๆ

กระบวนการหมักเก้ากรรมวิธีทำให้สุราหัวใจหยกเยือกแข็งสะอาดใสตามชื่อ เหมือนลำธารในหุบเขาลึก

ปู้ฟางเลื่อนจวักเข้ามาใกล้จมูกเพื่อดมดู กลิ่นสุราเข้มข้นพุ่งเข้าโพรงจมูกของเขาทันที ชายหนุ่มน้ำลายสอ รู้สึกเหมือนเมาเล็กน้อยก่อนที่จะทันได้ดื่มเข้าไปสักหนึ่งอึกเสียอีก

เขาเทสุราจากจวักใส่จอกกระเบื้องสีฟ้าขาว น้ำสุราใสสะอาดหมดจดเฉกเช่นสุราชั้นเลิศ

ปู้ฟางยกจอกขึ้นจรดริมฝีปาก ทันทีที่สุราเข้าปาก น้ำใสสะอาดนั้นก็เข้าห่อหุ้มลิ้นของเขาแล้วไหลเข้าลำคอไป ความรู้สึกเย็นกายกระจายไปทั่วร่าง จากนั้นท้องของเขาก็ร้อนราวมีไฟสุม ตอนที่เพลิงกำลังจะกลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัวนั้นเอง ความเย็นก็กลับมาแทนที่อีกครั้ง สัมผัสร้อนและเย็นในกายสลับกันแผลงฤทธิ์ไปมาไม่หยุด…

“นี่มันสุราชั้นเลิศ!” ชายหนุ่มดูดปากตนเอง ใบหน้าดื่มด่ำมีความสุข แม้เขาจะไม่ค่อยมีความรู้เรื่องสุรามากนัก แต่สุราจอกนี้นับเป็นสุราที่อร่อยสุดที่เขาเคยดื่มมาในชีวิต

แต่แม้รสชาติจะเยี่ยมยอด ฤทธิ์สุราเองก็แรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ด้วยกระบวนการหมักอันซับซ้อน จึงทำให้ความแรงของสุรามากตามไปด้วย

ชายหนุ่มสะกดความอยากดื่มเพิ่มลงไป แล้วตักสุราใส่เหยือกเล็กๆ สามใบ จากนั้นก็นำผ้ามาปิดปากเหยือกไว้ เขาเอากระดาษสี่เหลี่ยมสีแดงที่เขียนคำว่า “น้ำแข็ง” มาแปะลงบนเหยือกทั้งสาม เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์

หลังจากที่เก็บไว้ให้ตนเองหนึ่งโถ ชายหนุ่มก็นำโถหมักกลับเข้าตู้ควบคุมอุณหภูมิไป แล้วเดินกลับไปที่หน้าร้านด้วยใบหน้ามีความสุข ในมือถือจอกกระเบื้อง หมายมั่นปั้นมือว่าจะนั่งจิบสุราดื่มด่ำกับรสชาติคนเดียวในร้านร้าง

แต่เมื่อออกจากครัวมาแล้ว ชายหนุ่มกลับพบคนผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าร้าน ชายผู้นั้นสวมชุดสีดำทั้งตัว พร้อมด้วยหมวกไม้ไผ่สีดำที่มีผ้าคลุมบดบังใบหน้า และสะพายกระบี่ด้ามยาวพันด้วยผ้าขาดรุ่งริ่งไว้บนหลัง

เสียงของเขาแหบพร่า เจือด้วยความกระหาย

“เถ้าแก่ มีสุรารสเลิศขายหรือไม่”

…………………………….