ภาค 1 บทที่ 30 หกดาบวายุเมฆา

จอมศาสตราพลิกดารา

บทที่ 30 หกดาบวายุเมฆา ProjectZyphon

แค่จอมเสเพลไม่กี่คน ก็กล้าก่อเรื่องในอำเภอเมืองโดยไม่สนกฎหมาย หากไม่เชือดไก่ให้ลิงดู คนในยุทธภพมากมายที่จะหลั่งไหลเข้ามาเพราะการประลองกับ ‘จอมมารจันทราโลหิต’ หลังจากนี้ จะไม่สนใจกฎหมายกันหมดเลยหรือ?

แม้ว่าหลี่มู่ไม่ใช่ผู้กอบกู้อะไร แต่การท้าประลองก็เกิดขึ้นเพราะเขา เขาได้ยินข่าวมาเหมือนกันว่าช่วงนี้คนมีชื่อในยุทธภพจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในอำเภอขาวพิสุทธิ์ หากยอดฝีมือเหล่านี้ต่างไม่ฟังคำพูดกันก็ยังไม่เป็นไร แต่หากชาวบ้านของอำเภอขาวพิสุทธิ์ทุกข์ร้อนเพราะเขาละก็ ภายในใจเขาคงยากจะสงบได้

ดังนั้น ตีก่อนค่อยว่ากัน

จากนั้น ใต้ต้นไม้เก่าแก่มีเสียงร้องดุจผีคร่ำครวญหมาป่าเห่าหอนของคนที่เรียกว่ายอดฝีมือในยุทธภพดังมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณชายหลี่ปิงที่น่าเวทนาที่สุด

เขาตะเบ็งเสียงเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่หลังจากโดนหลี่มู่ตบหน้าไปหลายที แก้มทั้งสองก็บวมเป่งเหมือนหัวหมู ดวงตาเหลือเพียงรอยแยกเส้นเดียว ฟันหลุดร่วงหลายซี่ พูดออกมาได้เพียงลม ริมฝีปากบวมเจ่อ ต่อให้ตะโกนจนคอแตกก็ไม่มีใครฟังเข้าใจว่าเขาพูดอะไร

คิดถึงก่อนหน้านี้ที่เขาเกี้ยวพาหญิงชาวบ้านและทำร้ายหม่าจวินอู่อย่างอุกอาจ แล้วมามองสภาพเขาตอนนี้ ในใจทุกคนก็รู้สึกสดชื่นเหมือนกินแตงโมเย็นฉ่ำในวันที่อากาศร้อน

“เอาละ แยกย้ายกันไปเถอะ ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว..” หลี่มู่หันไปโบกมือให้ฝูงชนที่มุงดูอยู่ “ไม่ต้องมารวมตัวกันที่นี่ ไม่อย่างนั้นการจราจรจะติดขัด” เมื่อพูดจบ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าที่โลกใบนี้เหมือนจะไม่พูดกันว่าการจราจรติดขัด

ฝูงชนล้วนหัวเราะเบิกบานพลางแยกย้ายกันไป

“ท่านทั้งสองก็รีบไปเถอะ หากวันหน้าพวกท่านเจอปัญหาอะไร ไปหาข้าที่ที่ว่าการอำเภอได้โดยตรง” หลี่มู่หัวเราะขณะลูบหัวเด็กน้อยยายา พร้อมพูดกับสาวงามและสามี

“ขอบพระคุณใต้เท้าเจ้าค่ะ” สาวงามแย้มยิ้มบาง ราวกับดอกไม้นับร้อยกำลังเบ่งบาน งดงามเป็นที่สุด

ชายฉกรรจ์ผู้ไว้หนวดเคราก็ประสานมือขอบคุณ

ทั้งสองพาเด็กเดินจากไป

“พี่ชาย ท่านเก่งกาจมากเลย” เด็กน้อยยายากระโดดโลดเต้น หันมายิ้มให้หลี่มู่

หลี่มู่ยิ้มน้อยๆ มองส่งพวกเขาจากไป

ภายในใจเขาคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง

ผู้อื่นอาจสัมผัสไม่ได้ว่าตอนเผชิญหน้ากับคุณชายหลี่ปิง ชายที่ไว้หนวดเครามีแสงดาวระยับแวบขึ้นมาในฝ่ามือ แต่การรับรู้ของหลี่มู่สูงกว่าคนทั่วไป ทันทีที่มาถึงเขาก็สัมผัสได้แล้ว หลี่มู่สัมผัสได้แม้กระทั่งว่าแสงดาวนั้นแฝงพลังที่ทำให้เขาใจสั่นเอาไว้

ชายไว้หนวดเคราผู้นี้เกรงว่าจะเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ

แต่เป็นเพราะสาเหตุบางอย่าง ทำให้เขาอดทนไม่ลงมือ

ดังนั้นหากคิดต่อไป เกรงว่าสาวงามผู้นั้นก็ไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกัน

เมืองภูเขาอย่างอำเภอขาวพิสุทธิ์ แม้ภูเขาและลำน้ำงดงาม แต่หากบอกว่ามีหญิงงามล้ำแห่งยุคที่เพียบพร้อมสมบูรณ์เช่นนี้ถือกำเนิดขึ้นได้ หลี่มู่ไม่ค่อยจะเชื่อเท่าใดนัก

สอดคล้องกับความประทับใจในวันนั้นที่หลี่มู่เจอสามีภรรยาคู่นี้เป็นครั้งแรกนอกประตูเมือง หญิงจากหมู่บ้านชนบทจะงามขนาดนี้เสียที่ไหน?

 ทว่าคู่สามีภรรยานี้เป็นใครมาจากที่ใด แม้หลี่มู่จะสงสัยใคร่อยากถาม ก็ไม่สามารถสืบสาวราวเรื่องได้

ทุกคนล้วนแต่มีความลับของตัวเองกันทั้งนั้น การลอบสืบความลับผู้อื่นเป็นการกระทำที่ไร้มารยาทนัก

อีกอย่าง ความลับของคู่สามีภรรยานี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับหลี่มู่

“ใต้เท้า ลงแส้เสร็จแล้วขอรับ จะให้จัดการต่อไปเช่นไร?” นายทะเบียนเฝิงหยวนซิงเข้ามาขอคำชี้แนะเงียบๆ

หลังจากลงแส้ไปร้อยครั้ง จอมเสเพลเหล่านั้นเนื้อหนังถลอกปอกเปิก ยังมีลมหายใจแต่ไร้เสียง

หลี่มู่ลูบคางไปมา กล่าวว่า “จับพวกมันส่งเข้าคุก อ้อ…จำไว้ คนพวกนี้ล้วนเป็นยอดฝีมือ ตอนขังคุกก็ระวังหน่อย ดีที่สุดคือตีให้สลบก่อนแล้วค่อยส่งเข้าไป ล่ามโซ่พวกมันให้ข้าด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าให้หนี…”

กล่าวถึงตรงนี้ หลี่มู่คิดอะไรขึ้นมาได้ เขาหัวเราะฮิๆ แล้วเขยิบไปกระซิบข้างหูของเฝิงหยวนซิง “ยังมีอีก หลังจากตีจนสลบแล้วเจ้าจงไปค้นตัวพวกมันด้วยตนเอง หากมีตำราเคล็ดวิชาการต่อสู้อะไรก็เอามาให้ข้าทั้งหมด”

เฝิงหยวนซิงเหงื่อตก

เขารู้ว่าใต้เท้าท่านนี้สนใจเคล็ดวิชาการต่อสู้มาก ดังนั้นเมื่อฟังคำพูดนี้จบ ทำไมเขาถึงรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาว่าครั้งนี้ที่ใต้เท้าขุนนางเมืองลงมือกับเหล่าคนเสเพล ไม่ใช่เพราะจะรักษาความยุติธรรมเป็นสำคัญ แต่เป็นเพราะจอมยุทธ์เหล่านี้อาจจะมีตำราเคล็ดวิชา?

“ใต้เท้าโปรดวางใจ ข้าน้อยเข้าใจแล้ว จะไม่ทำผิดพลาดอย่างแน่นอน” เฝิงหยวนซิงตบอกรับประกัน

นายทะเบียนที่ชอบเลียแข้งเลียขาเป็นนิสัยผู้นี้ ยามนี้บันทึกไว้ในใจแล้ว หากเขาหาตำราวิชาต่อสู้บนตัวพวกนั้นไม่พบ ก็จะทรมานอย่างโหดเหี้ยม ซักถามเอาเคล็ดลับการฝึกมาสักสองสามอย่างเพื่อไปเอาหน้ากับหลี่มู่ หลังจากลังเลมาช่วงหนึ่ง เขาก็รู้ว่าตัวเองอยู่บนเส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับ จึงตัดสินใจจะติดตามหลี่มู่ไปจนถึงที่สุดเสียเลย

หลี่มู่ตบไหล่ของเขาเบาๆ “ไม่เลว จัดการให้เรียบร้อย ข้าคาดหวังในตัวเจ้า”

ใบหน้าเฝิงหยวนซิงดูเบิกบานใจ

หลี่มู่หันกลับมามองเหล่าคนเสเพลที่ถูกแขวนอยู่ใต้ต้นไม้เก่าแก่อีกครา เอ่ยสมน้ำหน้าอยู่ในใจ จากนั้นหัวเราะเสียงดังพลางเดินจากไป

ฮ่าๆ แขวนแล้วตี นี่สิถึงจะเป็นการแขวนแล้วตีที่แท้จริง

แต่จะว่าไป นี่เป็นวิธีทำลายคู่ต่อสู้ที่ชวนให้คนอยากได้บ้างจริงๆ

‘ทำไมเราถึงชอบวิธีนี้เป็นพิเศษ?’

หลี่มู่ถามตัวเองอยู่ในใจ

จากนั้นเขาก็ได้คำตอบอย่างรวดเร็ว

น่าจะเป็นเพราะตอนเขาฆ่าหมูในโรงเชือด ทุกครั้งที่ฆ่าหมูเขาจะแขวนมันเพื่อถอนขน เมื่อทำเป็นเวลานานก็กลายเป็นว่ามีผลต่อจิตใจ

……..

หลี่มู่กลับไปถึงที่ว่าการอำเภอภายใต้การติดตามของเด็กรับใช้บัณฑิตทั้งสอง

เด็กชายผู้รับใช้บัณฑิตชิงเฟิงดูเหมือนมีอะไรรบกวนจิตใจ

ด้านเด็กน้อยโง่เง่าชอบความรุนแรงอย่างหมิงเยวี่ยกลับยังคงคึกคะนองไม่จบสิ้น

หลี่มู่ไม่มีเวลามาสนใจเด็กทั้งสอง กลับไปห้องฝึกยุทธ์ที่เรือนพักด้านหลังที่ว่าการเป็นอย่างแรก เขาได้รับแรงบันดาลใจจากการต่อสู้ในครั้งนี้ และดำเนินการขัดเกลาทักษะการต่อสู้ของตนต่อไป

วันนี้การจัดการคุณชายผู้สูงศักดิ์หลี่ปิงและพวกเป็นเพียงการคั่นเวลาสั้นๆ เอาไว้ลองมือเท่านั้น

เขาแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วด้วยวิธีง่ายดายที่สุด ทั้งยังไม่เปิดเผยเพลงดาบที่ศึกษาในช่วงนี้มากนัก ความคิดเขาเรียบง่ายมาก นั่นคือจะต้องเหลือไพ่ตายที่คนอื่นไม่รู้ไว้ให้ตัวเองบ้าง

อย่างไรก็ตาม ระหว่างการทดลองเล็กๆ ครั้งนี้ หลี่มู่พลันเข้าใจมากขึ้นเล็กน้อย

ท่วงท่าการเคลื่อนไหวไม่ใช่ยิ่งซับซ้อนยิ่งดี แต่ต้องเรียบง่าย ตรงไปตรงมา และมีประสิทธิภาพ

เหมือนกับฝ่ามือหมื่นวิถีและกระบี่ยาวของสองจอมเสเพลนั่น การออกท่าสลับซับซ้อน ภาพที่เห็นก็ทำให้คนตาลาย แสงดาบเงากระบี่ปรากฏอยู่ทั่ว แต่หากพูดโดยพื้นฐานกลับไม่มีประโยชน์อะไร ท้ายที่สุดก็ถูกเขาเห็นช่องโหว่ในชั่วพริบตา เพียงแค่ผลักหนึ่งฝ่ามือก็ลอยไปแล้วไม่ใช่หรือ?

ในเมื่อตัวเองตอบสนองได้เร็วมากพอ มีพละกำลังมากพอ เช่นนั้นทำไมถึงไม่เลือกวิธีต่อสู้แบบเรียบง่ายที่สุดเล่า?

ความคิดหลี่มู่นึกย้อนไปถึงวิธีการเคลื่อนไหวของ ‘เพลงดาบลมกระโชกสามสิบหกกระบวนท่า’ จากนั้นนึกถึงสัมผัสมือยามลงดาบเชือดหมูเป็นร้อยพันครั้งบนโลกมนุษย์อย่างละเอียด แล้วนึกถึงวันนั้นที่เขาโกรธเกรี้ยว ความรู้สึกยามฟัน ‘ดาบตัดนภา’ สวี่จื้อและจตุรเทพพรรคเสินหนง…

ด้ามจับยาวมาอยู่ในมือเขาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลี่มู่เริ่มฝึกวิชาดาบในห้องฝึกยุทธ์

ดาบส่องประกายสว่างไสว

ในครั้งนี้หลี่มู่ไม่ได้ใช้ ‘เพลงดาบลมกระโชกสามสิบหกกระบวนท่า’

แต่ออกท่าตามใจต้องการ

เขาปิดตาลง กลยุทธ์การเคลื่อนไหวที่ถูกนำออกมาใช้ หากมองในคราวแรกจะเหมือนกับออกท่าไปส่งเดชไม่มีแบบแผน

แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเคลื่อนไหวของเขายิ่งรวดเร็วและยิ่งเรียบง่าย

เขาลบความซับซ้อน ทำให้ ‘เพลงดาบลมกระโชกสามสิบหกกระบวนท่า’ ง่ายกว่าเดิม

ความรู้สึกตามสบายยามฆ่าหมูบนโลกมนุษย์เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจ ทำให้เขาสามารถจับแนวคิดลึกลับบางอย่างได้ แม้ดวงตาเขาจะปิด แต่ ‘เพลงดาบลมกระโชก’ ทั้งสามสิบหกท่าในหัวราวกับเป็นภาพยนตร์สั้นที่ฉายซ้ำไปมา วูบวาบผ่านไป จากนั้นการเปลี่ยนแปลงและการเคลื่อนไหวที่เกินจำเป็นก็เอ่อล้นขึ้นมา

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

หลี่มู่อยู่ในห้องฝึกยุทธ์ ไม่รู้ว่าแกว่งดาบไปมากเท่าไหร่

ทันใดนั้นเขาหยุดขยับกายและลืมตาขึ้น

กลิ่นอายทั้งร่างเปลี่ยนไปโดยพลัน จากขยับไหวกลายเป็นสงบ ดูภูมิฐานลุ่มลึก

จากนั้นเขาก็ออกดาบอีกครั้ง

ดาบที่หนึ่ง

ดาบที่สอง

ดาบที่สาม

ดาบที่หก!

ทั้งหมดหกดาบ ทุกดาบเรียบง่าย รวดเร็ว ตรงไปตรงมา และแม่นยำ

นี่คือผลลัพธ์จากการที่หลี่มู่ลอกเลียนแบบในเวลาเกือบหนึ่งชั่วยาม เขานำ ‘เพลงดาบลมกระโชกสามสิบหกกระบวนท่า’ มาปรับจากยากกลายเป็นง่าย และทำให้เรียบง่ายเหลือเพียงหกดาบ สามดาบตัดแนวขวาง สองดาบตัดแนวตั้ง อีกหนึ่งยังไม่คงที่แน่นอน จะมีการเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ต่อสู้จริง

หลังจากออกหกดาบติดต่อกัน หลี่มู่ก็หยุดแล้วใช้สมาธิไตร่ตรอง ในสมองจำลองกลวิธีอีกครั้ง

ทันใดนั้นก็ขยับอีก

เป็นอีกหกดาบ

หกดาบนี้มีความเปลี่ยนแปลงใหม่

แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่เยอะนัก

ต่อมาเขาก็หยุดพิจารณาอีกรอบ

แล้วจึงออกดาบอีกหกดาบเช่นกัน

ทำกลับไปกลับมาเช่นนี้

จนเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม

หลี่มู่ฟันหกดาบสุดท้าย ในที่สุดก็เก็บดาบแล้วยืดตัวขึ้น

“จากความเข้าใจและการตระหนักรู้เกี่ยวกับวิถียุทธ์ในตอนนี้ เราปรับ ‘เพลงดาบลมกระโชกสามสิบหกท่า’ จากซับซ้อนเป็นเรียบง่ายแค่หกดาบก็ถึงขีดจำกัดแล้ว ไม่สามารถทำให้ง่ายกว่านี้อีก” หลี่มู่พูดกับตัวเอง

ในใจเขารู้ดี หากพูดในทางทฤษฎีที่เคร่งครัด การบรรลุวรยุทธ์ของตัวเขายังคงผิวเผินอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นมือใหม่เท่านั้น ข้อได้เปรียบที่สุดที่มีอยู่ อย่างแรกคือแนวคิดและข้อมูลของโลกมนุษย์ยุคปัจจุบัน อย่างที่สองคืออิทธิพลและการสั่งสอนจากซินแสเฒ่าตอนที่อยู่ด้วยกัน อย่างที่สามคือทักษะการต่อสู้กับการตอบสนองของร่างกายหลังพัฒนาจาก ‘พลังก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธแท้’  หากอยากลดหกดาบนี้ไปอีกขั้น จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในวิชายุทธ์ที่ลึกซึ้งและมีระดับสูงมากกว่าเดิม เรื่องนี้จึงรีบเร่งไม่ได้

‘หกดาบนี้นับว่าเป็นการคิดค้นของตัวเราเองครึ่งหนึ่ง จะเรียกว่า ‘หกดาบวายุเมฆา’ ก็แล้วกัน’

หลี่มู่พอใจอย่างง่ายดาย ตั้งชื่อให้ด้วยใจชื่นบาน

ยิ่งฝึกดาบก็ยิ่งชอบอาวุธที่ดิบเถื่อนและตรงไปตรงมาประเภทนี้ ในอาวุธสิบแปดประเภท มีเพียงดาบเท่านั้นที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะในการต่อสู้ของหลี่มู่ได้อย่างเต็มที่

เขาเริ่มหลงใหลในดาบเข้าแล้ว

……………………………….