บทที่ 12.2 ธนูราชัน (2)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

โจวเหว่ยชิงพูดตอบด้วยใบหน้าน่าสงสาร “ข้าผิดไปแล้ว…ข้าไม่ได้ตั้งใจเลยจริงๆ ข้าแค่เผลอไปหน่อยเท่านั้นเอง…”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งเสียงหึในลำคอ “หลังจากที่เจ้าลงทะเบียนกับวังกักเก็บทักษะและรับป้ายของวังเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เจ้าก็สามารถดำเนินการซื้อทักษะกักเก็บธาตุในวังได้แล้ว อันที่จริงจ้าวมณีธาตุและจ้าวมณียุทธ์ธรรมดาสามารถลงทะเบียนรับป้ายทองได้เช่นกัน แต่พวกเขาจะไม่ได้รับเสื้อคลุมที่บ่งบอกว่าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ จำไว้ว่าเมื่อเจ้าซื้อทักษะกักเก็บธาตุที่นี่ เจ้าจะได้ส่วนลด 1 ใน 10 ส่วน และมณีที่เพิ่มขึ้นทุกๆ ดวงยังสามารถนำไปลดได้เพิ่มอีก 1 ใน 10 ส่วน ดังนั้นหากคราวหน้าเจ้ามีโอกาสมาที่นี่อีกครั้งเพื่อซื้อทักษะกักเก็บธาตุ เจ้าต้องจำไว้ว่าให้รายงานการเลื่อนขั้นก่อนเพื่อให้ได้ส่วนลด”

โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ “งั้นก็หมายความว่าจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 9 ดวงก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเลยหรือ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้า “ข้าไม่เคยได้ยินเหมือนกัน แต่ลือกันว่าจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณีเกิน 6 ดวงนั้นไม่ค่อยมาที่วังกักเก็บทักษะกันแล้ว ส่วนเหตุผลนั้นก็คงต้องรอให้พวกเราไปถึงระดับนั้นก่อนถึงจะรู้”

“ผู้บัญชาการกองพัน ข้าขอถามหน่อยว่าทักษะกักเก็บธาตุนี่ต้องใช้เงินซื้อประมาณเท่าไหร่หรือ?” หัวใจของโจวเหว่ยชิงรู้สึกคันยิบ ทั้งๆ ที่มีวิธีที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งได้วางอยู่ต่อหน้าเขาแต่กลับไม่สามารถจะซื้อมันได้เพราะไม่มีเงิน  เนื่องจากบิดาของโจวเหว่ยชิงเป็นคนซื่อตรงจึงไม่ได้มีเงินทองมากมาย  แต่อย่างไรก็ตาม พ่อทูนหัวของเขาก็เป็นถึงผู้ปกครองอาณาจักรเชียวนะ และตอนนี้ตัวเขาเองก็กลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว ในอนาคตเมื่อกลับไปที่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ โจวเหว่ยชิงจึงคิดว่าจะต้องขอเงินพวกเขาสักหน่อย…

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าว “ทดลองผนึกทักษะธาตุหนึ่งครั้งต้องจ่ายประมาณ 500 เหรียญทอง”

โจวเหว่ยชิงกระพริบตาด้วยความงุนงง “500 เหรียญทอง นั่นก็ไม่ได้แพงมากนี่นา!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงมองเขากลับด้วยสายตาเยือกเย็น “แต่อัตราความสำเร็จมีเพียง 1 ใน 100 ส่วน…หากเจ้าโชคไม่ดี แม้ลองร้อยครั้งก็ยังไม่สำเร็จเลยก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือเวลาที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ในแต่ละวัน จ้าวมณีคนหนึ่งสามารถลองผนึกทักษะธาตุได้วันละ 1 ครั้งเท่านั้น และราคาที่ข้าบอกไปนั่นเป็นเพียงแค่ราคาปกติสำหรับสัตว์อสูรสวรรค์ระดับธรรมดา หากเป็นอสูรสวรรค์ระดับปรมะหรือระดับเทวะขั้นสูง ราคาของมันย่อมมหาศาล อย่างไรก็ตาม อัตราความสำเร็จในการผนึกทักษะธาตุของสัตว์อสูรระดับสูงก็จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และทักษะที่จะได้รับนั้นก็ย่อมดีมากกว่าเช่นกัน”

โจวเหว่ยชิงพูดไม่ออก เขารู้แค่เพียงรายได้จากการเก็บภาษีของเมืองหลวงอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นเก็บได้เพียง 500,000 เหรียญทองต่อปีเท่านั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่าอาณาจักรของพวกเขาไม่มีกำลังพอจะสนับสนุนจ้าวมณีสวรรค์หลายๆ คนได้

“เพราะฉะนั้น พวกสัตว์อสูรสวรรค์ก็มีระดับคล้ายๆ กับพวกเราสินะ เอาล่ะ งั้นตอนนี้เราอย่าเพิ่งไปคิดเกี่ยวกับทักษะกักเก็บธาตุเลย พวกเราไปหาอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่ท่านพูดถึงกันเถอะ” นี่เป็นครั้งแรกที่โจวเหว่ยชิงรู้ซึ้งถึงความสำคัญของเงินทอง หนทางการฝึกตนของจ้าวมณีสวรรค์นั้นยากเข็ญกว่าที่เขาคิดไว้หลายขุมเลยทีเดียว…

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าก่อนจะพูด “ตอนนี้เจ้าก็รู้แล้วสินะว่าทำไมข้าถึงให้ความสำคัญกับการเก็บเงิน ความจริงแล้ว ถึงแม้อาณาจักรของเรามีจ้าวมณีสวรรค์จำนวนมาก อาณาจักรของพวกเราก็ไม่มีเงินเพียงพอจะสนับสนุนทุกคนได้หรอก เพราะท้ายที่สุดแล้ว อาณาจักรของพวกเรานั้นเล็กจ้อยมากเมื่อเทียบกับอาณาจักรใหญ่ๆอย่างอาณาจักรเฟยหลี่และอาณาจักรป่ายต้า หากเราไม่มีวังกักเก็บทักษะของตนเอง ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเราจะรวบรวมจ้าวมณีสวรรค์เพื่อสร้างกองกำลังที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้”

“ไปหาที่พักกันก่อนเถอะ พออาบน้ำทำความสะอาดร่างกายและเปลี่ยนชุดแล้ว เราจะไปหาอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ผู้เก่งกาจมากผู้หนึ่ง” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดหลังจากกรุ่นคิดสักพัก

“นี่ข้าหูฝาดไปหรือ? คนขี้เหนียวอย่างท่านถามหาโรงเตี๊ยมที่ต้องเสียเงิน!?” โจวเหว่ยชิงกล่าวพร้อมกับมองไปที่เธอด้วยความประหลาดใจ

ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลายเป็นสีแดง  “เจ้าอยากตายนักใช่ไหม? ยังอยากจะมีชีวิตอยู่หรือไม่!?”

“อยู่ !!!! แน่นอนว่าข้าอยู่!!! ”

สิบห้านาทีผ่านไป ทั้งสองคนก็ยืนอยู่ในห้องโถงของโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง โรงแรมนี้เล็กจริงๆ และมีชั้นเดียวเท่านั้น นอกเหนือจากความสะอาดแล้วโจวเหว่ยชิงก็ไม่สามารถหาข้อดีอื่นๆ ได้

“เถ้าแก่ ข้าขอห้องพักหนึ่งห้อง” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวกับเจ้าของโรงเตี๊ยมอายุ 50 ปีคนหนึ่งที่ยืนอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน

เถ้าแก่คนนั้นมองมาที่พวกเขาสองคนพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้ จากนั้นยื่นถุงกุญแจที่ปักลวดลายให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขากล่าว “เชิญที่ห้อง 1 พัก 2 วัน ทั้งหมด 1 เหรียญเงิน  อะแฮ่ม… พวกเจ้ายังเยาว์วัยนัก ต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจเสียบ้างนะ…”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รับถุงกุญแจมา เธอหันหลังกลับอย่างไร้อารมณ์ก่อนจะหันหน้าเดินหนีไป แต่โจวเหว่ยชิงกลับรีบถลาเข้าไปหาเถ้าแก่โรงเตี๊ยมก่อนจะแอ่นอกอวดกล้ามเนื้อของเขา “เถ้าแก่! สายตาท่านช่างเฉียบคมยิ่งนัก! ดูสิ ข้ายังหนุ่มแน่นสุขภาพดีขนาดนี้ เหตุใดจะต้องยับยั้งชั่งใจด้วยเล่า?”

“อ้วนน้อยโจว!!”

“ไปแล้วขอรับๆๆๆๆๆ!” โจวเหว่ยชิงรีบตอบกลับอย่างรวดเร็วก่อนจะวิ่งตามเธอไป

ขณะเดินตามซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาก็ถามขึ้นด้วยใบหน้าเศร้าๆ “ผู้บัญชาการกองพัน ในที่สุดเราก็มาถึงที่นี่สักที แต่ว่านะ ท่านจองห้องแค่ห้องเดียวแบบนี้ ท่านคงจะไม่ให้ข้าออกไปนอนข้างถนนเพื่อประหยัดเงินใช่ไหม?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตวัดสายตามองเขา “ข้ากับเจ้าจะนอนข้างในห้องเดียวกันนี้แหละ”

โจวเหว่ยชิงตกตะลึงทันที เขามึนงงจนตาพร่า อ้าปากค้างจนน้ำลายไหลออกมา จากนั้นก็บ่นพึมพำกับตัวเอง “นี่…นี่…ทำไมความสุขถึงมาเร็วขนาดนี้นักล่ะ ผู้บัญชาการกองพัน ความสัมพันธ์ของพวกเราก้าวหน้าลัดขั้นตอนเกินไปหรือเปล่า?”

“อ้วนน้อยโจว ข้าอดทนกับเจ้ามานานเกินไปแล้ว!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ข่มขู่เสียงต่ำ นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงรีบหุบปากลงทันที เนื่องจากเขารู้ว่าเสือโคร่งตัวเมียมักจะแผดเสียงเช่นนี้ก่อนจะโจมตีเสมอ

ห้องพักไม่ได้มีขนาดใหญ่มากแต่อย่างน้อยมันก็สะอาดสะอ้าน อีกทั้งจริงๆแล้วมันยังมีห้องน้ำแยกสำหรับอาบน้ำและขับถ่ายอีกด้วย ในนั้นยังมีอุปกรณ์ทุกอย่างครบครันเช่นกัน

ในห้องมีเพียงเตียงเดียวและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็วางกระเป๋าสัมภาระของเธอไว้บนนั้นก่อนจะนั่งลงบนเตียง ขณะนี้ใบหน้าที่งดงามของเธอดูเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก และโจวเหว่ยชิงมองดูด้วยความปวดใจ

“อ้วนน้อยโจว มานี่” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์บอกโจวเหว่ยชิงที่ยืนอยู่ข้างๆ

“อา…” เนื่องจากทำให้เธอโกรธไปก่อนหน้านี้ ครั้งนี้โจวเหว่ยชิงจึงเดินไปหาเธอด้วยสีหน้านอบน้อม ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความจริงใจเป็นอย่างมาก

ก่อนที่เขาจะได้หยุดเคลื่อนไหว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ขยับตัวอย่างฉับพลัน ความเร็วของเธอถูกเร่งไปที่ขีดจำกัดสูงสุด ในตอนนั้นโจวเหว่ยชิงมั่นใจว่าเธอใช้ทั้งมณียุทธ์ และมณีธาตุของเธอพร้อมๆ กัน เขาทันเห็นเพียงแค่แสงวูบผ่านเป็นเส้นตรงเส้นหนึ่ง จากนั้นมือทั้งสองข้างของเขาก็ถูกรวบไปไพล่ไว้ข้างหลังและถูกกดลงบนเตียงอย่างแรง

“ผู้บัญชาการกองพัน อย่ารุนแรงเลย!! ข้าจะไม่ต่อต้านเด็ดขาด!!!!” เมื่อสัมผัสได้ถึงมือนุ่มๆ ของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ หัวใจของโจวเหว่ยชิงก็เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น อย่างไรก็ตาม ครู่ต่อมาเขาก็ไม่สามารถรักษาสีหน้าลามกได้อีกต่อไป

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นำเชือกจากไหนไม่รู้มามัดมือ และเท้าของโจวเหว่ยชิงเอาไว้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ดึงเชือกให้กระชับแน่น

“ผู้บัญชาการกองพัน ท่านชอบแบบนี้หรือ!? ท่านคงจะไม่ได้ใช้แส้หรือเทียนไขด้วยใช่ไหม? ข้ากลัวเจ็บนะ!!” แม้แต่ในเวลาเช่นนี้ คนไร้ยางอายอย่างเขาก็ดันพูดโผล่งขึ้นมากลางคัน

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ฟาดเขาหนึ่งที ก่อนจะตอบ “หากเจ้าพูดอะไรไร้สาระอีก ข้าจะถอดถุงเท้าเจ้า จากนั้นก็เอาไปยัดปากเจ้าอีกที!”

“ข้าเงียบแล้วๆๆ!!!” ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าโจวเหว่ยชิงแล้วว่าถุงเท้าของเขาสกปรกเพียงใด ถ้าเขาถอดถุงเท้าออกและโยนไปที่ผนัง ด้วยความเหนียวเหนอะหนะ พวกมันอาจจะแปะติดอยู่กับผนังเลยก็เป็นได้…เมื่อจินตนาการว่าถุงเท้านั่นถูกยัดเข้ามาในปากของเขา…โจวเหว่ยชิงรีบหุบปากเงียบทันที

สักครู่ต่อมา ขณะที่ได้ยินเสียงน้ำไหล โจวเหว่ยชิงก็เข้าใจในที่สุดว่าทำไมซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงมัดเขาเอาไว้ ผู้บัญชาการกองพันผู้งดงามของเขากำลังอาบน้ำอยู่นั่นเอง เห็นได้ชัดว่านี่จึงเป็นการป้องกันไม่ให้เขาแอบดู จริงๆ แล้ว การกระทำของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่ได้ถูกต้องซะทีเดียว เพราะถึงกับมัดเข้าไว้เช่นนี้ โจวเหว่ยชิงจึงอดไม่ได้ที่จะหลุดลอยเข้าไปในฝันกลางวัน ในนั้นมีภาพที่เต็มไปด้วยความปรารถนาฟุ้งกำจายไปทั่วจิตใจของเด็กหนุ่ม อย่างไรก็ตาม ถึงอย่างไรเขาก็เคยเห็นเธอเปลือยมาก่อนแล้วนี่นา…

…………………………………………………………..