ในโลกมนุษย์มีซิ่วไฉเฒ่าอยู่คนหนึ่ง (กลาง) โดย ProjectZyphon

บุรุษชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้วแล้วประกบแทบจะติดกัน เอ่ยยิ้มๆ “ตอนนี้ความยุติธรรมที่ต้าหลีของพวกเราสามารถทวงคืนกลับมาได้มีน้อยมาก แค่เท่านี้เอง ทว่าเมื่อเทียบกับราชวงศ์อื่นๆ ของบุรพแจกันสมบัติทวีป ประเทศและราชวงศ์ที่ยินยอมเป็นทาสรับใช้พวกเทพเซียนบนภูเขาเหล่านั้นแล้ว พวกเราก็เรียกได้ว่าแตกต่างราวฟ้ากับเหว”

บุรุษสะบัดข้อมืออย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็กำมือเป็นหมัดแน่นแล้วชูขึ้นสูงไปทางหลังคาตำหนักแห่งนั้นคล้ายกำลังสำแดงบารมีให้ใครดู “ข้าหวังด้วยใจจริงว่าในอนาคตต้าหลีจะสามารถทวงคืนความยุติธรรมกลับมาได้มากเท่านี้ หรือมากยิ่งกว่านี้!”

ซ่งจี๋ซินฟังจนบื้อใบ้ไปแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มรู้สสึกว่าชายข้างกายตัวเองกลายเป็นคนที่มีเลือดมีเนื้อ ไม่ได้ดูไร้ชีวิตเหมือนบัลลังก์มังกรหรือชุดคลุมมังกรตัวนั้นอีกต่อไป

ชายสวมชุดคลุมหันหน้ากลับไปถาม “รู้หรือไม่ว่าประโยคไหนของอาเหลียงผู้นั้นทำให้ข้าโมโหที่สุด?”

ซ่งจี๋ซินปลุกระดมความกล้าแล้วตอบว่า “ประโยคที่เขาบอกให้ท่านออกมาโขกหัวยอมรับผิด?”

บุรุษหัวเราะเสียงดัง ส่ายหน้า “ในฐานะที่ข้าเป็นเจ้าของแผ่นดินต้าหลี ข้ายืนตายได้ แต่จะไม่ยอมคุกเข่ามีชีวิตอยู่เด็ดขาด หากแม้แต่ข้อนี้ก็ยังทำไม่ได้ ต้าหลียังจะคิดกรีฑาทัพลงใต้ ฮุบกลืนตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปอีกหรือ? คนเราหลอกตัวเองเพราะสวรรค์กลั่นแกล้ง คนเราแข็งแกร่งเพราะสวรรค์ประทานพลังให้ ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรจำประโยคนี้ไว้ อีกอย่างก็คือคำที่พวกเทพเซียนทั้งหลายพร่ำพูดว่าแจกันสมบัติทวีปของพวกเราเป็นทวีปที่เล็กที่สุดในใต้หล้า แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าพื้นที่ของทวีปหนึ่งกว้างใหญ่มากแค่ไหน? เจ้าลองพลิกหนังสือประวัติศาสตร์เกี่ยวกับใต้หล้าแห่งนี้เล่มไหนดูก็ได้ แล้วจะรู้ว่ามีใครเคยได้เป็นนายแห่งหนึ่งทวีปอย่างแท้จริงหรือไม่?”

สีหน้าซ่งจี๋ซินเด็ดเดี่ยว พยักหน้ารับ “คนเราแข็งแกร่งเพราะสวรรค์ประทานพลังให้ ข้าจำไว้แล้ว”

บุรุษกล่าวด้วยความเสียใจเล็กน้อย “ประโยคที่ทำให้ข้าโกรธอย่างแท้จริงก็คือ เขาบอกว่าต้าหลีไม่มีใครที่สู้ได้สักคน ไม่มีเลยสักคนเดียว ข้าค่อยๆ เดินทีละก้าวจนกลายมาเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตที่สิบ สำหรับบุรพแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้นับว่าร้ายกาจมากแล้ว ซ่งจ่างจิ้งอาของเจ้าก็ยิ่งเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตที่สิบ แต่ผลล่ะกลับเป็นอย่างไร? ในสายตาของคนอื่น พวกเรายังถือเป็นคนประเภท ‘สู้ไม่เป็น’ ก็แค่อาศัยโชคช่วย นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่…ข้ารอดมาได้”

“หากวันนี้ข้าเป็นขอบเขตสิบสอง ทำให้ไอ้หมอนั่นรู้สึกว่าข้ามีพลังมากพอที่จะต่อสู้กับเขา เกรงว่าเขาคงสังหารข้าในดาบเดียวเลยกระมัง”

จู่ๆ บุรุษก็หัวเราะเสียงดังอย่างไร้สาเหตุ มอบความรู้สึกของผู้กล้าถึงคราวไม้ใกล้ฝั่งให้แก่ผู้คน

ประโยคไหนซ่งจี๋ซินดันไม่พูด ดันพูดว่า “ดาบเดียว?”

บุรุษพยักหน้า “มั่นใจได้เลยว่าแค่ดาบเดียวข้าก็ตายแล้ว ไอ้หมอนั่นคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสามขั้นสูงสุด เพราะเป็นผู้ฝึกกระบี่ ถึงได้ไม่มีเหตุผลขนาดนั้นอย่างไรล่ะ”

ใบหน้าซ่งจี๋ซินเต็มไปด้วยอาการคิดไม่ตก เผยอปากหลายครั้ง แต่ก็กลืนคำพูดกลับไปทุกครั้ง ราวกับว่ามีคำถามหนึ่งที่กวนใจ แต่กลับไม่สะดวกจะเอ่ยออกมา

บุรุษเอนตัวไปด้านหลัง ข้อศอกสองข้างยันพื้น แหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยท่วงท่าผ่อนคลายเช่นนี้ “เจ้าอยากถามใช่ไหมว่าทำไมถึงไม่ฆ่าพวกเราก่อนแล้วค่อยบินขึ้นไปยังสถานที่แห่งนั้นที่คนในโลกไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด?”

ซ่งจี๋ซินใช้หลังมือเช็ดซีกแก้มด้านข้างของตัวเองอย่างแรง อืมรับหนึ่งที

บุรุษกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ก่อนหน้าที่จะบอกคำตอบแก่เจ้า จะบอกข่าวร้ายอย่างหนึ่งให้เจ้ารู้ก่อน ตำนานเล่าลือกันว่าบุคคลยิ่งใหญ่ที่ฝ่าทะลุขอบเขตสิบสามไปแล้วสามารถกลับลงมาใหม่ได้อีกครั้ง กลับมายังโลกมนุษย์ที่อยู่ใต้ฟ้าของพวกเรา แม้ว่าจำนวนครั้งจะน้อยมากๆ แต่จะอย่างไรวะก็เคยมีตัวอย่างปรากฏขึ้นมาก่อน เมธีร้อยสำนัก ตระกูลใหญ่มีอายุยาวนานนับพันปีต่างก็จงใจเลือกจะปิดเป็นความลับด้วยวัตถุประสงค์บางอย่าง

ความคิดของซ่งจี๋ซินเฉียบไว สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความตะลึงพรึงเพริด

บุรุษทอดถอนใจ “ดังนั้นถึงได้บอกว่าเส้นทางสายนี้ที่ต้าหลีของพวกเราเลือกยังอีกยาวไกล ความรับผิดชอบหนักหน่วงความยากลำบากย่อมเนิ่นนาน เจ้าอย่าได้ท้อใจไป”

สุดท้ายบุรุษชี้ไปยังมุมใดมุมหนึ่งของวังหลวง กล่าวยิ้มๆ ว่า “มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกมารดาเขาสอนมาเองกับมือ ในอดีตไม่ว่าให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมไปเรียนที่สำนักศึกษาซานหยา ส่วนข้าก็คร้านจะสนใจ เจ้าเด็กน้อยผู้นี้มีนิสัยน่าสนใจมาก หากข้างทางมีหมาร้องขู่จะกัดเขา ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เด็กหนุ่มก็จะต้องฆ่าหมาตัวนั้นทิ้งแล้วเอาเนื้อมันมาตุ๋นกิน ไม่แน่ว่าอาจจะยังตามหาญาติโกโหติกาของหมาตัวนั้นออกมาฆ่าทิ้งให้หมดด้วยถึงจะสาแก่ใจ แล้วเจ้าล่ะ? ซ่งจี๋ซิน?”

ซ่งจี๋ซินกล่าวอย่างไม่ลังเล “ข้าก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน!”

บุรุษพยักหน้ารับ “ตอนยังเด็กข้าเองก็เคยเป็นแบบนี้ แต่พอนั่งบนบัลลังก์มังกรแล้วนิสัยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะจู่ๆ วันหนึ่งข้าก็รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา”

บุรุษหันหน้ากลับมายิ้มให้ “แต่ตอนที่ยังเป็นหนุ่มแล้วมีนิสัยแบบนี้ ถือเป็นเรื่องดี มุ่งหน้าอย่างองอาจกล้าหาญ ฉายประกายแสงแห่งความคมกริบ ใครเคารพข้าหนึ่งฉื่อ ข้าเคารพเขาหนึ่งจั้ง ใครรังแกข้าหนึ่งครั้ง ข้ารังแกเขาทั้งชาติ ชายชาตรีต้องเป็นอย่างนี้!”

ซ่งจี๋ซินเอ่ยเสียงเบา “ข้ายังนึกว่าท่านจะรู้สึกผิดหวังอย่างมาก”

บุรุษตบไหล่ของเขา “ไม่ผิดหวัง หากว่าเจ้าอายุยังน้อยแล้วไม่มีความสามารถที่เป็นจริงเป็นจังอะไร แต่เรียนรู้ที่จะอ่านสีหน้าท่าทางของข้า จากนั้นก็พูดด้วยถ้อยคำงดงาม หรือเสนอวิธีการที่ดีแต่เปลือกเหมือนที่พวกขุนนางในราชสำนักชอบทำเวลาคาดเดาใจข้า นั่นต่างหากถึงจะทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”

ซ่งจี๋ซินโน้มตัวไปด้านหน้า วางมือทั้งคู่บนหัวเข่า ทาบคางไว้บนหลังมือ “แต่ข้ารู้จักคนคนหนึ่งที่อาจจะเลือกทำในสิ่งที่ต่างจากนี้”

บุรุษนั่งตัวตรง ยื่นมือไปลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม “เชื่อสายตาข้าเถอะ ไอ้หมอนั่นจดจำความแค้นได้ดียิ่งกว่าใครทั้งนั้น เขาก็แค่ลำบากมามากตั้งแต่เด็ก อายุยังน้อยก็รู้จักที่จะเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึก หากคนแบบนี้กลายเป็นศัตรูเมื่อไหร่ นั่นต่างหากถึงจะเป็นภัยร้ายไม่จบสิ้นอย่างแท้จริง ดังนั้นข้าถึงได้เลือกที่จะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งกับเรื่องการสังหารของศาลาคลื่นมรกต”

“แต่เจ้าวางใจเถอะ เขาไม่เคยเห็นเจ้าเป็นศัตรู โดยเฉพาะหลังจากที่เจ้าอาศัยสัญชาตญาณของตัวเองทำเรื่องเล็กสองเรื่องที่มองดูเหมือนไม่มีสาระนั่น เขาก็ยิ่งไม่คิดเช่นนั้นเข้าไปใหญ่”

ใบหน้าของซ่งจี๋ซินแดงก่ำ

ชายสวมชุดคลุมมังกรกล่าวอีกว่า “แต่หากวันใดเจ้ากลายเป็นฮ่องเต้ต้าหลี นั่นก็พูดยากแล้ว”

“ฉวยโอกาสที่คนผู้นั้นเพิ่งจะบินขึ้นฟ้า ไม่มีทางย้อนกลับมาโลกมนุษย์ในเวลาสั้นๆ นี้ พวกเราควรถอนรากถอนโคนเสียให้สิ้นซากในคราวเดียว กำจัดคำว่า ‘ถ้าหาก’ นี้เสียแต่เนิ่นๆ”

หลังจากที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ซ่งจี๋ซินเพิ่งจะพูดหลุดปากก็พลันเสียใจภายหลัง ปฏิเสธความคิดตัวเองโดยการพึมพำเบาๆ ว่า “ไม่ได้ หากคนผู้นั้นกลับมาในภายหลัง ต้าหลีต้องสิ้นชาติจริงๆ แน่”

บุรุษอารมณ์ดีทันใด กล่าวปลอบใจว่า “รู้สึกว่าปัญหาข้อนี้ไม่อาจแก้ไขใช่หรือไม่? ไม่เป็นไร นั่นก็แค่เพราะว่าตำแหน่งของเจ้าซ่งจี๋ซินยังไม่สูงพอเท่านั้น”

ซ่งจี๋ซินหงุดหงิดเล็กน้อย ได้แต่ปลอบใจตัวเองอยู่ในใจเงียบๆ ว่า คนเราแข็งแกร่งเพราะสวรรค์ประทานพลังให้

บุรุษเอ่ยยิ้มๆ “ชั่วชีวิตหนึ่งของคนเราจำเป็นต้องมีมิตรหรือศัตรูสักคนสองคนอยู่ ถึงจะน่าสนใจ ข้ามีมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว เจ้าเองก็เหมือนกัน”

เงียบไปครู่หนึ่ง ซ่งจี๋ซินก็กล่าวอย่างคลางแคลงใจว่า “ท่านยังไม่ได้ตอบคำถาม”

“ค่อยๆ คิดไปเองเถอะ ข้ายังไม่ได้นิสัยดีถึงขนาดที่ถูกคนโจมตีเกือบตายแล้วยังสะกิดเปิดบาดแผลของตัวเองขึ้นมาอีก ใช่แล้ว กลายเป็นเจ้าของหอป๋ายอวี้จิงมีแต่ผลประโยชน์ ไม่มีผลเสีย เรื่องนี้ข้าหลอกแม่เจ้า เชื่อว่าหลังจากที่เจ้าสูญเสียการควบคุมกระบี่บินไปแล้วจะรู้ว่าข้าไม่ได้โกหกเจ้า ส่วนความหมายที่ซุกซ่อนอยู่ในนี้ เจ้าลองใคร่ครวญเองให้ดี ไม่ว่าเรื่องอะไรคิดให้เยอะหน่อยย่อมดีเอง”

บุรุษที่เปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์เพิ่งจะขยับก้นลุกขึ้นเตรียมจะจากไป แต่กลับนั่งลงไปดังเดิม แล้วจับฝ่ามือของเด็กหนุ่มขึ้นมาพลางหัวเราะ “ข้าจะดูลายมือให้เจ้า ข้าพอจะมีความรู้อยู่บ้าง แต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีโอกาสได้ใช้ วันนี้จะเอามาลองดูกับมือเจ้าแล้วกัน”

เด็กหนุ่มส่งมือไปอย่างมึนงง

บุรุษดูลายมือกลางฝ่ามือของเด็กหนุ่มพลางกล่าวไปเรื่อยเปื่อยว่า “อีกสิบปีหรือสิบห้าปีให้หลัง เจ้าสามารถสนิทสนมกับซ่งจ่างจิ้งอาของเจ้าได้ดังเดิม แต่ห้ามเกิดใจคิดพึ่งพาเด็ดขาด ส่วนจะถามว่าควรใช้วิธีใดทำให้ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์คนนี้ยอมศิโรราบต่อเจ้าที่เป็นเด็กรุ่นหลังทั้งกายและใจ ก็อย่าหวังเลยจะดีว่า น้องชายของข้าคนนี้น่ะ แม้แต่ใจทะเยอทะยานของตัวเองเขายังคร้านจะปิดบัง ต่อให้ข้าที่เป็นพี่ชายซึ่งข่มเขามาตั้งแต่เด็กๆ ก็ยังไม่กล้าวางท่าว่าอยากจะปราบสัตว์ร้ายจอมพยศอย่างเขา”

“ไม่ว่าเคียดแค้นใคร แต่ก่อนหน้าที่เจ้ายังไม่เติบโตอย่างแท้จริง สามารถคิดแก้แค้นอยู่ในใจตัวเองได้ แต่ห้ามลงมือง่ายๆ เด็ดขาด”

“แต่ก็ไม่ควรเกิดความคลางแคลงใจต่อท่านอาของเจ้าเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของข้า เขาน่ะ คือวีรบุรุษผู้แกล้วกล้าอย่างแท้จริง หาไม่แล้วก็คงไม่พูดคำจากใจจริงว่า ‘บนโลกจะมีแค่ต้าหลีที่มีเป็นวีรบุรุษเพียงหนึ่งเดียวได้อย่างไร’ ออกมา ดังนั้นในอนาคตขอแค่เจ้ามีจุดที่แข็งแกร่งกว่าเขา ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยอมรับในตัวเจ้าจริงๆ ก็ได้”

ครู่หนึ่งต่อมา ฮ่องเต้ต้าหลีก็หัวเราะแล้วลุกขึ้นเดินจากไป

เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น ยังคงฟุบบนเข่าของตัวเองต่อไป

ชายผู้นี้อาจพูดประโยคบางอย่างที่ฟังแล้วเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ ทว่าระหว่างนี้บุรุษกลับเขียนตัวอักษรสี่คำลงบนฝ่ามือของเขาอย่างไม่กระโตกกระตาก

อายุ สาม

ระวัง

ซ่งจี๋ซินพลันเงยหน้าขึ้นตะโกนใส่แผ่นหลังของคนผู้นั้นที่ก้าวยาวๆ จากไป “ท่านพ่อ!”

บุรุษหมุนตัวหันกลับมาส่งยิ้มให้เด็กหนุ่ม สีหน้านั้นไม่เหมือนจักรพรรดิคนหนึ่งเลย เขามองเด็กหนุ่มอยู่อย่างนั้น

และปณิธานที่แท้จริงของชายผู้นี้ก็คือต้องการพูดคุยเรื่องกฎระเบียบด้านล่างภูเขากับเทพเซียนบนภูเขาทั่วหล้า สติปัญญาและกำลังของทั้งชีวิตเหมือนจะทุ่มเทหายไปหมดดั่งกระแสน้ำที่ไหลรินอย่างเงียบเชียบ

ซ่งจี๋ซินลุกขึ้นยืน ดวงตาแดงก่ำ กัดริมฝีปากจนเลือดไหล เด็กหนุ่มต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง

ทว่าบุรุษกลับหันตัวกลับไปแล้ว ทิ้งสองประโยคที่ไม่เกี่ยวข้องกันไว้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “การเดินทางพันลี้เริ่มที่ก้าวแรก วันหน้าอาหารสามมื้อต้องกินให้ตรงเวลา”

……

ซิ่วไฉเฒ่าผู้หนึ่งที่ท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทางเดินออกมาจากภูเขาฉีตุน หลังจากเดินมาถึงตีนเขาได้ในที่สุดก็จับประคองสัมภาระด้านหลังตัวเอง ประคองเอวแล้วทอดถอนใจ “เอวแก่ๆ กระดูกแก่ๆ ของข้านี้ เวรกรรม เวรรกรรมแท้ๆ”