วัลโดหัวเราะกลิ้ง ชายชราผู้นี้อยากจะทำเจ้าชู้แต่ปีศาจน้อยอย่างแคลร์เก่งมากจริงๆ นางเดาได้ว่าคลิฟจะต้องมีคำขอหื่นๆ จึงหามาตรการรับมือไว้ก่อนแล้ว จินเหยียนยังกลั้นขำอยู่ข้างหลังอยู่เลย 

 

 

“อาจารย์ ข้าอยากให้อาจารย์ได้เห็นสิ่งนี้” แคลร์คว้าไป๋ตี้ที่อยู่ในอ้อมแขนของนางออกมา “นี่มันสัตว์เวทย์อะไรกัน? “ 

 

 

“นี่อะไร? ” คลิฟมองไปที่เจ้าขนปุยตัวน้อยในมือของแคลร์ด้วยความประหลาดใจ “เจ้าชอบสัตว์เลี้ยงน่ารักแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? “ 

 

 

“อาจารย์ไม่รู้จักเจ้านี่หรือ?” แคลร์งง หากแม้แต่คลิฟผู้เป็นจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้จักก็คงยากแล้วที่นางจะได้รู้จักตัวตนของเจ้าตัวน้อยนี้ 

 

 

คลิฟขมวดคิ้วและมองเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนของแคลร์อย่างจริงจังแล้วมองมันอีกครั้ง จากนั้นก็ส่ายหัวและพูด “ข้าไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อนเลย” 

 

 

แคลร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก้มหัวลงมองไป๋ตี้ในอ้อมแขนของนาง เจ้าขนปุยตัวน้อยนี้ดูแปลกๆ แถมยังเอาแต่ใจมากที่มาสร้างพันธะด้วย แต่แคลร์กลับไม่รู้สึกถึงพลังเวทย์ใดๆ ในตัวของมันเลย ไม่ว่านางจะมองหรือใช้ความรู้สึก เจ้าขนปุยตัวน้อยนี้ก็เป็นแค่สัตว์ตัวเล็กๆ ที่น่ารัก ไม่เหมือนสัตว์เวทย์ที่จะสามารถบังคับให้คนสร้างพันธะด้วยได้เลย 

 

 

“แคลร์! หลังจากการทดสอบของข้าเสร็จสิ้น เจ้าต้องตามข้าไปฝึกขั้นต่อไปนะ” คลิฟพ่นลมออกทางจมูกอย่างไม่พอใจ 

 

 

“ได้ แต่อาจารย์ ดูเหมือนว่าอาจารย์จะทำการทดลองนี้มานานแล้วนะ” แคลร์ปล่อยเรื่องของไป๋ตี้ไว้ก่อน แล้วถามอย่างสงสัย 

 

 

“วัตถุดิบหายาก หายากมากๆ ” คลิฟขมวดคิ้วและถอนหายใจ “จริงสิ ในเมื่อเจ้ามาที่นี่ในวันนี้ ข้าจะสอนคาถาสองสามอันให้เจ้า เจ้าจำมันเองนะ” คลิฟพูดและยื่นมือออกมา แสงอ่อนๆ เข้าสู่หัวของแคลร์ แล้วคาถาบางอย่างก็หลั่งไหลเข้าสู่จิตใต้สำนึกของแคลร์ 

 

 

“เอาล่ะ ไม่มีอะไรแล้วเจ้าไปก่อนได้เลย เดี๋ยวทางนี้เรียบร้อยแล้ว ข้าจะไปหาเจ้าเอง” คลิฟพูดพร้อมกับโบกมือ 

 

 

“อื้ม” แคลร์พยักหน้าและถอยออกไปโดยมีไป๋ตี้อยู่ในอ้อมแขน 

 

 

ทันทีที่นางขึ้นรถม้าตรงทางเข้าสภาเวทย์มนตร์ แคลร์ก็เห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ สัญลักษณ์ที่รถม้านั้นชัดเจนมากว่าเป็นสัญลักษณ์ของวิหารแห่งแสง 

 

 

คนจากวิหารแห่งแสงมาที่นี่ทำไม? 

 

 

แคลร์มองทางหน้าต่างและเห็นราอูลออกจากรถม้าอย่างอารมณ์ดี แล้วก็เข้าไปในสภาทันที ที่แท้ก็เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของอาจารย์ แต่ว่าวิหารแห่งแสงกับสภาเวทย์มนตร์ปกติแล้วจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันนี่ ทั้งสองหลีกเลี่ยงกันมาตลอด วันนี้พวกเขามาที่นี่ได้อย่างไร? 

 

 

“คุณหนู ดูแปลกๆ นิดหน่อยนะ” จินเหยียนเองยังรู้สึกแปลกๆ 

 

 

“คนของวิหารแห่งแสงมาที่นี่อย่างเปิดเผย หรือว่าเวลาของคำทำนายนั้นใกล้เข้ามาแล้วหรือ?” เสียงของวัลโดดังขึ้น 

 

 

“คำทำนายอะไร” แคลร์ถามเรียบๆ 

 

 

“มันเป็นเรื่องไร้สาระ เมื่อพันปีก่อนมีคำทำนายที่ว่าผู้หญิงที่มีสีดำคู่จะปรากฏตัวขึ้นและมาทำลายพลังแห่งแสง” วัลโดพูดอย่างสบายๆ “ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนที่มีผมสีดำและตาสีดำมาก่อน มันเป็นเรื่องไร้สาระ ไปกันเถอะ” 

 

 

แคลร์พยักหน้า “ไปกันเถอะ ไปที่ห้องสมุดของเมือง ข้าจะไปหาให้พบว่ามีหนังสือสัตว์เวทย์เล่มไหนที่ข้ายังไม่เคยเห็นมาก่อนหรือไม่ ข้าจะไปหาดูว่าเจ้าตัวเล็กนี้คืออะไร” แคลร์ก้มหน้าลง ไป๋ตี้นอนลงอย่างเงียบๆ ในอ้อมแขนของนาง 

 

 

ณ ห้องสมุดของเมือง ประตูหยกสีขาวสูงและรูปปั้นหนังสือที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าประตูเป็นสัญลักษณ์ของความใฝ่รู้ 

 

 

นี่คือสถานที่ที่แคลร์เคยไปเยี่ยมชม ไม่ใช่เพื่ออ่านหนังสือ แต่เพื่อไปหาชายหนุ่มรูปงาม 

 

 

เมื่อแคลร์ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูห้องสมุดก็ทำให้เกิดความวุ่นวายเล็กน้อย ชายหญิงทุกคนมองมาและมีการกระซิบกระซาบกันเกิดขึ้น 

 

 

คำที่เข้าหูแคลร์มากที่สุดก็คือแคลร์ผู้สร้างปาฏิหาริย์ 

 

 

“ข้ามีฉายานี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” แคลร์ขมวดคิ้วและพูดเบาๆ 

 

 

“ตั้งแต่คุณหนูแสดงให้เห็นว่าเป็นนักรบเวทย์ เอาชนะชายคนนั้นได้วันนั้น ผู้คนในเมืองก็เรียกเช่นนี้มาตลอด แคลร์ผู้สร้างปาฏิหาริย์” จินเหยียนพูดเบาๆ พี่สาวของราเซียเด็กอัจฉริยะก็คือแคลร์ผู้สร้างปาฏิหาริย์ 

 

 

น่าเบื่อ แคลร์บ่นในใจแล้วเดินไปที่บริเวณความรู้เบ็ดเตล็ด 

 

 

ดวงตาที่ไร้ความปรานีสองสามคนติดตามแคลร์อยู่ 

 

 

แคลร์ก็รู้สึกได้ถึงดวงตาที่มีเจตนาร้ายเหล่านั้นเช่นกัน 

 

 

“พวกเขาคือนักเรียนจากไรซิ่งซัน” เสียงของจินเหยียนกระซิบข้างหูของแคลร์ “น่าจะเป็นคนที่ตกรอบในการประลอง คงจะไม่พอใจในชัยชนะของคุณหนูครับ” 

 

 

แคลร์มองคนพวกนั้น เด็กสาวกำลังมองมาที่นางอย่างเย็นชาและรีบมองไปทางอื่นเมื่อถูกจับได้ 

 

 

“ไม่พอใจแล้วยังไง ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะผ่านคัดเลือก ยังเทียบน้องสาวนกยูงของเจ้าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ” วัลโดพูดอย่างเหยียดหยาม ราเซียเดินจมูกเชิดทั้งวัน ไม่ใช่นกยูงหรือไงล่ะ? 

 

 

“ทั้งสามคนเป็นนักรบทั้งหมด” จินเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย มองทั้งสามคนที่รวมตัวกันราวกับกำลังคุยอะไรบางอย่างอยู่ 

 

 

แคลร์ไม่สนใจ นางวางไป๋ตี้ไว้บนไหล่แล้วมองหนังสือด้านบน ซึ่งมีทั้งหนังสือสัตว์เวทย์ หนังสือสัตว์ประหลาด และยังมีหนังสือเกี่ยวกับภูตผีด้วย 

 

 

การถือหนังสือเล่มหนักๆ นั้นเป็นเรื่องลำบาก แคลร์จึงหยิบหนังสือทั้งหมดที่นางอยากอ่านแล้วส่งให้จินเหยียนถือไว้ แคลร์นั่งลงที่โต๊ะที่ใกล้ที่สุดและเริ่มอ่าน 

 

 

จินเหยียนยืนอยู่ข้างหลังแคลร์มองคนทั้งสามที่ดูไม่เป็นมิตร หญิงสาวที่เป็นผู้นำกลุ่มมีดาบใหญ่ที่มีรูปร่างแปลกประหลาดคาดอยู่ด้านหลัง นางเดินมาหาแคลร์ด้วยสีหน้าเย็นชา เด็กสองคนที่อยู่ข้างหลังก็ดูท่าทางไม่เป็นมิตรเช่นกัน บางครั้งบางคราสายตาของพวกเขาก็มองไปยังดาบวิเศษที่คาดอยู่ที่เอวของจินเหยียน นั่นคือรางวัลสำหรับการประลองในครั้งนั้น พวกเขาไม่คิดเลยว่าหลังจากที่ได้รับแล้ว แคลร์จะมอบให้กับอัศวินของนาง! 

 

 

“แคลร์ ฮิลล์ ข้าชื่ออลิซ โรม ข้าจะขอดวลกับเจ้าเดี๋ยวนี้เลย! ” หญิงสาวมองแคลร์แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและจริงจัง 

 

 

จินเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินนามสกุลนี้ นางเป็นลูกสาวของตระกูลโรมหรือ? ตระกูลโรมเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงมากในเมือง หลายๆ คนในตระกูลนี้ก็มีตำแหน่งในราชสำนักด้วย 

 

 

ท้าดวล?! 

 

 

ผู้คนที่อยู่รอบๆ ต่างอึ้ง จู่ๆ ในห้องสมุดที่เงียบสงบก็มีเสียงดังขึ้น ในการดวล หากอีกฝ่ายกลัวและไม่ยอมรับก็ถือเป็นเรื่องน่าอับอายมาก เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นนักรบขั้นสูง แม้ว่าแคลร์จะมีการฝึกฝนทั้งเวทมนตร์และพลังยุทธ์แบบควบคู่กัน แต่ระดับการฝึกฝนของนางยังไม่สูงนัก การกระทำของหญิงผู้นี้มากเกินไปหรือไม่? 

 

 

เสียงพูดคุยดังขึ้น ผู้คนต่างก็อยากเห็นปฏิกิริยาของแคลร์มากขึ้นด้วยเช่นกัน 

 

 

“ไม่ว่าง” แคลร์เปิดอ่านหนังสือบนโต๊ะแล้วพูดเรียบๆ โดยไม่หันไปมองหญิงสาว ท่าทางที่ไม่ใส่ใจของแคลร์ทำให้คนรอบข้างอึ้ง 

 

 

คนรอบข้างมองแคลร์ด้วยความประหลาดใจ นางรู้หรือไม่ว่าการปฏิเสธเช่นนั้นเป็นการดูถูกอีกฝ่ายมากที่สุด? ในกรณีนี้อีกฝ่ายอาจฆ่านางได้ถึงแม้จะเป็นการเสี่ยงตายก็ตาม การปฏิเสธที่ไม่แยแสเช่นนี้ นางคิดว่าการต่อสู้เป็นคำเชิญไปทานอาหารค่ำงั้นหรือ? 

 

 

แน่นอนว่าใบหน้าของหญิงสาวที่ชื่อว่าอลิซเปลี่ยนไปในทันที นางกัดฟันแน่น หัวใจของนางเต็มไปด้วยความโกรธ หญิงบ้าผู้ชายผู้หยิ่งผยองคนนี้ หลังจากที่ได้เรียนพลังยุทธ์เพียงเล็กน้อยก็คิดว่าจะอยู่ยงคงกระพันงั้นสิ หากเป็นอลิซเองที่ได้เผชิญหน้ากับเฟิงอี้เซวียนในวันนั้น เขาจะต้องได้พบกับความสูญเสียที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นอีก! เพราะสิ่งที่แคลร์แสดงให้เห็นในวันนั้นเป็นเพียงแค่ระดับนักดาบขั้นสูงเท่านั้นเอง! ถ้าเปลี่ยนเป็นนางเอง เฟิงอี้เซวียนจะต้องถูกทุบจนเละน่าเกลียดแน่นอน! (เด็กผู้นี้ช่างไร้เดียงสาจริงๆ คนเขาจะยืนเฉยปล่อยให้เจ้าทุบตีงั้นหรือ? แคลร์ไม่เหมือนนาง ในสายตาของผู้ที่ยึดถือความยุติธรรม วิธีการที่โหดเหล่านี้ทั้งสกปรกและต่ำต้อย เป็นไปไม่ได้เลยที่แคลร์จะใช้มัน) 

 

 

“คนในตระกูลฮิลล์ขี้ขลาดไร้กระดูกสันหลังและไร้ซึ่งพลังขนาดนั้นเลยหรือ? ทำไมเจ้าถึงไม่กล้ารับคำท้าของข้าล่ะ” อลิซหัวเราะเยาะ พยายามควบคุมความโกรธในใจไว้อย่างมาก 

 

 

“อย่างน้อยคนในตระกูลฮิลล์ก็มีการศึกษาสูง ไม่ตะโกนเหมือนคนปากร้ายในห้องสมุดที่เงียบสงบเช่นนี้” ก่อนที่แคลร์จะพูดอะไร น้ำเสียงเย็นชาก็ลอยแทรกเข้ามา 

 

 

ทุกคนต่างตกตะลึง เมื่อหันกลับไป ก็มองเห็นราเซียที่มีใบหน้าเย็นชากำลังมองมาทางนี้ สิ่งที่ราเซียพูดเมื่อกี้นี้แสดงให้เห็นว่านางอยู่ในห้องสมุดมาตลอด และนางได้เห็นทุกอย่างตั้งแต่แคลร์เข้าไปในห้องสมุดแล้ว 

 

 

ใบหน้าของอลิซโกรธมาก การแสดงออกของนางในตอนนี้ดูไร้การศึกษา ห้องสมุดในเมืองเป็นศูนย์รวมผู้ที่มีความสามารถ ผู้ที่สามารถยืมหนังสือที่นี่ได้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป คำพูดและการกระทำของนางในตอนนี้ไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน หลังจากที่นางได้สติก็รู้สึกเสียใจ แต่นางก็ยังคงพูดอย่างนุ่มนวล “ราเซียผู้อัจฉริยะ เจ้าบาดเจ็บจนเกือบเสียชีวิต และเกือบทำให้ประเทศของเราต้องอับอาย” อลิซคนนี้ไม่ชอบราเซียมานานแล้ว นักเวทย์ผู้เป็นอัจฉริยะที่อยู่ใกล้นักรบเท่ากับความตายไม่ใช่หรือ 

 

 

สีหน้าของราเซียเปลี่ยนไป 

 

 

น้ำเสียงเย็นชาของแคลร์ดังเข้ามาอย่างถูกเวลา “คนที่ไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะผ่านเข้าไปในการประลองอย่างเจ้าจะมาเห่าอะไรที่นี่ เจ้ารู้สึกเสียดายที่ในที่สุดแล้วประเทศของเราไม่ได้อับอายขายหน้า หรือว่าเสียดายที่เจ้าเองเข้าไปประลองไม่ได้ก็เลยอดทำให้ประเทศอับอายขายหน้าด้วยตัวเจ้าเองล่ะ? ” แคลร์พูดคำเหล่านั้นออกไป นางไม่เคยสนใจคนชั้นสูงทั้งหลายหรอก 

 

 

“เจ้า! ” อลิซโกรธและชักดาบที่หลังของนางออกมาชี้ไปที่แคลร์ 

 

 

บรรยากาศในห้องสมุดตึงเครียดขึ้นมาทันที 

 

 

“ฮ่าๆ ” แคลร์ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยงามที่ผู้คนต่างหลงใหลของนาง แต่สิ่งที่แคลร์พูดกลับไม่เป็นเช่นนั้น “เจ้าปากร้ายตัวน้อย ไปสิ ข้าจะยอมรับการดวลของเจ้า ออกไปข้างนอกกัน อย่ามาส่งเสียงดังรบกวนการอ่านหนังสือของคนที่นี่เลย” น้ำเสียงอ่อนโยนและรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ทำให้ผู้คนหลงใหล จนไม่มีใครสามารถจับใจเจตนาที่แฝงอยู่ในคำพูดของนางเลย 

 

 

ร้ายจริงๆ คำพูดของนางเข้ามาในความคิดของวัลโดทันที อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกผู้หญิงเลยทีเดียว คำพูดของนางช่างเป็นมีดที่อ่อนโยนจริงๆ ช่างยอดเยี่ยม คำพูดที่ให้ความรู้สึกอันยอดเยี่ยม ราวกับว่าเขารกำลังจะถูกเชือด แต่เขาก็ยังอยากช่วยนางเช็ดมีดไปด้วย วัลโดสามารถสรุปจากประสบการณ์ได้ว่า เวลาที่ปีศาจน้อยหัวเราะ นี่คือช่วงเวลาที่น่ากลัวที่สุด 

 

 

แคลร์ค่อยๆ ลุกจากที่นั่งแล้วเดินไปที่ประตู เมื่อนางเดินผ่านราเซีย นางก็เห็นความกังวลปรากฏขึ้นในดวงตาของน้องสาว จากนั้นก็มีคำพูดแผ่วเบาออกมา “ท่านพี่…….” 

 

 

……………………………………………………………………………..