ตอนที่ 91 พู่หยกพระสังกัจจายน์ / ตอนที่ 92 สมบัติตกทอด

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 91 พู่หยกพระสังกัจจายน์

นางยื่นมือไปฉวยพู่หยกจากในมือของหลิวซื่อ มาไว้ในมือของตนเอง “สินเดิมของเจ้ารึ สกุลหลิวของพวกเจ้ายากจนถึงขนาดที่ว่าไม่มีข้าวกิน ยังมีสินเดิมเช่นนี้ให้เจ้า เจ้าคิดว่ากำลังหลอกผู้ใดอยู่”

หลิวซื่อมีสีหน้าไม่พอใจ ปากแข็งกล่าวว่า “แม้สกุลหลิวของพวกข้าจะยากจน แต่ก็ไม่ใช่คนขี้เหนียว พู่หยกชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ตกทอดในสกุลหลิวของพวกข้า ให้ข้าเป็นสินเดิมแล้วมีอะไรแปลกหรือเจ้าคะ”

หญิงชราแค่นหัวเราะ “เช่นนั้นก็แปลกเกินไปแล้ว เพราะบ้านของพวกเจ้ายากจนนัก น้องชายของเจ้าอายุสามสิบกว่าแล้วถึงจะแต่งภรรยาได้ บิดามารดาของเจ้าลำเอียงถึงเพียงนั้น ให้ของดีเช่นนี้กับเจ้า แต่ให้น้องชายของเจ้าเป็นโสดเพราะความยากจนหรือ พูดเช่นนี้ออกมาก็ต้องมีคนเชื่อบ้างสิถึงจะถูก”

“สิ่งของนี้ เป็นสิ่งที่สกุลหลิวของค่าส่งทอดให้สตรี ไม่ใช่บุรุษ แน่นอนว่าย่อมเป็นของข้า มีปัญหาอะไรหรือไม่เจ้าคะ” หลิวซื่อกล่าวพร้อมหน้าแดง

แม่สามีถลึงตาใส่นางครั้งหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวเสียงดัง “เจ้าใหญ่ เจ้ามาตรงนี้หน่อย”

เจ้าใหญ่ที่เดิมทีนั่งตากลมอยู่หลังลานบ้าน ได้ยินแล้วก็รีบเข้ามา “ท่านแม่เรียกข้าหรือ”

ฝ่ายมารดาถามอย่างตรงประเด็น “ตอนที่ภรรยาของเจ้าแต่งให้เจ้า นอกจากผ้าห่มไหมขาดๆ แล้ว ยังมีสินเดิมอื่นอีกหรือไม่”

ทันใดนั้นเจ้าใหญ่ก็ส่ายหน้า “ไม่มี นอกจากผ้าห่มขาดๆ ผืนหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีของอย่างอื่นอีก อ้อ ยังมีเสื้อผ้าอีกชุดหนึ่ง เป็นเสื้อผ้าที่แก้มาจากมารดาของนาง นอกนั้นก็ไม่มีแล้ว”

หญิงชราหันไปมองหลิวซื่อ “ได้ยินหรือไม่”

หลิวซื่อยังคิดจะกล่าวอีก ทว่าแม่สามีกลับโบกมือด้วยความรำคาญ “หุบปากของเจ้าเสีย สกุลหลิวของพวกเจ้าเป็นครอบครัวเช่นไร ข้าหรือจะไม่รู้ ก่อนที่เจ้าจะเกิดมา ก็มีเด็กหิวตายไปสามคนแล้ว เป็นอย่างไร มีหรือจะไม่รู้จักนำของดีเช่นนี้ไปขายแลกเงินต่อชีวิต ยังให้เจ้านำมาที่สกุลไป๋ของข้าหรือ”

หลิวซื่อรู้ว่าพูดต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว จึงเงียบปากไปเสียเลย ก่อนจะถลึงตามองบุตรชายและสามีครั้งหนึ่งอย่างดุดัน ในใจนางมีแต่ความเสียดาย หากนางเก็บของสิ่งนี้ได้ก่อน นางจะยอมให้หญิงชราแย่งไปได้อย่างไร

หญิงชราย่อมรู้ว่าพู่หยกนี้ในมือเป็นสิ่งของที่มีค่า หลังมองอยู่หลายครั้ง นางก็รีบเก็บเข้าไปในอก แล้วกล่าวกับไป๋ต้าเป่าว่า “ต้าเป่า เจ้าพบของชิ้นนี้ที่ใด ยังมีอีกหรือไม่”

หลานชายชี้ไปยังขาชั้นวางสองข้างที่อยู่ด้านข้าง “ดูเหมือนจะหล่นออกมาจากในขาชั้นวางนั้น ไม่มีอีกแล้วขอรับ”

นางเก็บขาชั้นวางนั้นขึ้นมา ดูอย่างละเอียดรอบแล้วรอบเล่า เสาะหาในรอยแตกของท่อนไม้บางๆ อยู่นาน ทว่าก็ยังคงไม่ได้อะไรออกมา จึงให้ต้าเป่าแยกขาไม้นี้ออก ก่อนจะพบว่าภายในไม่มีสิ่งใดอีกดังคาด

“ท่านย่า ในขาชั้นวางนี้มีพู่หยกได้อย่างไร” ต้าเป่าถาม

หญิงชราส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ชั้นเข้ามุมนี้เป็นสิ่งที่ซื้อมาจากร้านขายของในเมืองเมื่อสิบกว่าปีก่อน เป็นของมือสองเสียด้วยซ้ำ หรือเจ้าของคนเก่าของชั้นเข้ามุมนี้จะซ่อนของไว้ข้างใน ก็ไม่มีมีใครู้ ทว่าตอนนี้ตกมาอยู่ในมือของพวกเราสกุลไป๋แล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นของของสกุลไป๋”

ไป๋ต้าเป่าดึงแขนของผู้เป็นย่า “ท่านย่า ของสิ่งนี้ต้องมีค่ามากแน่เลยกระมัง พวกเรานำมันไปแลกเงิน อาจจะมากกว่าเงินที่ขายไป๋จื่อก็ได้นะขอรับ” เพราะขายไป๋จื่อไม่สำเร็จ ดังนั้นเรื่องแต่งงานของเขาจึงคว้าน้ำเหลวไปชั่วคราว วันนี้ได้ของล้ำค่าเช่นนี้มา ในเรื่องเลวร้ายยังมีเรื่องดีๆ ซ่อนอยู่ดังว่า

นางหยิบพู่หยกออกมาจากในอกอีกครั้ง มองซ้ายมองขวา ใช่ว่านางจะฉลาดมากนัก รู้เพียงว่าดูแล้วไม่เลวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วเป็นเงินเท่าไร นางกลับไม่รู้โดยสิ้นเชิง “ของมีค่าดีๆ เช่นนี้ พวกเราต้องส่งทอดมันเป็นของในตระกูล จะไปขายเป็นเงินได้อย่างไรกัน หากคนหลอกเอาไปได้ ไม่เป็นการได้ไม่คุ้มเสียหรือ”

……….

ตอนที่ 92 สมบัติตกทอด

หลิวซื่อนับว่าเข้าใจแล้ว ไม่ว่าจะพูดอีกเป็นพันเป็นหมื่นรอบ หญิงชราก็ตั้งใจจะเก็บพู่หยกนี้ไว้เพียงลำพัง!

นางถลึงตามองเจ้าใหญ่ ให้เขารีบๆ พูด

เจ้าใหญ่ย่อมรู้ความคิดของภรรยา เขากลอกตารอบหนึ่ง ก่อนจะรีบปั้นหน้ายิ้มกล่าวกับมารดา “ท่านแม่ ในเมื่อคิดจะเก็บไว้เป็นสมบัติตกทอดของตระกูล เช่นนั้นของสิ่งนี้ควรมอบให้ข้า เพราะข้าเป็นลูกชายคนโตของตระกูลนี้ ต้าเป่าก็เป็นหลานชายคนโต ของล้ำค่านี้ควรมอบให้ข้า”

หญิงชรามองตาขวางใส่เขา แล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้ายังไม่ตาย ตกทอดอะไรกัน รอข้าตายแล้ว ย่อมมอบให้แก่พวกเจ้า จะรีบร้อนอะไรกัน”

นางพูดจบแล้วก็หมุนกายเข้าห้องไป นั่งเล่นพู่หยกอยู่ใต้หน้าต่างเพียงลำพัง ยิ่งมองก็ยิ่งชอบ ครั้นนึกถึงท่าทางอยากจะครอบครองพู่หยกนี้ของหลิวซื่อและเจ้าใหญ่ หญิงชราพลันหาเชือกสีแดงมาแขวนพู่หยกไว้บนคอ ใส่ไว้ทุกเช้าค่ำ ดูสิว่าผู้ใดจะมาขโมยพู่หยกไปจากตัวนาง

สกุลหู

หลังจากกินข้าวแล้ว หูจ่างหลินก็นำเงินที่ก่อนหน้านี้หมอลู่นำมาให้ ออกมาทั้งหมด

“จื่อยาโถว ตรงนี้มีทั้งหมดหนึ่งร้อยเก้าสิบห้าตำลึงเงิน ท่านหมอลู่ขายโสมภูเขาได้เงินทั้งหมดสองร้อยตำลึง เขาได้กำไรสิบตำลึงเงินจากเจ้าของร้านยา จึงให้สองร้อยตำลึงกับพวกเราทั้งหมด เมื่อวานข้ากับหูเฟิงไปในเมืองมา ซื้อข้าวของมาให้พวกเจ้าเล็กน้อย ใช้เงินไปทั้งหมดห้าตำลึงเงิน เหลือหนึ่งร้อยเก้าสิบห้าตำลึงนี้ อยู่ตรงนี้ทั้งหมดแล้ว”

ไป๋จื่อเดินเข้ามาอย่างใจกว้าง แบ่งเงินตำลึงกับเงินก้อนเล็กๆ ทั้งหมดออกเป็นสองส่วน จากนั้นก็แบ่งเงินจำนวนน้อยเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งมาก ส่วนหนึ่งน้อย ส่วนที่น้อยเก็บไว้ที่ตนเอง ส่วนที่มาให้ลุงหู

“ท่านลุงหู เงินที่ซื้อของพวกข้าเป็นคนออกเอง เงินเหล่านี้คืนท่าน รีบเก็บให้ดีเถอะเจ้าค่ะ”

นางหยิบผ้าผืนสี่เหลี่ยมออกมาผืนหนึ่ง ห่อเงินทั้งหมดไว้อย่างดี จากนั้นก็ดันมันไปตรงหน้าลุงหู “ท่านลุงหู เงินนี้ท่านเก็บรักษาไว้ให้ข้าก่อน พวกข้าเพิ่งแยกบ้านกับสกุลไป๋ ไม่แน่ว่าพวกเขาจะมาหาเรื่องพวกข้าอีก เก็บเงินไว้ที่ตัวพวกข้าไม่ปลอดภัยจริงๆ ฝากไว้ที่ท่านก่อน ตอนที่ข้าจำเป็นต้องใช้ ค่อยไปขอจากท่านเจ้าค่ะ”

ลุงหูรู้จักนิสัยของไป๋จื่อ ในเมื่อนางแบ่งเช่นนี้ ย่อมไม่ได้แสร้งทำเป็นใจกว้าง อีกอย่างเดิมทีนี่ก็เป็นวิธีแบ่งที่นางเคยพูดไว้แล้ว หากเขาปฏิเสธอีก เช่นนั้นออกจะไร้เหตุผลอย่างเห็นได้ชัด

เขาจึงพยักหน้าเสียเลย “ตกลง ข้าจะช่วยเจ้าเก็บไว้ก่อน จะใช้ก็มาเอาได้ทุกเมื่อ”

เด็กสาวคิดดูแล้ว ก็หยิบก้อนเงินหนักสองตำลึงออกมาจากในถุงผ้าก้อนหนึ่ง “พรุ่งนี้ข้ากับท่านแม่จะไปในเมืองสักหน่อย ซื้อเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนซักสักสองชุด ตอนนี้จะนำเงินไปก่อน พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องรีบร้อนไปเอาจากท่านตั้งแต่เช้า”

จ้าวหลานรีบกล่าว “ข้ามีเสื้อผ้าใส่ ไม่ต้องซื้อให้ข้า เจ้าซื้อให้ตัวเองสองชุดก็พอแล้ว”

เมื่อก่อนไป๋จื่อเคยได้ยินคำพูดเช่นนี้จากในโทรทัศน์ และเพื่อนร่วมห้องที่ดูโทรทัศน์กับนางพูดเท่านั้น พ่อแม่ในใต้หล้าล้วนเป็นเหมือนกัน ของอร่อยใดตนเองล้วนตัดใจได้ เก็บไว้ให้บุตรทั้งหมดสิ้น

ตอนนั้นนางได้ยินแล้วปวดใจนัก อยากจะบอกเพื่อนร่วมห้องอย่างยิ่งว่า ใช่ว่าพ่อแม่ในใต้หล้าจะเป็นเหมือนกันหมด เพียงแต่นางโชคดีนัก ที่ได้เจอพ่อแม่ที่แสนดี ส่วนไป๋จื่อกลับไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้น

บัดนี้ไม่เหมือนกับแต่ก่อนแล้ว ไป๋จื่อมีแม่ที่แสนดีคนหนึ่งแล้ว แม่ที่รักและเอ็นดูนางจากใจจริง

ไป๋จื่อกลืนความรู้สึกอยากร้องไห้ที่เอ่อขึ้นมา ก่อนจะกล่าวพร้อมขอบตาแดง “ท่านแม่ เสื้อผ้าของท่านขาดจนมีสภาพเป็นเช่นไรแล้ว ควรจะเปลี่ยนตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้พวกเราไม่มีเงิน จะพูดอะไรก็ไม่ได้ ทว่าตอนนี้มีเงินแล้ว เหตุใดต้องทำให้ตนเองอดสูด้วยเล่า”

“ต่อไปยังต้องใช้เงินอีกมาก ประหยัดได้ย่อมต้องประหยัด ข้าอายุปูนนี้แล้ว ใส่อะไรก็เหมือนกันทั้งนั้น ไม่ใส่สิ้นเปลืองกับร่างกายข้าหรอก”