ตอนที่ 151 สองสามีภรรยาเก็บมุก

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินหามุกสีฟ้าอ่อนขนาดเท่าผลซิ่งได้สี่เม็ดที่บริเวณครีบปลาของปลาประหลาดอีก ด้านบนมีลายน้ำสีขาวอ่อน แม้นางไม่เคยเห็นของจริงของมุกนี้มาก่อน กลับเคยเห็นในม้วนคัมภีร์หยกบางม้วน นี่ก็คือมุกกันน้ำที่เกิดขึ้นในร่างอสูรปีศาจในน้ำจำนวนมาก

 

 

นี่กลับมิใช่ของหายากอะไร ว่ากันว่าอสูรปีศาจในน้ำจำนวนมากเมื่อถึงชั้นสองก็จะเกิดมุกนี้ขึ้นมา ทว่าเมื่อคิดว่ามุกกันน้ำนี้ได้มาจากในร่างอสูรปีศาจชั้นห้า คุณภาพจึงน่าจะดีกว่ามาก

 

 

แม้ผู้บำเพ็ญเพียรจะเสกคาถากันน้ำในน้ำได้ ทว่าต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณ แต่มีมุกกันน้ำนี้อยู่ก็สะดวกขึ้นมากแล้ว มั่วชิงเฉินย่อมเก็บขึ้นอย่างดีใจ

 

 

เสียดายเพียงปลาประหลาดนี้ตายไปหลายเดือน เลือดเนื้อได้สลายไปแล้ว มิเช่นนั้นเนื้อของอสูรปีศาจชั้นห้า ต้องบำรุงอย่างมหาศาลเป็นแน่

 

 

มั่วชิงเฉินค้นหาอีกรอบหนึ่งอย่างไม่ตายใจ ในที่สุดก็ได้แต่ตัดหนังปลาบริเวณท้องปลาที่ยังรักษาไว้อย่างดีอยู่ ใช้กรรมวิธีพิเศษกำจัดกลิ่นคาวแล้วเก็บเข้าในกำไลเก็บวัตถุ

 

 

บัดนี้มั่วชิงเฉินนอกจากกำไลเก็บวัตถุนี้แล้ว ก็เหลือเพียงถุงเก็บวัตถุสองใบ ใบที่ได้รับที่ตระกูลมั่วในยามแรกสุดเพราะว่ามีคุณค่าด้านความทรงจำ นางยังคงเก็บติดตัวไว้ ส่วนอีกใบหนึ่งเป็นของที่ขายทั่วไปเดิมทีซื้อไว้เพื่อเก็บสมุนไพรทิพย์จึงถูกนางแขวนไว้ด้านนอกไว้ประดับ เวลานี้เก็บเพียงหินวิญญาณบางส่วนเข้าไป

 

 

เป็นเวลาควรจากไปแล้ว มั่วชิงเฉินคิดเช่นนี้พลางกลัดกลุ้มขึ้นมา

 

 

ถุงเก็บวัตถุที่หล่นเข้าไปในกระเพาะปลาประหลาดไม่เพียงใส่โอสถ ยันต์ต่างๆ ที่นางใช้บ่อยๆ ยังมีเตาโอสถที่ใช้หลอมโอสถด้วย

 

 

บัดนี้กลับดี นางนอกจากสมุนไพรทิพย์ชั้นเยี่ยม โอสถชั้นเลิศ ก็สองมือว่างเปล่าแล้ว

 

 

ที่นี่เป็นเขตทะเล ยังไม่รู้ต้องใช้เวลาเท่าใดถึงบินออกไปได้ จะให้นางกินโอสถเสริมวิญญาณชั้นเลิศทุกครั้งที่เติมพลังวิญญาณคงไม่ได้กระมัง ฟุ่มเฟือยเช่นนี้ ต้องเจอฟ้าผ่าแน่ๆ!

 

 

ยิ่งกว่านั้น ต่อให้บัดนี้ระดับการหลอมโอสถธรรมดาพวกนี้ของนางสูงส่งยิ่งนัก หลายปีมานี้ จำนวนโอสถชั้นเลิศที่หลอมออกมาได้ก็ไม่มาก สุดท้ายจะประคองนางถึงออกไปได้หรือไม่ก็ยังมิอาจรู้

 

 

นึกวิธีดีๆ ไม่ออก มั่วชิงเฉินเหยียบขึ้นกระบี่บินค่อยๆ บินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ อยากดูว่าสถานที่ที่นางอยู่บัดนี้ตกลงลักษณะเป็นเช่นไร ใหญ่เพียงไหน

 

 

รอบินไปถึงที่สูง มั่วชิงเฉินถึงพบว่าสถานที่ที่นางอยู่เป็นเพียงเกาะอันโดดเดี่ยวไม่ใหญ่เกาะหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่ล้อมรอบมันล้วนเป็นน้ำทะเลที่มีน้ำแข็งลอยเป็นก้อนๆ

 

 

ต่อให้มั่วชิงเฉินสามารถจัดเข้าประเภทหลงทิศ นางกลับเข้าใจการแบ่งเขตแดนของทวีปแห่งเทพ

 

 

ทั้งทวีปแห่งเทพแบ่งเป็นห้าภาคใหญ่ แยกได้เป็นดินแดนแห่งสิบทวีปภาคตะวันออก ทุ่งชื่อเจ่าภาคใต้ แดนไท่เป๋าภาคตะวันตก ดินแดนทุรกันดารภาคเหนือ ดินแดนเทียนหยวนภาคกลาง

 

 

ดินแดนทุรกันดารภาคเหนือในนั้นเป็นสถานที่รวมตัวของผู้บำเพ็ญเพียรปีศาจ อสูรปีศาจเกลื่อนเมือง ผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์น้อยนักที่จะย่างกรายเข้าไป ส่วนแดนไท่เป๋าภาคตะวันตกเป็นอาณาเขตของผู้บำเพ็ญเพียรมาร ผู้บำเพ็ญเพียรมารแห่งแดนไท่เป๋าและผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าแห่งดินแดนเทียนหยวนเปรียบดังน้ำกับไฟมาโดยตลอด ย่อมแบ่งออกจากกันอย่างชัดเจน ทว่าการขับเคี่ยวกันระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรมารและผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า ไม่ใช่ฝ่ายมารและฝ่ายธรรมะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เช่นในโลกฆราวาส ผู้บำเพ็ญเพียรมารและผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า เพียงแต่วิธีการบำเพ็ญเพียรต่างกันเท่านั้น รากฐานการขัดแย้งของพวกเขา พูดให้ชัดเจนแล้วก็ยังเป็นเรื่องผลประโยชน์อยู่ดี

 

 

ส่วนดินแดนแห่งสิบทวีปภาคตะวันออก เพราะว่าห่างกันไกลนัก ข่าวคราวที่รู้จึงไม่มาก ทว่ามีความรู้พื้นฐานที่ทุกคนต่างรู้กัน นั่นก็คือทั่วทั้งดินแดนทวีปแห่งเทพ มีเพียงดินแดนแห่งสิบทวีปภาคตะวันออกที่อยู่ในทะเล

 

 

ก็หมายความว่า ในเมื่อสถานที่ที่มั่วชิงเฉินอยู่เป็นน่านน้ำ เช่นนั้นขอเพียงนางมุ่งหน้าบินไปทางตะวันตกตลอด ก็ต้องกลับถึงดินแดนเทียนหยวนจนได้

 

 

ยืนยันทิศทางแล้ว มั่วชิงเฉินตัดสินใจ ข้ามทะเลแม้อันตราย ทว่าจะให้นางถูกกักตายอยู่ที่นี่คงไม่ได้ ฉวยโอกาสที่บัดนี้สภาพร่างกายดีเยี่ยม จึงเป็นโอกาสจากไปพอดี

 

 

สิ่งที่ควรเก็บกวาดก็เก็บกวาดจนหมดแล้ว มั่วชิงเฉินโยนชามใหญ่ออกกำลังจะกระโดดขึ้นไป กลับก้มหน้าดูเสื้อผ้าตนแล้วชะงักอยู่ตรงนั้น

 

 

ชุดกระโปรงขาวที่ใส่อยู่บนร่างที่มั่วหลีลั่วมอบให้ชุดนี้ขาดรุ่งริ่งไม่เหลือชิ้นดีไปนานแล้ว ถูกน้ำย่อยและน้ำดีของปลาประหลาดกัดกร่อนจนแม้แต่ตำแหน่งสำคัญก็ปิดไม่มิดแล้ว

 

 

เดิมทีมั่วชิงเฉินแทงถุงดีของปลาประหลาดขาด ภายใต้ความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวดปลาประหลาดพ่นนางออกมา หลังจากฟื้นขึ้นมาจากการหมดสติก็ห่วงแต่รักษาอาการบาดเจ็บ จากนั้นได้มุกปีศาจปลาประหลาด ก็จำต้องบำเพ็ญเพียรทันทีอีก รอบำเพ็ญเพียรเสร็จก็มัวห่วงแต่หาสมบัติแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะไม่พบว่าตนอยู่ในสภาพเช่นนี้ตลอดมา

 

 

เมื่อสังเกตเห็นแล้ว มั่วชิงเฉินรู้สึกบางตำแหน่งเย็นวาบขึ้นมาทันที จึงอดขวยเขินไม่ได้ มองท้องฟ้าแล้วแอบคิดเงียบๆ ตนนี่นับว่าโชคดีหรือว่าโชคร้ายกันแน่นะ?

 

 

บอกว่าโชคร้าย ทว่าดันสามารถหนีรอดความตายมาได้ ยังได้ประโยชน์มากมายอีก บอกว่าโชคดี บัดนี้โอสถที่ใช้เสริมเติมพลังวิญญาณไม่มี ของที่ใช้หลอมโอสถไม่มี ไม่นึกว่าแม้แต่เสื้อผ้ารองเท้าก็ไม่มี หรือว่า นางจะกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเปลือยคนแรก?

 

 

ต่อให้มั่วชิงเฉินเปิดใจกว้างเพียงใด ก็ไม่ถึงขั้นไม่ใส่เสื้อผ้าแล้วยังสงบเยือกเย็นได้ นางเริ่มค้นหาบนเกาะด้วยความหวังอันริบหรี่

 

 

หนึ่งชั่วยามให้หลัง มั่วชิงเฉินที่ไม่ได้อะไรเลยย่นหน้ากลับมา ไม่มีวิธีจริงๆ จึงรื้อเปลือกหอยใหญ่สีสันต่างๆ บางส่วนออกมาจากของแตกหักที่กองเป็นภูเขาย่อมๆ นั่นออกมาอีก แล้วใช้เถาวัลย์ที่เล็กและเหนียวร้อยขึ้นมาล้อมไว้บนร่าง

 

 

ลองส่องดูกับผิวน้ำ มั่วชิงเฉินยิ้มระทมอย่างจำใจ การแต่งตัวเช่นนี้ในยามนี้ เปิดเผยกว่าพวกผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแห่งนิกายเหอฮวนเสียอีก ขอภาวนาให้คนแรกที่พบเจอเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงด้วยเถอะ

 

 

มั่วชิงเฉินกระโดดเข้าในชามใหญ่ แล้วบินไปด้านตะวันตกตลอด ทว่านางไม่กล้าพักสายตาอย่างสบายในก้นชาม หากแต่หมอบอยู่บนขอบชามคอยสังเกตความเคลื่อนไหวข้างนอก อย่างไรเสียนี่ก็อยู่บนทะเล ใครจะไปรู้ว่ามีอันตรายอะไรหรือไม่ล่ะ

 

 

บินติดต่อกันเจ็ดแปดวัน มั่วชิงเฉินพบเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง จึงหยุดพักระหว่างทางที่นั่น หลังจากพักจนกระปรี้กระเปร่าดีแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้ง รอบินต่อได้อีกครึ่งเดือนกว่า ยามที่โอสถเสิรมวิญญาณชั้นเลิศของนางหมดไปครึ่งหนึ่งนั้น ในที่สุดก็ใช้จิตตระหนักสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของมนุษย์

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกดีใจ บินอยู่เหนือทะเลเช่นนี้ตลอด ต่อให้นางไม่พบอันตรายอะไร ทว่าด้านจิตใจก็เหนื่อยล้ามากแล้ว ยามนี้ไม่ทันได้สนใจว่าแต่งตัวเช่นไรอีกแล้ว รีบเร่งความเร็วมุ่งบินไปทางนั้น

 

 

เรือลำไม่ใหญ่ลำหนึ่งลอยอยู่กลางทะเล หัวเรือมีที่บัง ท้ายเรือมีหญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้านั่งอยู่คนหนึ่ง ดูลักษณะอายุยี่สิบกว่าปี ตบะอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสาม

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกดีใจ ระดับหลอมลมปราณขั้นสาม เพิ่งเสกคาถาเหยียบลมได้หมาดๆ ทว่าร่างกายแข็งแรงคล่องแคล่ว หูตาว่องไวกว่าคนธรรมดาสักหน่อย สามารถปรากฏตัวขึ้นที่นี่ในยามนี้ แสดงว่าอีกไม่ไกลต้องมีพื้นดินแน่

 

 

ยามนี้นางไม่ลังเลอีกต่อไป บังคับอาวุธเวทรูปชามค่อยๆ ร่อนลง ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าหญิงสาว

 

 

หญิงสาวคนนั้นนั่งอยู่ท้ายเรือ เดิมทีจ้องผิวน้ำด้วยท่าทางกระวนกระวายใจทนไม่ไหว ทันใดนั้นเห็นชามกระเบื้องมหึมาใบหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้านาง จึงอดตกใจร้องออกมาไม่ได้

 

 

“ได้โปรดอย่าตกใจ ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มาถึงที่นี่อย่างไม่คาดคิด เพียงแต่อยากถามสักหน่อยว่าใกล้ๆ นี้มีที่ให้พักแรมหรือไม่?” เสียงอ่อนโยนดังมาจากในชาม

 

 

ได้ยินเป็นเสียงของหญิงสาว หญิงสาวชุดฟ้าคนนี้สีหน้าดีขึ้นหน่อย ทันใดนั้นนึกอะไรได้ จึงรีบคุกเข่าคารวะว่า “ท่าน…ท่านเป็นผู้อาวุโสระดับสร้างรากฐานหรือเจ้าคะ?”

 

 

ท่าทางความรู้พื้นฐานพวกนี้คนที่นี่ก็รู้ดี มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ถูกต้อง ไม่ทราบสหายมีเสื้อผ้าเหลือใช้หรือไม่?”

 

 

“หา?” หญิงสาวเสื้อฟ้าชะงัก

 

 

“เพราะว่าสู้กับอสูรปีศาจจึงทำเสื้อผ้าขาด…” มั่วชิงเฉินคลื่นเสียงไม่กระโตกกระตาก ที่จริงในใจกลับอับอาย ผู้บำเพ็ญเพียรที่เจอหน้าปุ๊บก็อ้าปากของเสื้อผ้า เกรงว่านางจะเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์กระมัง

 

 

หญิงสาวชุดฟ้าก็มีไหวพริบ ไม่รอมั่วชิงเฉินพูดจบก็ได้สติขึ้นมา รีบเอ่ยว่า “ท่านผู้อาวุโสท่านรอสักครู่” พูดจบลุกขึ้นเดินเข้าไปในที่กำบัง ไม่นานนักก็หันออกมา ในมือกอบชุดกระโปรงสีชมพูไว้ชุดหนึ่ง

 

 

“ท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยเตรียมไว้เพียงชุดนี้ชุดเดียว ก็ไม่ทราบว่าจะเหมาะหรือไม่ เนื้อผ้าไม่ค่อยดี…” หญิงสาวชุดฟ้าพูดพลางก็เห็นชุดกระโปรงในมือลองขึ้นฟ้า หล่นลงไปในชามกระเบื้องใบใหญ่ จึงอดเผยสีหน้าชื่นชมเลื่อมใสไม่ได้

 

 

ผ่านไปชั่วครู่ หญิงสาวชุดชมพูคนหนึ่งกระโดดออกมาจากในชามใหญ่ รูปร่างขนาดกลางและบอบบาง ผมข้างหน้าบดบังหน้าตาไว้ ริมฝีปากแดงโดยไม่ต้องทากระดกขึ้นแผ่วเบา ลักยิ้มข้างปากปรากฏให้เห็นรางๆ ลักษณะดูแล้วไม่น่าเกินสิบเจ็ดสิบแปดปี

 

 

หญิงสาวชุดฟ้าในชั่วเวลาหนึ่งตกใจจนไม่กล้าพูด แม้นางรู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรตบะยิ่งสูงยิ่งแก่ชราช้า ทว่าก็ไม่คาดว่าผู้สูงส่งในใจจะอายุน้อยเพียงนี้

 

 

“สหายเต๋าเกรงใจแล้ว เสื้อชุดนี้พอดีตัวพอดี” มั่วชิงเฉินยิ้มแผ่วเบา

 

 

ได้ยินเสียง หญิงสาวชุดฟ้าถึงเหมือนตื่นจากฝัน รีบเอ่ยว่า “มิกล้ารับสมญานามว่าสหายเต๋าเจ้าค่ะ ท่านผู้อาวุโสท่านจะทำให้ข้าน้อยอายุสั้นแล้ว สามีของข้าน้อยแซ่หยาง ท่านเรียกข้านางหยางก็พอแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว นางไม่ได้ยินสรรพนามทางโลกฆราวาสเช่นนี้มาหลายปีแล้ว หรือว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่นี่ จะต่างกับทางฝั่งดินแดนเทียนหยวน?

 

 

สิ่งอื่นยังไม่รู้ เกรงว่าสถานะของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทางนี้ ต้องไม่สูงแน่นอน มั่วชิงเฉินคาดใดในใจได้รางๆ

 

 

“เอ่อ…นางหยาง ไม่ทราบที่นี่คือที่ใด เหตุใจเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่?” มั่วชิงเฉินเรียกอย่างไม่ค่อยชิน

 

 

นางหยางรีบตอบว่า “เรียนท่านผู้อาวุโส คนทางนี้ของเราต่างเรียกที่นี่ว่า ‘ทะเลขนาบใจ’ ข้าและสามีมาที่นี่ เพื่อมาเก็บมุกเจ้าค่ะ”

 

 

พูดถึงตรงนี้สีหน้าของนางหยางกระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

“ทะเลขนาบใจ?” มั่วชิงเฉินพูดงึมงำ เห็นนางหยางสีหน้าไม่ดี ถามว่า “นางหยาง พวกเจ้ามาเก็บมุกที่นี่ เช่นนั้นสามีของเจ้ายามนี้…”

 

 

“สามีข้าลงทะเลไปได้ชั่วยามกว่าแล้ว ไม่ได้ขึ้นมาเสียที ข้า…” พูดถึงตรงนี้นางหยางน้ำเสียงสะอื้นทีหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นดังนั้นจึงเอ่ยว่า “เจ้าอย่าเพิ่งรน ข้าลงไปดูหน่อย” พูดจบกำมุกกันน้ำไว้ในมือ และกระโดดลงทะเล

 

 

มุกกันน้ำนี้ใช้ดีตามคาด เมื่อมั่วชิงเฉินลงไปในน้ำ น้ำทะเลนั้นก็อย่างกับมีตาก็ไม่ปาน แยกออกสองข้างด้วยตัวมันเอง นางเดินอยู่ข้างใน ราวกับไม่ต่างจากเดินอยู่บนพื้นดิน

 

 

เพียงแต่ยิ่งดำลงข้างล่าง ก็จะเห็นปลาสีสันต่างๆ ว่ายไปว่ายมา อีกทั้งยังมีสาหร่ายชนิดต่างๆ ปะการังที่สวยงาม มั่วชิงเฉินจึงเหมือนเดินเข้าไปในวังใต้บาดาล

 

 

นี่ยังเป็นครั้งแรกที่นางได้เปิดหูเปิดตาเห็นทิวทัศน์อัศจรรย์ในทะเล ในใจอดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ เพียงแต่เพราะต้องตามหาคน จึงไม่มีเวลาอยู่นานแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินค่อยๆ แผ่จิตตระหนักออก สามารถสัมผัสถึงสิ่งมีชีวิตมากมายที่มีความเคลื่อนไหวของปราณวิญญาณ จิตตระหนักแผ่กว้างออกไปอีก ในที่สุดก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์

 

 

นางรีบรุดไปทางนั้น แล้วก็เห็นผู้ชายในชุดเขียวคนหนึ่งขาข้างหนึ่งถูกหอยยักษ์ตัวหนึ่งหนีบไว้ เลือดไหลไม่หยุด รอบตัวมีปลากินเนื้อตัวใหญ่หลายตัวล้อมอยู่ เขาสะบัดกริชในมือ กำลังสู้กับปลายักษ์พวกนี้อยู่ เพียงแต่เท่าที่ดูจะไม่ไหวแล้ว

 

 

คนคนนี้ช่างโชคดีจริงๆ นอกจากปลาประหลาดตัวหนึ่งที่พอกล้อมแกล้มนับเป็นอสูรปีศาจชั้นหนึ่ง นอกนั้นล้วนไม่เข้าขั้น

 

 

ทว่า นอกจากโชคแล้ว ความมุ่งมั่นของเขาก็น่าชื่นชม นี่ถึงสามารถประคองถึงการมาของตนได้

 

 

นึกถึงตรงนี้จู่ๆ ก็นึกถึงคำพูดเกี่ยวกับ ‘โอกาสวาสนา’ ที่อาจารย์พูดเมื่อหลายปีก่อน จึงอดทอดถอนใจถึงความทุ่มเทของท่านไม่ได้ ในใจกลับบีบรัดคราหนึ่งอย่างไร้สาเหตุ ยามนี้ไม่คิดมากอีก ดีดเข็มสีเขียวออกมาหลายเล่มฆ่าปลายักษ์จนหมด แล้วมาถึงข้างกายผู้ชาย