บทที่ 18 ซื้ออุปกรณ์
โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสุรกายที่มักอยู่รวมกลุ่มกัน ความสำคัญของการทำงานเป็นกลุ่มก็จะสะท้อนออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
“หัวหน้า แบบนี้มันจะดีหรือครับ ?”
หลัวซิวยังไม่ทันจะพูดอะไร โกวอ๋างที่นั่งอยู่ด้านข้างกลับขมวดคิ้วและพูดขึ้นมา
“ถึงแม้หลัวซิวจะผ่านการทดสอบ แต่ก็อยู่แค่ระดับการกลั่นร่างขั้น5 ความแข็งแกร่งขนาดนี้ หากเข้ามาอยู่ในกลุ่มของเรา จะกลายเป็นตัวถ่วงของพวกเรานะครับ”
โกวอ๋างผู้นี้อยู่ในกลุ่มมีความสามารถเป็นรองเพียงแค่หัวหน้าโจวหลงเท่านั้น คำพูดของเขาจึงถือว่ามีน้ำหนัก
โจวหลงขมวดคิ้ว “คนที่อยู่เพียงระดับการกลั่นร่างขั้น5แต่สามารถผ่านการทดสอบได้มีอยู่กี่คนกัน ? หลัวซิวเพิ่งจะอายุเพียง13ปี แต่กลับมีความสามารถที่สูงเช่นนี้ ไม่แน่ว่าต่อไปเขาอาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าข้าก็ได้ เจ้าจะต้องรู้จักมองการณ์ไกลเสียหน่อย”
ถึงแม้โจวหลงจะพูดเช่นนี้ แต่โกวอ๋างก็ยังรู้สึกไม่เต็มใจนัก จึงพูดว่า : “หากเป็นเหล่าองครักษ์ของลูกขุนนางเหล่านั้น ให้เราพาไปฝึกฝนในป่าเสียยังจะดีกว่า การรับเด็กหนุ่มระดับการกลั่นร่างขั้น5เข้ามาเป็นสมาชิกในกลุ่ม อย่างไรเสียข้าก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี”
“ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่มีมาดของนักยุทธ์เลยสักนิด หรือจะใช้แค่หมัดเปล่า ๆ ไปต่อกรกับอสุรกายกัน ?” โกวอ๋างเหลือบมองหลัวซิวอย่างดูถูก
นักล่าอสูรวัยหนุ่มอย่างหลัวซิว ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นคุณชายและคุณหนูของตระกูลมั่งคั่ง คล้ายกับไอ้กระจอกพวกนี้ ถึงแม้การฝึกตนของพวกเขาจะไม่ได้อยู่ในระดับต่ำ แต่เมื่อเข้าไปต่อสู้กับอสุรกายในป่าจริง ๆ ความสามารถในการต่อสู้กลับถือว่ายังด้อยนัก
ในขณะที่โจวหลงและโกวอ๋างกำลังถกเถียงกัน หลัวซิวก็นิ่งเงียบไม่พูดจา เพราะเข้าไม่ได้คิดจะเข้าร่วมกลุ่มตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
“เฮียโจว ข้าขอขอบคุณในน้ำใจของท่านมาก หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
หลัวซิวไม่ได้โต้เถียงใด ๆ กับโกวอ๋าง ถึงแม้ผลการฝึกตนของเขาจะอยู่ในระดับต่ำ แต่เขาก็มีวิธีการและไม้ตายของตนเอง จึงเชื่อว่าเขาจะสามารถคิดหาวิธีเอาตัวรอดได้
ยังไม่ทันที่โกวอ๋างและโจวหลงจะเอ่ยปากพูดอะไร หลัวซิวก็ลุกยืนขึ้นเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงเดินออกจากประตูใหญ่ของแก๊งนักล่าอสูรไป
“โกวอ๋าง ต่อให้เจ้าไม่ยินดีรับเข้ากลุ่ม แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องพูดแรงขนาดนี้เลยนี่ ?” โจวหลงหันมองโกวอ๋างอย่างไม่สบอารมณ์
โกวอ๋างก็ไม่พอใจเช่นกัน เอาส่งเสียงอุทานออกมา : “ข้าทำเพื่อเขาทั้งนั้น หาพาเขาไปออกล่าด้วยจริง ๆ อย่าว่าแต่เป็นตัวถ่วงของพวกเราเลย แม้แต่ชีวิตของเขาก็อาจรักษาไว้ไม่ได้”
นักล่าอสูรส่วนใหญ่ มักจะดูถูกบรรดาเด็กหนุ่มสาวที่ถูกเรียกว่ามีพรสวรรค์ เพราะต่อให้มีการฝึกตนที่รวดเร็วเท่าไหร่ แต่ถ้าขาดประสบการณ์ในการก้าวผ่านความเป็นความตายมา ก็ไม่อาจจะเป็นยอดฝีมือจริง ๆ ได้
หนุ่มสาวหลายคนคิดว่าตนเองเป็นยอดฝีมือที่มีพรสวรรค์ แต่เมื่อออกล่าในป่าจริง ๆ กลับมีอัตราการตายที่สูงมาก
ด้วยเหตุนี้ ลูกหลานบรรดาเหล่าขุนนางส่วนใหญ่ที่ออกหาประสบการณ์ภายนอก จึงมักจะจ้างกลุ่มนักล่าอสูรให้คอยคุ้มกัน กลุ่มของโจวหลงเองก็เคยรับภารกิจลักษณะนี้เช่นกัน
เมื่อเดินไปถึงประตูใหญ่ของแก๊งนักล่าอสูร หลัวซิวหันหน้ากลับไปมองก็พบว่าเจียงชานชานกำลังจ้องมองตนเองอยู่
คงไม่คิดว่าจู่ ๆ หลัวซิวจะหันหน้ากลับมา ทำให้เจียงชานชานรู้สึกตกใจไม่น้อย จึงรีบก้มหน้าก้มตาพร้อมกับแก้มที่แดงก่ำ
หลัวซิวจึงทำเพียงแค่ยิ้มแล้วเดินออกจากแก๊งนักล่าอสูรไป
เมื่อเจียงชานชานเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง หลัวซิวก็หายลับตาไปเสียแล้ว
“การฝึกตนของข้าน่าจะพัฒนาถึงการกลั่นร่างขั้น6ภายในสองสามวันนี้ ส่วนเรื่องการออกล่า รอให้ผลการฝึกตนของข้าสำเร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เมื่อเดินไปถึงถนนใหญ่ หลัวซิวก็แอบคิดคำนวณในใจ “การออกล่าไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้ข้าคงต้องเริ่มเตรียมการอะไรบางอย่าง”
ในขณะที่กำลังใช้ความคิด หลัวซิวก็เดินทางมาถึงตลาดทางตอนเหนือของเมือง สิ่งแรกที่เขาเห็นคือร้านขายเสื้อผ้าของนักค่ายกล
ในเมืองชิงหยุน นอกจากนักแก๊งล่าอสูรแล้ว ยังมีแก๊งนักค่ายกลแก๊งนักกลั่นยา รวมไปถึงแก๊งนักหลอมอาวุธ
นักค่ายกล ถือเป็นอาชีพพิเศษในหมู่นักยุทธ์ ใช้การผสมผสานของวัสดุต่าง ๆ เข้าด้วยกัน แล้วใช้เคล็ดลับบางอย่างเป็นตัวช่วย สร้างสรรค์เป็นสิ่งของต่าง ๆ ที่ดูเหมือนมีเวทมนตร์ออกมา
ตัวอย่างเช่น ค่ายผนึกปราณ เป็นวิธีการรวบรวมพลังจิตของปฐพีอย่างหนึ่ง เป็นค่ายกลที่ใช้เพิ่มความเร็วในการฝึกตนของนักยุทธ์ และถือเป็นค่ายกลขั้นพื้นฐานที่สามารถพบเห็นได้บ่อย
ผลลัพธ์ของค่ายกลที่ออกมาไม่เหมือนกัน ก็ถูกแบ่งออกเป็น9ระดับ ซึ่งจะแบ่งตามระดับของนักค่ายกลตั้งแต่ระดับ1ถึง9
นักค่ายกลเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักยุทธ์ ค่ายกลที่พวกเขาสร้างขึ้นล้วนได้รับการตอบรับอย่างดีจากบรรดานักยุทธ์ และมีผู้มีอิทธิพลบางกลุ่ม ที่เชิญนักค่ายกลฝีมือดีเพื่อสร้างค่ายกลขนาดใหญ่โดยเฉพาะ
ดังนั้นผู้มีอิทธิพลโดยส่วนมากจึงมักจะชุบเลี้ยงนักค่ายกลของตนเองเอาไว้ แต่การจะชุบเลี้ยงให้ได้นักค่ายกลยอดฝีมือ ก็ถือเป็นเรื่องยาก เพราะไม่เพียงแต่จะต้องอาศัยพรสวรรค์ที่สูงมากของนักค่ายกลเท่านั้น แต่การสืบทอดวิชาก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน นักค่ายกลเองก็มีความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง บางครั้งนักค่ายกลขั้นสูง เหล่าบรรดาผู้มีอิทธิพลยังต้องยอมก้มหัวให้
นอกจากนักค่ายกลแล้ว นักกลั่นยาและนักหลอมอาวุธก็ถือว่ามีฐานะที่พิเศษกว่านักยุทธ์ธรรมดาอยู่มาก อาชีพทั้งสามนี้ ถือเป็นกลุ่มคนที่พิเศษในโลกของการฝึกยุทธ์
“โอ้โห ! ค่ายผนึกปราณขั้น1ราคาหนึ่งหมื่นตำลึงเชียวหรือ ?”
ในร้านค้าแห่งนี้ หลังซิวเห็นจานสีขาวใบหนึ่งสลักลวดลายอักษรต่าง ๆ เอาไว้ซึ่งมีขนาดเท่าฝ่ามือวางอยู่บนหิ้ง หน้าของเขาก็ถอดสีทันที
ค่ายกลหนึ่งขั้นจะสอดคล้องกับการกลั่นร่างหนึ่งขั้นในผลการฝึกตนของนักยุทธ์ อีกทั้งของที่มีลักษณะเหมือนจานนี้ ก็เป็นอุปกรณ์ค่ายกล
ค่ายผนึกปราณหนึ่งขั้น สามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกตนเพื่อการกลั่นร่างของผู้ฝึกยุทธ์ได้เป็นสามเท่า มีเพียงเหล่าบรรดาลูกหลานของตระกูลขุนนางเท่านั้นที่สามารถซื้อไหว
หลัวซิวลูบถึงเงินที่แขวนอยู่บนเอวของตนเอง ห้าร้อยตำลึงสำหรับเขาถือเป็นเงินจำนวนมหาศาล แล้วหนึ่งหมื่นตำลึงนั้นล่ะ ?
เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ใส่เสื้อแพรเดินออกมาจากร้านค้าเหล่านั้น เสื้อผ้าของหลัวซิวช่างดูโทรมเอามาก ๆ
บรรดาพนักงานในร้านต่างง่วนอยู่กับการต้อนรับลูกค้าคนอื่น ๆ และไม่มีใครสนใจเขาสักคน
“ยาจกจากที่ไหนกัน ? ค่ายผนึกปราณราคาแค่หมื่นตำลึงยังไม่มีปัญญาจะซื้อ แล้วยังกล้าเหยียบเข้ามาในร้านนี้อีก ?”
“ค่ายผนึกปราณถือเป็นอุปกรณ์ที่ราคาถูกที่สุดในบรรดาอุปกรณ์ค่ายกลแล้ว หากเป็นอุปกรณ์ค่ายกลขั้น2 อาจจะไม่สามารถใช้เงินแลกเปลี่ยนได้แล้ว จำเป็นต้องใช้หินพลังจิตในการแลกเปลี่ยนแทน”
“น่าจะเป็นเด็กหนุ่มในสำนักยุทธ์ที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน ดูเหมือนว่าทั้งเนื้อทั้งตัวหากมีอยู่สักไม่กี่ร้อยก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
มีเสียงหัวเราะเยาะของคนจำนวนมากดังมาจากที่ใกล้ ๆ ทำให้หลัวซิวรู้สึกจนใจเป็นอย่างยิ่ง
อุปกรณ์ค่ายกลในระดับสูงสุดที่ร้านค้าแห่งนี้ขายคืออุปกรณ์ค่ายกลขั้น2 ราคาอยู่ที่หินพลังจิตชั้นล่างหนึ่งร้อยก้อนจนถึงหินพลังจิตชั้นล่างสามร้อยก้อน
ส่วนอุปกรณ์ค่ายกลขั้น1 มีราคาตั้งแต่หนึ่งหมื่นตำลึงจนกระทั่งถึงห้าหมื่นตำลึง
ถึงแม้ในราคาตลาด จะมีการเปรียบเทียบราคาของหินพลังจิตหนึ่งก้อนเท่ากับเงินห้าร้อยตำลึง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครยินดีที่จะนำหินพลังจิตไปแลกกับเงิน การใช้เงินตราแลกเปลี่ยน เป็นเพียงแค่การซื้อขายระหว่างคนธรรมดากับผู้ฝึกยุทธ์ระดับการกลั่นร่าง
ส่วนนักยุทธ์ที่บรรลุถึงแดนชี่ไห่เหล่านั้น พวกเขาสามารถหาเงินจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย จึงให้ความสำคัญกับหินพลังจิตยิ่งกว่า !
หินพลังจิตแบ่งออกเป็น4ระดับ ได้แก่ ชั้นล่าง ชั้นกลาง ชั้นสูง และชั้นยอด ยิ่งเป็นหินพลังจิตที่อยู่ในชั้นสูงมาดเท่าไหร่ ผลลัพธ์ในการฝึกตนก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น
หลัวซิวค่อย ๆ เดินออกมาจากร้านค้าด้วยความโมโห แล้วตั้งปณิธานแน่วแน่ในใจว่า หากตนเองหาเงินได้เมื่อไหร่ จะต้องมาซื้ออุปกรณ์ค่ายกลเพื่อช่วยในการฝึกตนให้ได้