ตอนที่ 46 อินฉางเฟิงตกใจจนแข็งเป็นหิน

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 46 อินฉางเฟิงตกใจจนแข็งเป็นหิน

ทุกคนมุ่งหน้าไปยังตำหนักไท่เสวียน โดยมีผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเดินนำ และผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงทยอยเดินตามหลังไป

ส่วนศิษย์สายหลักและศิษย์สายตรงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงที่มาร่วมประลองในครั้งนี้ ได้กลับไปพักยังยอดเขาลมหวนซึ่งอยู่มิไกลจากยอดเขาหลักมากนัก

ภายในตำหนักไท่เสวียน ผู้อาวุโสของสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

ส่วนผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง ที่มีฐานะมิธรรมดาโดยเป็นรองเพียงเจ้าสำนักอย่างสวีฉิงเทียนเท่านั้น ย่อมถูกเชิญมาที่ตำหนักไท่เสวียนด้วยเช่นกัน

เพียงแต่ตอนนี้เขามิมีอารมณ์ที่จะมาดื่มสุราของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน

ตัวเขาเป็นถึงผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง ตั้งแต่เข้ามาเป็นศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงก็เริ่มฝึกวิถีกระบี่จวบจนถึงปัจจุบัน

แต่บัดนี้จู่ ๆ ผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนอย่างหลี่ฉางหมิงกลับเปลี่ยนมาฝึกวิถีกระบี่ อีกทั้งดูจากประกายกระบี่ที่ทะยานขึ้นฟ้าเมื่อครู่แล้ว ความแตกฉานในวิถีกระบี่ของหลี่ฉางหมิงคงจะถึงระดับที่น่ากลัวมิน้อย

หรืออาจเทียบเคียงกับเขาแล้วก็เป็นได้

เช่นนั้นเวลานี้เขาจึงอยากจะพบหลี่ฉางหมิงเพื่อถามให้รู้เรื่องไปเสีย

หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม อินฉางเฟิงก็รู้สึกอยู่มิสุขมากขึ้น

เขาลุกขึ้นก่อนจะเดินไปยังกลางตำหนักไท่เสวียน แล้วประสานมือเพื่อคาราวะ “อาจารย์ ผู้อาวุโสเหอ ดูจากประกายกระบี่เมื่อครู่ พี่หลี่น่าจะออกฌานแล้ว เช่นนั้นผู้น้อยจึงอยากไปสนทนากับพี่หลี่ที่ยอดเขาฉางหมิงเสียหน่อยขอรับ”

สวีฉิงเทียนที่นั่งอยู่เหลือบมองอินฉางเฟิงเล็กน้อย ก่อนเงยหน้าขึ้นถาม “พี่เหอ ท่านคิดว่าเยี่ยงไร ? ”

นักพรตฉางเสวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม พลางลูบหนวดตนเองไปด้วย “ฉางหมิงออกฌานแล้วจะไปหาเขาก็ย่อมได้ อีกอย่างจะให้คนหนุ่มอย่างเขามานั่งกับคนแก่อย่างเรา ๆ ก็คงมิค่อยเหมาะเท่าใดนัก”

สวีฉิงเทียนจึงพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ยกับอินฉางเฟิงว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าก็ไปเถิด แต่อาจารย์ขอกำชับเจ้าอีกครั้งว่าที่นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน หาใช่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของเราไม่”

“ศิษย์ทราบแล้วขอรับ ! ”

อินฉางเฟิงโค้งคำนับแล้วจึงเดินถอยหลังไปสองก้าว ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากตำหนักไท่เสวียน

“มา พวกเรามาดื่มกันต่อเถิด พวกเรามิได้เจอกันมาสิบปีแล้วหรือนี่”

“ใช่แล้ว สิบปีช่างผ่านไปเร็วยิ่งนัก”

“พี่หลี่ มิได้พบกันสิบปีแต่ดูจากไอพลังของท่านเหมือนมีสัญญาณว่าจะบรรลุในเร็ววันนี้ ท่านคิดจะก้าวสู่แดนเทวาเมื่อใดหรือ ? ”

“พี่จ้าวท่านล้อข้าเล่นแล้ว หากการก้าวเข้าสู่แดนเทวาง่ายดายปานนั้น ข้าก็คงทำสำเร็จไปนานแล้วล่ะ”

“พี่หยวนข้าว่าไอพลังของท่านดูแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน หรือว่าท่านบรรลุเข้าสู่แดนเทวาได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เมื่อมินานมานี้ข้าได้เกิดความเข้าใจและรู้แจ้งบางอย่างขึ้น จึงได้บรรลุเข้าสู่แดนเทวาได้สำเร็จ ช่างโชคดียิ่งนัก”

“มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้ถึงมีรัศมีแห่งโชคปกคลุมท้องนภาด้านเหนือ คงจะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่พี่หยวนบรรลุกระมัง ? ”

“ฮ่า ๆ ๆ ”

“พี่เหอ มิทราบว่าสิบปีมานี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของพวกท่านได้พบแดนลับอันใดเข้า จึงได้มีโชคมากมายเพียงนี้อย่างนั้นหรือ ? ”

“แดนลับหรือ ? พี่สวีตั้งแต่โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรถือกำเนิดขึ้นมาจวบจนทุกวันนี้ ดินแดนโบราณที่ถูกกลบฝังล้วนแต่ถูกนิกายเล็กใหญ่ขุดพบจนเกือบหมดแล้ว เวลานี้หากมีแดนลับปรากฏขึ้นมาจริงคงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งต้าเยี่ยนเป็นแน่”

“หรือว่ามิใช่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“มิใช่เช่นนั้นหรอก ! ”

“จริงสิ พี่เหอ ผู้อาวุโสที่ท่านเอ่ยถึงก่อนหน้านี้เป็นเทพองค์ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เรื่องนี้… พูดยาก ข้ามิอาจบอกได้จริง ๆ ”

“……”

อินฉางเฟิงถอนหายใจอย่างโล่งออกมาทันที หลังออกมาด้านนอกตำหนักไท่เสวียนที่มีเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจมิหยุด

ศิษย์คนหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนที่เฝ้ายามอยู่ด้านนอกตำหนักไท่เสวียนเห็นอินฉางเฟิงเดินออกมา ได้ประสานมือคาราวะพร้อมกับยิ้มให้ “พี่อิน ท่านต้องการไปที่ใดหรือขอรับ ข้าจะนำทางให้”

อินฉางเฟิงส่งยิ้มและพยักหน้าให้ “เช่นนั้นคงต้องรบกวนน้องชายแล้ว ข้าจะไปหาศิษย์พี่ใหญ่หลี่ฉางหมิงของพวกเจ้าที่ยอดเขาฉางหมิง”

“เช่นนั้นเชิญพี่อินตามข้ามาขอรับ”

เอ่ยจบทั้งคู่ก็จำแลงเป็นลำแสงพุ่งไปทางยอดเขาฉางหมิงแทบจะพร้อม ๆ กัน

เนื่องจากภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองต่างมีข้อห้ามภายในมากมาย รวมถึงห้ามมิให้บุคคลภายนอกเข้า เช่นนั้นอินฉางเฟิงจึงต้องตามศิษย์ผู้นั้นไปอย่างระวัง มิเช่นนั้นหากประมาท อาจทำให้ตกอยู่ในอันตรายก็เป็นได้

มินานทั้งคู่ก็มาถึงยอดเขาฉางหมิง โดยการนำทางของศิษย์ผู้นั้น

ที่นี่เป็นลานเล็ก ๆ ที่ปูด้วยหินสีเขียว ตำหนักโบราณอันงดงามเรียงรายอยู่เบื้องหน้า แผ่กลิ่นอายเก่าแก่ไปทั่วบริเวณ นอกจากนี้ยังล้อมรอบไปด้วยต้นไผ่เขียวเก่าแก่ ช่างดูเงียบสงบยิ่งนัก

อีกทั้งเวลานี้มีเพียงหลี่ฉางหมิงที่นั่งอยู่กลางลานเพียงลำพังเท่านั้น

มีประกายแสงสว่างไสวอยู่รอบกาย พร้อมกับม่านหมอกที่เจิดจ้าปกคลุมเขาอยู่ จนส่องแสงระยิบระยับออกมาทั่วร่าง

เส้นผมและอาภรณ์ของเขาปลิวไสว ดุจเซียนมาจุติยังที่แห่งนี้ ทั้งสง่างามและบริสุทธิ์ยิ่ง

แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือ ได้มีกระบี่โบราณเล่มหนึ่งลอยอยู่เหนือศีรษะของเขาด้วย

ตัวกระบี่ยาวประมาณ 3 เชียะ1 ด้านบนปกคลุมไปด้วยลายสลักวิญญาณที่เปล่งแสงสีทองระยิบระยับ คมดาบส่องประกายแวววาวราวกับกระบี่เซียน

ขณะเดียวกันกระบี่โบราณก็ได้มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย ก่อนที่ตัวกระบี่จะปล่อยพลังออกมาอย่างรุนแรง

อินฉางเฟิงที่เห็นเจตจำนงกระบี่ปกคลุมรอบกายของหลี่ฉางหมิง ก็มีอาการตื่นตะลึงพรึงเพริดขึ้นมาทันที

เห็นได้ชัดว่าหลี่ฉางหมิงนั้นแตกฉานในวิถีกระบี่เกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้มาก

และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขายากจะยอมรับได้

เขาเองก็เป็นอัจฉริยะที่มีรากวิญญาณคู่ชั้นยอดเช่นกัน อีกทั้งหนึ่งในนั้นยังเป็นรากปราณหายากอย่างรากวิญญาณธาตุทองอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะด้านกระบี่ที่หาได้ยากยิ่งก็ว่าได้

แต่บัดนี้หลี่ฉางหมิงกลับก้าวนำหน้าเขาไปเสียแล้ว

อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่าพึ่งจะฝึกวิถีกระบี่มาเพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น

ขณะนี้อินฉางเฟิงรู้สึกมึนงงไปหมด

‘มิน่าเชื่อ ! ’

‘เป็นไปมิได้ ! ’

‘นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ? ’

‘หรือว่าพี่หลี่ได้รับการสืบทอดจากปรมาจารย์วิถีกระบี่จริง ๆ หรือว่าได้รับโอกาสและโชคชั้นฟ้ามาเยี่ยงนั้นหรือ ? ’

อินฉางเฟิงสบัดศีรษะไปมา พลางพึมพำมิหยุดราวกับคนเสียสติ

“เป็นไปมิได้ เป็นไปมิได้เด็ดขาด……”

ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ขมวดคิ้วขึ้นอย่างอดมิได้ “พี่อิน ท่านเป็นอะไรไปหรือขอรับ ? ”

หลี่ฉางหมิงคล้ายกับรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหว จึงได้หยุดการบำเพ็ญเพียรและค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

ทันใดนั้นแสงที่ปกคลุมรอบกายเขาก็มลายหายไปทันที

“ศิษย์น้องหลี่ เขาคือผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง อินฉางเฟิงมิใช่หรือ ? ”

หลี่ฉางหมิงลุกขึ้นพิจารณาอินฉางเฟิง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “เขาเป็นอะไรงั้นหรือ ? ”

ศิษย์น้องนามว่าหลี่หลินตอบด้วยความฉงน “ศิษย์พี่หลี่ข้าเองก็มิรู้ขอรับ พอมาถึงก็กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้วขอรับ”

“เพิ่งมาถึงเรือนของข้าก็เป็นเช่นนี้เลยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

หลี่ฉางหมิงขมวดคิ้วแน่น ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หรือว่าที่เรือนของข้าจะมีสิ่งชั่วร้ายแปดเปื้อน ? ”

หลี่หลินส่ายหน้าไปมาและคาดเดาว่า “ศิษย์พี่หลี่เป็นไปได้หรือไม่ ว่าเขาจะถูกบางสิ่งกระตุ้น จนทำให้จิตใจของเขาว้าวุ่นเช่นนี้ขอรับ ? ”

“มีความเป็นไปได้ ! ” หลี่ฉางหมิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“เช่นนั้นตอนนี้ควรทำเช่นไรดีขอรับ” หลี่หลินเอ่ยอย่างร้อนรน

“ข้ามีวิธี ! ”

เอ่ยจบ หลี่ฉางหมิงก็เพ่งสมาธิด้วยท่าทางเคร่งเครียด ก่อนคว้ากระบี่โบราณที่ลอยอยู่ในอากาศ

“ศิษย์พี่หลี่ ท่านจะทำอะไรหรือขอรับ ? ” หลี่หลินถามออกมาด้วยความแปลกใจ

ยังมิทันสิ้นเสียงหลี่ฉางหมิงก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเกิดเสียงดังขึ้น พร้อมกับศีรษะของอินฉางเฟิงกระแทกพื้นและสลบไป

“ศิษย์พี่หลี่ นี่… ท่าน…”

หลี่หลินมีสีหน้าตื่นตระหนกทันทีที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า

หลี่ฉางหมิงจึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “ศิษย์น้องหลี่มิต้องเป็นกังวล อาจารย์ก็เคยทำเช่นนี้กับข้า เช่นนั้นมิมีปัญหาอย่างแน่นอน”

 1 เชียะ คือมาตรวัดของจีน 1 เชียะ ยาวประมาณ 10 นิ้ว