ตอนที่ 492 เมื่อพวกเราสร้างประวัติศาสตร์

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ลั่วอู๋ชวงหันกายจากไป และเสียงของเขาดังมาจากที่ไกลๆ “จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ฉินมู่ ผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองโหรวหลัน เมื่อข้าประสบความสำเร็จมากกว่านี้ในอนาคต ข้าจะต้องตอบแทนพวกท่านทั้งสองอย่างสาสม ชำระแค้นให้แก่แขนขาดของข้า อย่ารีบตายเสียเล่า!”

จากนั้นเขาก็หายลับไปในความมืดอันดิบดำ

ฉินมู่ยังคงยืนตรงดุจเดิม ด้วยกระบี่ไร้กังวลที่หมุนวนไปรอบๆ ตัวเขา

เขาไม่ผ่อนการระวังและยังคงจ้องไปในความมืด ผ่านไปสักพัก เขาถึงระบายลมหายใจโล่งอก

สีหน้าของผานกงสั่วกลายเป็นขมขื่นและเขาบ่นอย่างขุ่นใจ “จ้าวลัทธิฉิน ทำไมเจ้าจะต้องประกาศนามของพวกเราด้วยล่ะ แล้วแบบนี้พวกเราจะทำอย่างไร”

“หากว่าพวกเราไม่บอกนามออกไป เขาก็อาจจะไม่ยอมถอย” รัศมีของฉินมู่พลันอ่อนราลง และเขาก็ร่วงลงไปกองในท่านั่ง กระบี่ไร้กังวลหล่นลงไปกับพื้น และเขาไม่มีกำลังจะกระดิกกระเดี้ยอีกแม้แต่น้อย “ถ้าหากว่าเขายังรั้งอยู่เพื่อสู้จนสุดใจขาดดิ้น พวกเราก็ไม่อาจจะเอาชนะเขาได้ มีก็แต่ได้ยินนามของพวกเราเท่านั้นเขาถึงจะยอมล่าถอย”

ผานกงสั่วตะเกียกตะกายลุกขึ้นและมองไปที่อีกฝ่ายด้วยสายตากะคะเน โลหิตก้อนหนึ่งผุดขึ้นมาจากน้ำเต้ารอยโลหิตระหว่างที่เขากำลังคิดคำนวณว่าจะอาศัยโอกาสนี้แสร้งทำเป็นโกรธและโจมตีฉินมู่ดูดีไหม “เจ้าก็พูดชื่อปลอมก็ได้นี่!”

ฉินมู่เลิกคิ้ว และกระบี่ไร้กังวลที่หล่นอยู่ตรงเท้าของเขาลอบเชิดปลายขึ้นเล็กน้อย ระหว่างที่เขากล่าวอย่างอ่อนแรง “เมื่อข้ากระทำการใด ข้าไม่เคยกล่าวชื่อเท็จ ยิ่งไปกว่านั้น นี่พวกเราย้อนเวลามาตั้งสามสี่หมื่นปี เขาจะตามหาพวกเราพบได้อย่างไร”

ไฟโทสะลุกโหมในหัวใจของผานกงสั่วขณะที่เขากัดฟันกรอด “จ้าวลัทธิฉิน นามฉินมู่จะเป็นชื่อจริงของเจ้าได้อย่างไร เจ้าไม่เคยพูดชื่อปลอมแน่หรือ เจ้าไร้ยางอายขนาดไหนถึงกล้ากล่าวแบบนั้น”

โลหิตไหลออกมาจากน้ำเต้ารวบรวมเป็นก้อนใหญ่ขึ้นอย่างเงียบเชียบ

เขาหรี่ตาลงและเปลี่ยนสีหน้าอื่น เขากล่าวอย่างหน้าชื่น “แต่ถึงอย่างไร จ้าวลัทธิก็พูดมีเหตุผล ใครจะรู้ แม้ว่าไอ้เด็กต่ำช้าลั่วอู๋ชวงจะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่เขาหยิ่งจองหองเกินไป ดังนั้นเขาจะต้องไม่รอดชีวิตยาวนานถึงสามหมื่นสี่หมื่นปีหรอก บางทีเขาอาจจะตายไปเรียบร้อยแล้วในการศึก จ้าวลัทธิฉิน เจ้าอยากให้ข้าพยุงเจ้าลุกขึ้นมาไหม”

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าอันสัตย์ซื่อ “ดี ร่างกายของข้าอ่อนเปลี้ยไปหมด หากว่าเจ้าไม่ช่วยพยุงข้า ข้าก็คงลุกไม่ขึ้น”

ผานกงสั่วพลันตัวสั่นเทิ้ม และรีบถอยออกไปพลางหัวเราะในคอ “บุรุษไม่ควรสัมผัสมือกัน จะดีที่สุดหากว่าพวกเรารักษาระยะห่างเพื่อมิให้มีคำติฉินนินทา”

ฉินมู่นั้นไม่ยี่หระ และยันตัวลุกขึ้นด้วยกระบี่ไร้กังวล “ลั่วอู๋ชวงล่าถอยไปแล้ว ดังนั้นพวกเราจะต้องจากไปให้เร็วที่สุดเหมือนกัน เขาอาจจะชักนำกองกำลังของทัพหลิงซิ่วมา พวกเราไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นาน”

กิเลนมังกรดึงเอาเกล็ดมังกรของเขากลับไป และคลานออกมาจากพื้นที่ของหีบ เขาได้ยินเสียงปังสามสี่ที และหีบก็ปิดลงไปอีกครั้ง กลายเป็นหีบขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก

กิเลนมังกรปีนขึ้นไปบนหีบพลางหอบหายใจจากความหมดแรง ฉินมู่เองก็ปีนขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ก่อนจะหันหลังกลับไปพร้อมรอยยิ้ม “ผู้สูงศักดิ์ ขึ้นมาข้างบนด้วยสิ”

ผานกงสั่วส่ายหัวของเขาและมุดเข้าไปข้างใต้หีบ กอดขาข้างหนึ่งของมันเอาไว้ “ข้าอยู่ที่นี่ดีแล้ว”

ฉินมู่เตะกิเลนมังกรและระเบิดหัวเราะออกมา “เจ้าระวังตัวเกินไปแล้ว พวกเราลงหีบร่วมกันและมีศัตรูเดียวกัน กอดคอเคียงบ่าเคียงไหล่ในศึกเป็นตาย เจ้าคิดจริงๆ หรือ ว่าข้าจะยังลงมือกับเจ้าน่ะ”

กิเลนมังกรเงื้ออุ้งเท้าหน้าของเขาอันมีเล็บคมกรมราวมีดดาบ ในจังหวะที่ผานกงสั่วปีนขึ้นมา เขาก็จะถูกแทงให้ตาย

“ขอบคุณมาก จ้าวลัทธิ สำหรับความอารีอันยิ่งใหญ่ของเจ้า แต่ข้านั้นคุ้นเคยกับการระวังตัว ดังนั้นข้าจึงไม่เชื่อใจใครทั้งสิ้น เจ้าลัทธิสามารถบอกมังกรอ้วนให้เก็บกรงเล็บของเขาไปเถอะ”

หีบนี้เริ่มเดินทางผ่านความมืดไปอีกครั้ง ฉินมู่หลับตาลงเพื่องีบหลับสักหน่อยพร้อมด้วยกระบี่ในมือของเขา ขณะที่ผานกงสั่วลืมตาโพลง พยายามสุดความสามารถที่จะไม่หลับ เขาลอบนำเอายาวิญญาณออกมาหลายเม็ดและยัดมันเข้าไปในปากเพื่อฟื้นฟูพลังวัตรให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้

ผ่านไปสักพัก เขาก็รู้สึกว่าปราณชีวิตของเขาฟื้นฟูกลับมา และประกายตาของเขาก็วูบไหว เขาลอบขับเคลื่อนน้ำเต้ารอยโลหิต เจ้าหมอนี่มันบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นนี่คือเวลาที่ดีที่สุดที่จะกำจัดเขา…

ทันใดนั้นเขาก็ได้กลิ่นตัวยา และละทิ้งความคิดที่จะจู่โจมทั้งหมดไป

ฉินมู่ยื่นมือหนึ่งเข้าไปในถุงเต๋าตี้และลอบหลอมปรุงยาวิญญาณสามสี่หม้ออันเขายัดเข้าไปในปากตนเองเป็นระยะ จากนั้นเขาก็หลอมปรุงอีกสองสามหม้อสำหรับกิเลนมังกรให้เขาได้ลอบกลืนเข้าไปเช่นกัน โดยไม่ทำเสียงกระโตกกระตาก

แต่ทว่ากลิ่นยาก็ยังคงมิอาจซ่อนไปจากจมูกผานกงสั่วได้

จะวางแผนลอบทำร้ายเขา คงจะยากอยู่สักหน่อย เขาคิดในใจ

ในที่สุด ก็มองเห็นแสงสว่างอยู่ไกลๆ พวกเขาได้มาถึงสถานีชายแดน

ที่นั่นมีเทพเจ้าอยู่ ดังนั้นจึงมีผู้คนมากมายที่พักพิงอยู่ในนั้น ป๋ายฉวีเอ๋อมองไปรอบๆ อย่างกระวนกระวาย จนกระทั่งนางเห็นหีบเปื้อนเลือดอันแบกเด็กหนุ่มและกิเลนมังกรตัวอ้วนกลมมาในที่สุด

หีบก้าวอาดๆ และข้ามภูเขามาโดยไม่รีรอ

ป๋ายฉวีเอ๋อหัวใจเต้นตึกตักด้วยอารมณ์ความรู้สึกใหม่ นางรีบออกไปต้อนรับพวกเขาพลางอุ้มบุตรชายของป๋ายชิงฝู่ ฉินมู่กระโดดลงจากหีบและยืดเหยียดร่างกาย ให้กระดูกในร่างเขาลั่นกรอบแกรบ และเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ทำไมพวกเจ้ายังไม่จากไปอีกล่ะ”

“ทุกคนเดินทางต่อไปไม่ไหวแล้ว ผู้คนเหล่านี้มีวรยุทธไม่มาก และก็ถูกถ่วงให้ช้าด้วยครอบครัวของพวกเขา ส่วนใหญ่แล้วมีแต่คนชราและคนอ่อนแอ” ป๋ายฉวีเอ๋อสะกดข่มความรู้สึกในหัวใจของนาง และกล่าวด้วยเสียงค่อย “เทพเจ้าในสถานีชายแดนมิได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป ดังนั้นข้าคาดคะเนว่าพวกเขาคงไปหนุนช่วยเมืองร้อยมั่งคั่ง ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้าง จึงมีแต่พวกเราเท่านั้นที่อยู่ในสถานีชายแดน”

ฉินมู่มองไปรอบๆ และเห็นผู้คนมากมายนอนหลับอยู่บนพื้น บางคนก็ไม่หลับ และภายใต้แสงเรืองของลูกแก้วมังกรเทวะ ดวงตาของพวกเขาบางครั้งก็มืดมน บางครั้งก็สว่าง แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เงียบกริบ

ผู้คนส่วนใหญ่ที่หลบหนีมากับพวกเขาเป็นคนธรรมดาสามัญ พวกคนร่ำรวยในเมืองร้อยมั่งคั่งได้หลบหนีไปเร็วกว่า ดังนั้นคนพวกนั้นจึงได้ไปกับเทพเจ้าเฝ้าประตูทิศเหนือก่อนหน้านี้ กลุ่มนั้นอาจจะถูกขจัดกวาดล้างไปหมดแล้วก็เป็นได้

ผู้คนธรรมดามีวรยุทธต่ำต้อย ดังนั้นพวกเขาจึงหลบหนีได้ล่าช้า และมาพร้อมกับพวกเขา

“พวกเราอยู่ที่นี่นานไม่ได้หรอก” ฉินมู่พึมพำ “พวกเราเอาพวกเขาเข้าไปในหีบของข้าไหมล่ะ เพื่อให้ข้าพาพวกเขาจากไปไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้”

ป๋ายฉวีเอ๋อตะลึงไปเล็กน้อย และนางมองไปที่หีบ “อีกคนหนึ่งที่ไปกับเจ้าด้วยอยู่ที่ไหนหรือ เขา…”

“ข้าอยู่นี่” ผานกงสั่วโผล่ขึ้นมาจากใต้หีบและหัวเราะ “โชคดีที่ไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง และยังมีชีวิตอยู่ดี ขอบคุณที่เป็นห่วง”

ฉินมู่ให้กิเลนมังกรกระโดดลงมาและกล่าว “น้องสาวฉวีเอ๋อ ปลุกพวกเขาขึ้นมาเถอะ พวกเราอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ในเมื่อไม่มีเทพเจ้าคอยปกป้องพวกเรา พวกเราก็จะต้องเคลื่อนย้ายเพื่อมิให้ผู้ไล่ล่าตามมาทัน”

ป๋ายฉวีเอ๋อผงกหัวและไปปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นมา ฉินมู่เปิดหีบแผ่ออกเพื่อให้พวกเขาเข้าไปได้ ผานกงสั่วต้องการเข้าไปในหีบเช่นกัน แต่ฉินมู่ส่ายหัว “หากว่ามีผู้ไล่ล่าตามมาทันหีบนี้ และไม่มีใครคอยป้องกัน พวกเราก็จะถูกกำจัดกันทั้งหมด พวกเราอยู่ข้างนอกกันเถอะ”

แม้ว่าหีบของซิงอ้านจะแข็งแกร่งทนทาน แต่มันไม่อาจจู่โจมได้และไม่มีพลังโจมตี หากว่าทุกๆ คนซ่อนอยู่ข้างใน และพวก ‘มารนอกโลก’ ตามมาทัน พวกเขาทั้งหมดก็จะตกตายอย่างน่าสังเวช

ผานกงสั่วกัดฟันข่มโทสะและยิ้มหยัน “จ้าวลัทธิฉิน หากว่าพวกเราทำอย่างที่เจ้าพูด นี่ก็จะยิ่งทำให้ยากจะมีชีวิตรอดในโลกอันโกลาหลแห่งนี้! พวกเราต้องหนีเอาชีวิตรอดจากซิงอ้าน และไม่มีเวลาไปช่วยชีวิตคนอื่น!”

ฉินมู่หัวร่อฮาๆ และส่ายศีรษะ

“ผู้สูงศักดิ์ ข้าเพียงแต่อยากจะรักษาความไร้เดียงสาและความเมตตาสักน้อยนิดเอาไว้ในห้วงเวลาแห่งความโกลาหล”

ผานกงสั่วแค่นเสียงและมุดเข้าไปใต้หีบ พลางกล่าวอย่างโกรธขึ้ง “ศัตรูมาค่อยเรียกข้าละกัน!”

ป๋ายฉวีเอ๋อก็อยู่ข้างนอก นางนั่งบนหีบเคียงข้างฉินมู่ กิเลนมังกรก็กระโดดขึ้นมาเช่นกันและหมอบลงอย่างเงียบเชียบ สักพักหนึ่งเขาก็หลับปุ๋ย

“ทำไมผู้สูงศักดิ์ถึงชอบเข้าไปอยู่ใต้หีบ” ป๋ายฉวีเอ๋องงงวย

“เขากำลังป้องกันพวกเราจากทักษะเทวะที่จะมาจากใต้ดิน” ฉินมู่อธิบาย

ป๋ายฉวีเอ๋อเข้าใจในที่สุดและกล่าว “ผู้สูงศักดิ์ช่างรอบคอบเสียจริง”

หีบเดินตรงไปทางทิศตะวันออกด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบา และฉินมู่มองไปที่เด็กสาวข้างๆ เขา ป๋ายฉวีเอ๋อได้ประสบการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ กลายเป็นระหกระเหและไร้บ้าน ก่อนหน้านี้นางทั้งเยาว์และอ่อนต่อโลก แต่ในเวลาเพียงค่ำคืนเดียว ประกายแห่งเจตจำนงแน่วแน่อันมิอาจโยกคลอนก็ปรากฏในดวงตาของนาง และสายตาของนางก็กระจ่างเจิดจ้า นางได้โยนความอ่อนแอเก่าก่อนของตนทิ้งไป

ถึงตอนนี้ฉินมู่จึงเพิ่งจะสังเกตเห็นว่านางไม่เหมือนกับมนุษย์ปกติสักเท่าใด แต่มีลักษณะบางอย่างของมังกร ที่ซ่อนอยู่ในเส้นผมของนางคือเขามังกรเล็กๆ อันถูกปกคลุมด้วยเรือนเกศาอันงดงามที่ปักไว้ด้วยปิ่นสองเล่ม

เขานั้นเคยกอบใบหน้านางดูมาก่อนในครั้งแรกที่พบหน้า แต่เขามิได้สังเกตเห็นเขาเล็กๆ คู่นี้

บนใบหน้าของนางมีวี่แววแห่งความวิตกที่ยังไม่มลายหายไป นางอยากจะหาคนพึ่งพิง แต่ก็ได้แต่บีบเค้นตนเองให้แข็งแกร่งยืนหยัด

นางมิใช่เด็กสาวแบบที่ฉินมู่ชมชอบ ตั้งแต่เขายังเล็ก ผู้เฒ่าทั้งเก้าแห่งหมู่บ้านพิการชราได้สอนเขาว่า เด็กสาวต้องอวบๆ สักหน่อยถึงจะเรียกว่างาม ผู้ใหญ่บ้าน นักปรุงยา และคนแล่เนื้อล้วนแต่บอกเขาว่า เด็กสาวต้องมีใบหน้ากลม เอวหนา และสะโพกใหญ่

ป๋ายฉวีเอ๋อไม่เข้ากับคำนิยามเหล่านี้อย่างแน่นอน แต่ทว่า ภาพของนางที่ค้นพบความแข็งแกร่งในความอ่อนแอของตนเองนั้นได้ปั่นป่วนหัวใจของเขา

“เจ้าเหนื่อยหรือเปล่า” ฉินมู่เป่าไล่ความคิดของเขาออกไปและกล่าว “หากว่าเจ้าเหนื่อย ก็พิงข้าและพักผ่อนสักพักก็ได้นะ”

ป๋ายฉวีเอ๋อผงกหัวแล้วเอนพิงไหล่เขาอย่างอ่อนโยน เสียงกรนเบาๆ ของกิเลนมังกรดังมาจากข้างหลังพวกเขา

กระนั้นนางก็หลับไม่ลง เมื่อนางหลับตา ภาพที่เห็นก็เป็นการทำลายล้างของเมืองร้อยมั่งคั่ง เป็นภาพของมารดาและลุงทั้งหลายของนางต่อสู้กับมารนอกโลก การศึกในความมืด ผู้คนมากมายที่ตายอย่างน่าอนาถ และยังมีภาพของพี่ชายและพี่สะใภ้ของนางที่เหลียวหลังส่งยิ้มกลับมาเมื่อพวกเขาจากไปเพื่อต่อสู้กับมารเหล่านั้น บางครั้งบางคราวก็เห็นภาพของสิ่งชั่วร้ายในความมืดที่ปรากฏในฝันร้ายของนาง

“จริงสิ ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าเลย เมื่อพวกเราพบกันครั้งแรก เจ้าบอกว่าเจ้าเดินทางข้ามเวลามาที่นี่” ป๋ายฉวีเอ๋อลืมตาขึ้นและถามด้วยเสียงอันเข้มแข็ง “มันจริงหรือ”

ฉินมู่พยักหน้า

“แล้วเจ้ามาจากที่ไหน อดีตหรืออนาคต? สถานที่นั้นสงบสุขหรือเปล่า”

“ไกลแสนไกลในอนาคต ประมาณสามหมื่นสี่หมื่นปีข้างหน้า ที่นั่น มันยังคงสงบสุข แต่ยากที่จะบอกว่าสันติภาพจะดำรงอยู่ได้นานแค่ไหน”

“สามหมื่นสี่หมื่นปี?” เด็กสาวเอนพิงหัวไหล่ของเขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ข้าไม่รู้ว่าข้าจะมีชีวิตอยู่ได้นานขนาดนั้นไหม วันเวลาที่นี่ช่างข่มขื่น ขมขื่นเสียจนยากที่จะฝ่าฟันมีชีวิตอยู่ต่อไป…”

“เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อ ผู้คนในหีบนี้ยังต้องการเจ้าอยู่” ฉินมู่ยิ้มให้กับนางและกล่าวด้วยเสียงนุ่ม “เจ้านั้นแข็งแกร่งกว่าที่ข้านึกฝันนัก ผู้คนมากมาย แม้กระทั่งบุรุษ คงจะพังทลายไปแล้วเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ข้ารู้ว่าการมีชีวิตอยู่ต่อไปมันเป็นเรื่องยาก แต่เจ้าจะต้องแบกความหวังของผู้คนต่อไปข้างหน้า เช่นเดียวกับความหวังของพี่ชายและพี่สะใภ้ของเจ้า รวมทั้งบุตรของพวกเขาด้วย”

ป๋ายฉวีเอ๋อตัวสั่น จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ

“เจ้าจะเดินร่วมทางไปพร้อมกับข้าไหม” นางถาม

ฉินมู่นิ่งไปพักหนึ่ง

“ท้องฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว” เขามองตรงไปยังทิศตะวันออก เพราะว่าการกรำศึกมาตลอดทั้งคืน เสียงของเขาจึงแหบพร่า และมีความเป็นชายที่พิเศษเฉพาะอยู่ในนั้น “หลังจากตะวันรุ่ง ข้าก็อาจจะหายไป ข้าได้มาที่นี่เพราะโอกาสวาสนาอันมหัศจรรย์ แต่ข้าไม่รู้ความหมายของมัน เจ้าอาจจะต้องนำทางพวกเขาต่อไปตลอดการเดินทาง มีชีวิตต่อไปนะ…”

ป๋ายฉวีเอ๋อเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้าที่มีแสงเงินแตะทางทิศตะวันออก

ฉินมู่ลุกขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น้องสาวคนดี ข้าอาจจะช่วยเจ้าไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้นเจ้าคงต้องเดินบนเส้นทางที่เหลือด้วยตนเอง”

หัวใจของป๋ายฉวีเอ๋อมีความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมด นางลุกขึ้นยืนด้วยความเหม่อลอย และมองไปยังบุตรของป๋ายชิงฝู่ที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง น้ำตาของนางไหลร่วงลงจากแก้ม

ฉินมู่กอบหน้านางขึ้นมา และใช้รอยยิ้มอันบริสุทธิ์ที่สุดของเขาเพื่อให้กำลังใจนาง “ต้องรอด เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป!”

ป๋ายฉวีเอ๋อหัวใจสับสนไปหมด นางกอดเขาไว้แน่นด้วยมือข้างหนึ่งพร้อมกับร่างกายอันสั่นเทิ้ม “อย่าไปนะ ข้ากลัวว่าข้าจะไม่สามารถทานทนได้นานพอ…”

“ร่องรอยทุกอย่างของข้าอาจจะถูกลบเลือนไปในยุคก่อนประวัติศาสตร์นี้ และไม่มีสิ่งใดที่ข้านำมาด้วยจะเหลือทิ้งเอาไว้ แต่ทว่า ข้าสามารถทิ้งวลีอันเคยกระตุ้นเร้าหัวใจของข้ามาครั้งหนึ่ง”

ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นทุกขณะ และแสงแรกแห่งตะวันก็จุดแสงที่ขอบฟ้าตะวันออก แสงสว่างสาดส่องลงบนภูเขา และความมืดรอบๆ พวกเขาก็ล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

ฉินมู่ใช้มือหนึ่งโอบกอดสาวน้อย และอีกมือหนึ่งวาดชี้ไปยังหน้าผา กระบี่ไร้กังวลบินออกไปและเคลื่อนไหวราวกับหงส์ร่อนมังกรรำ ทิ้่งรอยคำของเขาเอาไว้ในหิน

กระบี่วิเศษบินกลับมา ฉินมู่กอดเด็กสาวที่กำลังจะต้องไปเผชิญอันตรายในโลกหล้าเอาไว้แน่น ก่อนที่แสงตะวันจะมาถึงเขา ป๋ายฉวีเอ๋อก็กอดเขาไว้ไม่ปล่อย ราวกับว่านางจะสามารถพึ่งพิงเขาไว้แบบนี้ไปชั่วนิรันดร์

รังสีแสงอาทิตย์พร่างพรมลงมา และฉินมู่ที่อยู่ในอ้อมกอดนางก็หายวับไปราวกับไอควัน

หีบก็หายไปด้วย ทิ้งผู้คนจำนวนมากที่ยืนงงงันอยู่

ป๋ายฉวีเอ๋อตกตะลึง นางรีบเหลียวกลับไปมองยังหน้าผา และเห็นถ้อยคำที่ถูกขีดเขียนเอาไว้ด้วยกระบี่ไร้กังวลของฉินมู่

ชีวิตคนสูงส่งกว่าสวรรค์!

ป๋ายฉวีเอ๋อพลันรู้สึกถึงน้ำหนักอันเกินจะหยั่งจากวลีนี้ ความหวังของผู้คนทั้งหลายที่อยู่รอบตัวนางหล่นลงมายังบ่าของตน และสายตาอันเปี่ยมหวังของพวกเขาก็กลายเป็นแรงกดดันมหาศาล และในขณะเดียวกันก็เป็นแรงขับเคลื่อนให้กับนาง

“ตามข้ามา!” นางยกมือขึ้นและกล่าวอย่างกึกก้องพลางอุ้มเด็กไว้อีกมือหนึ่ง “ข้าจะพาพวกเจ้าไปให้พ้นจากสถานการณ์อันสิ้นหวัง และแสวงหาที่ที่พวกเราจะมีชีวิตรอดต่อไปได้!”

ความหวังจุดขึ้นมาใหม่ในหัวใจของทุกๆ คน และพวกเขาก็ติดตามนางไปยังทิศไกลๆ

เจ้ามาจากอนาคตสามสี่หมื่นปีอย่างงั้นหรือ ป๋ายฉวีเอ๋อหันไปมองหน้าผาที่ฉินมู่ทิ้งถ้อยคำของเขาเอาไว้ ก่อนที่จะเบือนหน้ากลับไปอีกครั้ง นางพาทุกคนมุ่งหน้าไปยังทิศที่ตะวันกำลังเบิกอรุณ ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อ และจะไปตามหาเจ้า! รอข้าก่อน! ข้าจะ…มาพบพานกับเจ้าใหม่ที่นี่

การพบพานใหม่ครั้งนี้คงจะข้ามเวลาเป็นหมื่นปี ดังนั้นจงรอข้า เมื่อเจ้าจากไป ข้าไม่ทันได้กล่าวว่าข้าชอบเจ้า ดังนั้นเมื่อพวกเราพบกันใหม่ ข้าหวังว่าข้าจะไม่เหลือเรื่องที่นึกเสียใจย้อนหลังอีกต่อไป

……………..