เล่มที่ 2 บทที่ 42 ตัวหนังสือก็เหมือนกับตัวคนเขียน

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

ตอนเที่ยงเซี่ยยวี่หลัวทำหมูตุ๋นน้ำแดงที่ทั้งหอมทั้งมัน น่าเสียดายที่ไม่มีซีอิ๊ว เมื่อไม่มีซีอิ๊วก็แต่งแต้มสีสันไม่ได้ ทำเอารู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย

“หมูตุ๋นน้ำแดงที่ไม่มีซีอิ๊วดูไม่มีจิตวิญญาณเอาเสียเลย” เซี่ยยวี่หลัวพึมพำ

เซียวจื่อเซวียนที่กำลังใส่ฟืนได้ยินเข้า แม้จะไม่เข้าใจว่าไม่มีจิตวิญญาณหมายความว่าอย่างไร แต่คำว่าไม่มีซีอิ๊วนั้นเขาได้ยินชัดเจน จึงกล่าวบางอย่างกับเซียวจื่อเมิ่ง เซียวจื่อเมิ่งลุกขึ้นและกล่าวทันที “พี่สะใภ้ใหญ่ ในหมู่บ้านมีซีอิ๊วขาย…”

มีซีอิ๊ว น่าจะรีบบอก!

เกี๊ยวที่ห่อเลยไร้ซึ่งจิตวิญญาณเหมือนกัน

เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกยินดียิ่ง หลังจากถามว่าขวดละเท่าไหร่ก็ให้เซียวจื่อเซวียนไปซื้อ

 “รีบไปรีบกลับล่ะ เจ้าลองดูว่ายังมีเครื่องปรุงรสอื่นๆ อีกหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นน้ำส้มสายชู ลองถามดูว่ามีหรือไม่” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวด้วยความดีใจ

มีซีอิ๊วนี่นา เช่นนั้นก็น่าจะมีน้ำส้มสายชูด้วย

เซียวจื่อเซวียนผงะไป “น้ำส้มสายชูคืออะไร?”

เซี่ยยวี่หลัวหยุดชะงัก มีซีอิ๊วแต่ไม่มีน้ำส้มสายชูงั้นหรือ?

 “เป็นของรสชาติเปรี้ยว มีหรือไม่?” เซี่ยยวี่หลัวกลัวว่าตัวเองจะเอ่ยถึงสิ่งของที่ยังไม่มีในยุคสมัยนี้ จึงกล่าว “ไม่มีก็ไม่เป็นอะไร เจ้ารีบไปซื้อซีอิ๊ว รีบไปรีบกลับ!”

เซียวจื่อเซวียนรับเงินก็เดินไปด้านนอก เมื่อเดินจนใกล้จะถึงประตูห้องครัว จึงหันกลับมากล่าว “ท่านหมายถึงสุราขมใช่หรือไม่?”

 “สุราขม?”

 “เปรี้ยวมาก” เซียวจื่อเซวียนกล่าวด้วยถ้อยคำกระชับ

เซี่ยยวี่หลัวพยักหน้า “เจ้าซื้อกลับมาเล็กน้อย ให้ข้าดู”

เซียวจื่อเซวียนตอบว่าได้ เซี่ยยวี่หลัวกำลังจะหยิบเงินเพิ่ม เซียวจื่อเซวียนกล่าว “ไม่ต้องแล้ว เงินที่ท่านให้ก็เพียงพอแล้ว”

เงินสองอิแปะซื้อซีอิ๊วได้หนึ่งขวด เซี่ยยวี่หลัวให้มาห้าอิแปะ

ไม่นาน เซียวจื่อเซวียนก็ซื้อซีอิ๊วหนึ่งขวดและสุราขมหนึ่งขวดกลับมา

เซี่ยยวี่หลัวลองดมซีอิ๊ว ซีอิ๊วที่ทำจากถั่วหมักส่งกลิ่นหอมของถั่วออกมาเป็นระลอก เซี่ยยวี่หลัวเทซีอิ๊วจำนวนหนึ่งลงไปในหม้อ เพื่อปรุงแต่งสีและรสชาติ เมื่อหมูตุ๋นน้ำแดงดูซึมน้ำเข้าไป หมูตุ๋นน้ำแดงที่ต้มด้วยไฟแรงมีทั้งสีสันกลิ่นหอมและรสชาติครบถ้วน

สุราขมที่อยู่ข้างๆ นางลองจิบเล็กน้อย นั่นคือน้ำส้มสายชู หอมกว่าน้ำส้มสายชูชนิดต่างๆ ที่ขายตามท้องตลาดในภพก่อนมากนัก

ดูท่าวัตถุดิบตั้งต้นและกรรมวิธีที่ต่างกัน ทำให้เครื่องปรุงรสที่ทำออกมาหอมกว่ากันมาก

เซี่ยยวี่หลัวยินดียิ่ง “ห่อเกี๊ยวครั้งหน้า จะได้กินเกี๊ยวที่แท้จริงเสียที”

กินเกี๊ยวไม่มีน้ำส้มสายชู ก็เหมือนหมูตุ๋นน้ำแดงที่ไม่มีซีอิ๊ว ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ

เซียวจื่อเซวียนนิ่งเงียบไม่กล่าวอะไร จ้องมองเปลวไฟที่โหมไหม้อยู่ภายในเตาด้วยอาการเหม่อลอย เซียวจื่อเมิ่งที่อยู่ข้างๆ กลับดีใจยิ่งนัก พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าจะกินเกี๊ยว เช่นนั้นครั้งต่อไปต้องกินเกี๊ยวแน่

มื้อเที่ยงย่อมเป็นหมูตุ๋นน้ำแดงชามใหญ่ ข้าวคนละหนึ่งชาม บวกกับผักตีนไก่จานใหญ่ที่เพิ่งเก็บกลับมา เที่ยงนี้จะได้กินมื้อใหญ่อีกครั้ง

เซียวจื่อเมิ่งปรบมือด้วยท่าทางดีใจ เซี่ยยวี่หลัวก็ดีใจมาก ทว่าเมื่อสายตามองทอดไปที่ตัวเซียวจื่อเซวียน กลับเห็นเขาเหม่อลอยจ้องหมูตุ๋นน้ำแดงชามนั้น

ราวกับอยากกล่าวอะไร แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว

เด็กคนนี้เป็นอะไรไป? เซี่ยยวี่หลัวย้อนนึกดู พบว่าช่วงที่ผ่านมาเวลาเด็กคนนี้เห็นอาหารอร่อย ไม่มีความรู้สึกดีอกดีใจเหมือนที่เด็กวัยนี้พึงมีแม้แต่น้อย กลับมีความรู้สึกอิดออดและรู้สึกผิด เหมือนรู้สึกไม่ดีที่ได้กินอาหารดีขนาดนี้

เซียวจื่อเซวียนก้มหน้ากินข้าว เซี่ยยวี่หลัวกลับกินไม่ค่อยอร่อยนัก

คอยชำเลืองมองเซียวจื่อเซวียนเป็นระยะ พบว่าเขาจะไม่คีบเนื้อกินเอง อาหารที่กินมากสุดคือผักจี้ช่ายจานนั้น เว้นเสียแต่เซี่ยยวี่หลัวจะคีบเนื้อใส่ในชามของเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่คีบมากินเอง

เด็กคนนี้ แอบเก็บเรื่องอะไรไว้ในใจกันแน่?

เซียวจื่อเซวียนกินอาหารเสร็จยังคงไปล้างชามกับตะเกียบที่ห้องครัว เซี่ยยวี่หลัวคุ้นชินแล้ว

นางพาเซียวจื่อเมิ่งไปเดินในลานบ้าน เพื่อย่อยอาหาร วันนี้อากาศดี เซี่ยยวี่หลัวจึงไปห้องของเซียวยวี่ นำเครื่องนอนของเขาออกมาตากแดด

ถอดผ้าปูเตียงและปลอกผ้านวมออกทั้งหมด รอให้ร่างกายตัวเองหายดีแล้ว ก็จะไปริมแม่น้ำเพื่อซักผ้าปูเตียงให้สะอาด

ตำราบนโต๊ะหนังสือวางกองอย่างเป็นระเบียบ แต่เพราะไม่มีที่เก็บ บนโต๊ะและบนเตียงจึงเต็มไปด้วยตำรา แม้จะวางอย่างเป็นระเบียบ ถึงอย่างนั้นก็ดูระเกะระกะอยู่ดี

ห้องเล็กมาก มีพื้นที่ประมาณกึ่งหนึ่งของห้องเซี่ยยวี่หลัว วางโต๊ะหนึ่งตัว เตียงหนึ่งหลัง ก็แทบขยับตัวไม่ได้แล้ว

โต๊ะหนังสือก็เป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมธรรมดา ไม่ต่างจากโต๊ะในห้องของเด็กสองคนสักเท่าไหร่ ขาโต๊ะไม่เท่ากัน ใช้หินก้อนหนึ่งวางค้ำไว้ด้านล่าง ไม่มีเก้าอี้แม้แต่ตัวเดียว ต้องนั่งบนเตียงเพื่ออ่านตำราและเขียนหนังสือ อาจเพราะต้องนั่งนาน อ่านตำราเขียนหนังสือก็ลำบาก เซียวยวี่จึงชอบถูเท้า เมื่อถูนานเข้า ที่วางเท้าก็โดนถูจนเป็นหลุม พื้นลึกกว่าพื้นรอบข้างเล็กน้อย

อาจเพราะในห้องไม่ได้เปิดให้ลมโกรก และไม่ได้ตากแดดนาน ภายในห้องจึงมีกลิ่นอับ เซี่ยยวี่หลัวลงมือจัดเรียงตำราให้เป็นระเบียบ วางไว้ด้านนอกตากแดดครู่หนึ่ง

เซียวจื่อเมิ่งตามอยู่ข้างกายเซี่ยยวี่หลัวเข้าๆ ออกๆ อยู่ตลอด นางมองเซี่ยยวี่หลัวด้วยท่าทางประหลาดใจ แววตาเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย

เซี่ยยวี่หลัวพบว่านางผิดปกติ “เป็นอะไรไปจื่อเมิ่ง?”

เซียวจื่อเมิ่งถามด้วยท่าทีสงสัย “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านยอมเข้าห้องของพี่ใหญ่งั้นหรือ?”

ไม่ใช่แค่ยอมเข้าห้องของพี่ใหญ่ ทั้งยังยอมแตะต้องของของพี่ใหญ่ แต่ก่อนพี่สะใภ้ใหญ่ไม่มีทางยอมช่วยพี่ใหญ่นำผ้านวมและตำราไปตากแดดแน่นอน!

เซี่ยยวี่หลัวกำลังหอบตำราจำนวนหนึ่งก้าวข้ามธรณีประตู เมื่อได้ฟังประโยคนี้ ก็เกือบสะดุดธรณีประตู

นี่เป็นนางร้ายแบบไหนกัน ไม่เข้าห้องสามีของตนเลยงั้นหรือ?

จู่ๆ เซี่ยยวี่หลัวก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา นางร้ายผู้นี้รูปโฉมงามสะคราญ กลับไม่ชอบเซียวยวี่ หากไม่ใช่เพราะรังเกียจเซียวยวี่ ก็คงเพราะไม่ชอบรูปลักษณ์ของเขา

ในหนังสือไม่ได้บรรยายเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของเซียวยวี่ไว้สักเท่าไหร่ เพียงเขียนไว้ว่าเขามีอุปนิสัยเหลี่ยมจัดยากหยั่งถึง โหดเหี้ยมอำมหิต เลือดเย็นเจ้าเล่ห์ ส่วนเรื่องรูปลักษณ์…

เซี่ยยวี่หลัวมองรูปหน้าของเซียวจื่อเมิ่งโดยละเอียด

ลองคาดเดาดู เซียวจื่อเมิ่งและเซียวจื่อเซวียนหน้าตาถือว่าไม่เลว เพียงแต่ตอนนี้ขาดสารอาหาร ผอมเหมือนถั่วงอกก็มิปาน แต่ยังเห็นเค้าโครงใบหน้าที่ดูดีอย่างชัดเจน

เป็นบุตรของบิดามารดาคนเดียวกัน เซียวยวี่ก็น่าจะดูไม่แย่นัก!

เซี่ยยวี่หลัวรีบสงบจิตใจ ยิ้มพร้อมกล่าว “อ๋อ ข้าเห็นว่าห้องพี่ใหญ่ของเจ้าสกปรก เขาก็ไม่อยู่ จึงช่วยเขาเก็บกวาด ถึงอย่างไร เจ้าก็เรียกข้าว่าพี่สะใภ้ไม่ใช่หรือ!”

เดิมทีนางจะกล่าวว่า ถึงอย่างไรเขาก็เป็นสามีของข้า ภายหลังลองคิดดู ก็ล้มเลิกความคิดนั้น

วาจาเช่นนี้ นางไม่อาจเอ่ยออกมาได้จริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเอ่ยวาจาเช่นนี้ต่อหน้าเด็กคนหนึ่งด้วยแล้ว

เซี่ยยวี่หลัวยกตำราออกไปทั้งหมด เดิมทีนางไม่อยากเปิดตำราผู้อื่นตามใจชอบ ทำเช่นนี้ถือเป็นการเสียมารยาทมาก แต่เพราะไม่ได้วางตำราที่เปิดไว้ดีๆ จึงร่วงลงบนพื้นดัง “พรึ่บ”

นางหันไปโน้มตัวเพื่อเก็บ

มีลมโบกพัดพอดี ตำราที่ร่วงหล่นถูกลมพัดเปิดไปหลายหน้า จึงได้เห็นว่าในตำรามีการเขียนตัวหนังสือไว้เต็ม

ลายมืองามสง่าทรงพลัง หนักแน่นและแฝงเร้นด้วยความหมายลึกซึ้ง รูปแบบลายมือแตกต่างกับที่ใช้เขียนหนังสือหย่าให้นางโดยสิ้นเชิง

ในหนังสือบรรยายไว้ว่า ราชบัณฑิตน้อยเซียวยวี่ อายุยังน้อย ก็มีตำแหน่งสูง เหลี่ยมจัดยากหยั่งถึง เป็นคนเจ้าเล่ห์เลือดเย็น โหดเหี้ยมอำมหิต ลายมือของเขายุ่งเหยิงบ้าระห่ำอ่านได้ยากนัก ผู้คนมักจะมองไม่เห็นความแหลมคมที่ซ่อนเร้น เหมือนที่ไม่อาจอ่านใจเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง