บทที่ 48 พบกับญาติฝั่งแม่

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 48

พบกับญาติฝั่งแม่

“จิ่งชุน เจ้าไปล้างเนื้อล้างตัวไป แล้วเจ้าไปที่จวนท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋อกับข้า” หลินซีเหยียนที่สูดดมกลิ่นหอมของชาแล้วค่อยจิบ

จิ่งชุนที่ได้ยินก็ตาเป็นประกายขึ้นมา แล้วจากนั้นก็ได้ไปเตรียมตัวด้วยความยินดี

หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ป้าจ้าวที่กำลังยินดีเช่นกัน จึงได้ถามอย่างสงสัย “ก็แค่ไปที่จวนของท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋อ ทำไมท่านถึงได้ดูดีใจนัก?”

ป้าจ้าวก็ได้ปาดน้ำตาที่ขอบตาของนาง “คุณหนูหากท่านได้รับการสนับสนุนจากตระกูลท่านแม่ทัพแล้ว ท่านก็ไม่ต้องกลัวที่จะถูกรังแกอีกต่อไปแล้วนะเจ้าคะ”

ไม่มีใครที่กล้ารังแกข้าทั้งนั้นแหละ! หลินซีเหยียนต่อว่าในใจ แต่ว่านางเองก็รู้สึกดีใจ ที่คนเหล่านี้ต่างก็คำนึงถึงนางขนาดนี้

ป้าจ้าวก็มองไปที่หลินซีเหยียนด้วยสายตาที่อ่อนโยน แล้วเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก แล้วนางก็ได้จูงพา หลินซีเหยียนเข้าไปในห้อง “ท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋อนั้นชอบอะไรที่เรียบง่ายและสง่างาม เดี๋ยวข้ารับใช้คนนี้จะแปลงโฉมคุณหนูเองเจ้าค่ะ”

หลินซีเหยียนอยากที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่นางก็ต้องกลืนมันลงไปเมื่อเห็นจิตวิญญาณนักสู้ในตัวของป้าจ้าว ถึงแม้ว่านางจะไม่จำเป็นต้องแต่งตัวเอาใจแม่ทัพเฒ่าเลยก็ตามที แต่ภายใต้แรงกดดันของป้าจ้าวแล้วทำให้นางต้องยอมทำตามอย่างเชื่อฟัง

ด้วยเหตุนี้หลินซีเหยียนจึงได้สวมชุดสีเขียวอ่อน และปราศจากเครื่องประดับบนหัวที่มากมาย เหลือเพียงปิ่นปักผมหยกสีขาวอันเดียว และเพื่อที่จะให้ดูเรียบง่าย การแต่งหน้าจึงทำแบบบางๆ

แต่ถึงแม้จะแต่งหน้าเช่นนั้นแต่ก็ยังไม่อาจเก็บซ่อนความงามของหลินซีเหยียนเอาไว้ แต่กลับทำให้หลินซีเหยียนงดงามและสละสลวยมากขึ้นไปอีก

“คุณหนูจะต้องเป็นที่รักของท่านแม่ทัพแน่นอนเจ้าค่ะ” แล้วก็มีบรรยากาศเบิกบานขึ้นไปทั่วเรือนเชียนเหยียน

แต่ในมุมหนึ่งที่ไม่มีใครสนใจ มีหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังมองดูมือของตัวเองที่เป็นตาปลา แล้วสีหน้าของนางเต็มไปด้วยความอิจฉา

เนื่องจากบ้านมหาเสนาบดีไม่ได้ให้รถม้าแก่นาง หลินซีเหยียนจึงคิดที่จะเดินไปแล้วคิดที่จะจ้างคนขับรถม้าระหว่างทาง เพื่อความสะดวกในอนาคต

แต่พอหลินซีเหยียนออกมาจากจวนมหาเสนาบดี นางก็พบรถม้าของพระราชวังรัตติกาลจอดอยู่ ทั้งวัสดุและรูปทรงล้วนแต่งดงามมาก แต่ทว่าด้วยนิสัยเก็บตัวและไม่ชอบความโดดเด่น รถม้าคันนี้จึงไม่ค่อยได้นำออกมาใช้บ่อยนัก

“องค์หญิงกำลังจะไปที่จวนของท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋อใช่หรือไม่?” อันอี้ได้เดินเข้ามาหานางแล้วถาม

หลินซีเหยียนผงกหัวและมองไปที่อันอี้ด้วยสีหน้าที่ไม่ยินดี อันอี้จึงได้รีบอธิบาย “ข่าวนี้ของแม่นางหลินไม่ได้มาจาก ชิงอวี่และจี๋เฟิงขอรับ แต่เยี่ยจุนเจี๋ยได้มาที่พระราชวังเพื่อแจ้งเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และเขาก็ได้เชิญองค์ชายไปด้วยกันกับพระชายาขอรับ”

หลินซีเหยียนก็ผงกหัวและอย่างเหนื่อยอ่อนชั่วขณะหนึ่ง แล้วคิดว่าจะมาไม้ไหนกันแน่นะ?

มองดูหลินซีเหยียนที่กำลังอึ้ง อันอี้ก็ได้พูดเตือน “จะสายเอาได้นะขอรับพระชายา ได้โปรดรีบขึ้นรถม้าเถอะขอรับ!”

หลินซีเหยียนถอนหายใจและขึ้นรถม้าแต่โดยดี

เนื่องจากมีพื้นที่ว่างมากมายในรถม้าคันนี้ หลินซีเหยียนที่ขึ้นรถม้ามาก็ได้นั่งห่างๆจากเจียงหวายเย่ เจียงหวายเย่ที่เห็นเช่นนั้นก็ได้ขมวดคิ้วและหลับตา

แล้วทั้งสองคนต่างก็ไม่พูดอะไรกันตลอดทาง แต่บรรยากาศก็ไม่ได้อึดอัดอะไร กลับกันเป็นความเงียบสงบที่รู้สึกดี

“ถึงจวนท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋อแล้วขอรับ” เสียงของอันอี้ดังมาจากข้างนอก

เจียงหวายเย่ก็ได้ออกมาจากรถม้าก่อนด้วยการช่วยเหลือของอันอี้ แล้วจากนั้นก็ได้ยื่นมือมารับหลินซีเหยียนและพานางลงมาจากรถม้า

แล้วสาวใช้ในจวนแม่ทัพเจิ้นกว๋อก็มองมาที่คู่ชายหญิงนั้น ก็ได้จ้องตาค้างจนกระทั่งทั้งคู่เข้าไปในจวนลับตาของนางไป

“ถึงองค์ชายนั้นจะเสียโฉมและพิการจนต้องสวมหน้ากาก แต่ก็ยังงดงามราวกับภาพวาด” สาวใช้กล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น

แล้วสาวใช้วัยกลางคน คนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆสาวใช้เมื่อสักครู่นั้นก็ตาแดงขึ้นมา “คุณหนูรองช่างสวยงามจริงๆ ช่างงดงามเหมือนกับคุณหนูในสมัยก่อน……”

ในเวลานี้ห้องโถงก็คึกคักขึ้นมา ทันทีที่หลินซีเหยียนเข้ามานางก็พบกับ ท่านลุงของนางเยี่ยจ้าวอวิ่น และลุงคนที่สองของนางเยี่ยจ้าวเฟิง และยังรวมถึงเหล่าลุงป้ากับลูกพี่ลูกน้องมากมาย

เมื่อเหล่าผู้อาวุโสได้พบกับองค์ชายเย่ พวกเขาต่างก็ทำการถวายบังคมด้วยความเคารพ แล้วจากนั้นท่านลุงที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้บนสุดก็ได้ยิ้มและกล่าว “ซีเหยียน เจ้าเข้ามาใกล้ๆให้ลุงได้เห็นหน้าหน่อย”

หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาของนาง แล้วเหล่าลุงก็ได้ลุกจากที่นั่งรอนางเข้าไปหา นี่มันอะไรกัน?

ถึงหลินซีเหยียนจะคิดเช่นนั้นแต่ก็ยังเดินเข้าไปหาท่านลุงของนาง เยี่ยจ้าวอวิ่นก็ได้มองไปที่หน้าของหลินซีเหยียนซึ่งช่างเหมือนกับของน้องสาวของเขายิ่งนัก แล้วดวงตาของเขาก็แดงขึ้นมา

จากนั้นเยี่ยจ้าวอวิ่นก็ได้มอบกล่องใบหนึ่งให้ หลินซีเหยียนซึ่งหนักมาก แต่ก่อนที่หลินซีเหยียนจะเดาว่ามาคืออะไรนั้น เยี่ยจ้าวอวิ่นก็ได้พูดขึ้นมา “นี่คือของขวัญรับขวัญเจ้าจากลุง ลุงไม่รู้ว่าเจ้าชอบอะไร ดังนั้นลุงจึงได้มอบเงินส่วนหนึ่งให้แก่เจ้าให้เจ้าได้ใช้สอยตามต้องการเลย”

แล้วเหล่าลุงป้าก็ได้มอบของบางอย่างแก่นาง ชิ้นหยกที่ทั้งสีสันและลวดลายนั้นหายากมาก หลินซีเหยียนนั้นอยากที่จะปฏิเสธ แต่เหล่าลุงป้าต่างก็ดื้อดึงที่จะให้เช่นกัน

หลังจากที่หันไปรอบๆ หลินซีเหยียนก็ได้รับของมากมาย คนไหนที่อาวุโสกว่านางต่างก็พากันมอบของให้

“ซีเหยียน ตอนนี้เจ้าก็รู้จักกับคนในตระกูลของแม่ทัพ เจิ้นกว๋อเกือบทั้งหมดแล้วนะ ให้ข้าได้พาเจ้าไปพบกับท่านตาของเจ้า!” เยี่ยจุนเจี๋ยกล่าว

หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวอย่างเชื่อฟังและพา เจียงหวายเย่ให้ไปกับนางด้วย

เยี่ยจุนเจี๋ยได้พาทั้งคู่มายังห้องนอนของท่านตา ท่านตาของนางนั้นหน้าซีดเผือดและไออย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของเขา

“ซีเหยียนเจ้ามาแล้ว เข้ามาใกล้ๆให้ตาได้เห็นเจ้าหน่อย” ท่านตาพูดด้วยเสียงที่อ่อนแรง ราวกับว่าเวลาของเขาจะไม่เหลือแล้ว

ดูเหมือนว่าเขาจะทำเป็นแกล้งป่วยอีกแล้ว สิ่งที่เขาทำนั้นไม่อาจปิดบังหลินซีเหยียนได้ อย่างไรเสียอาการที่แท้จริงของแม่ทัพเฒ่านั้น นางรู้ดีในฐานะหมอผีอยู่แล้ว

หลินซีเหยียนนั้นอยากที่จะหัวเราะ แต่นางก็ไม่สามารถทำได้ นางจึงทำเป็นเล่นไปตามบทของท่านตา “ท่านตาเจ้าคะ”

“ซีเหยียน ตาให้เจ้ามาที่นี่เพื่ออยากจะบอกกับเจ้าว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นี่จะเป็นบ้านของเจ้า” ในขณะที่ท่านตาพูดออกมาเช่นนั้น สายตาของเขาก็หนักแน่นอนมาก

ซึ่งเรื่องนี้ทำให้หลินซีเหยียนจับมือของเขาอย่างดีใจ นางกุมมือของท่านตาแล้วกล่าว “ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะท่านตา”

จากนั้นท่านตาก็ได้หันหน้าไปหาเจียงหวายเย่ “องค์ชายเย่ ชายชราผู้นี้มีเรื่องอยากจะขอร้อง ไม่ทราบว่าองค์ชายจะสามารถทำให้ข้าได้หรือไม่?”

“ขอท่านแม่ทัพได้โปรดบอกมา เปิ่นหวางจะทำอย่างเต็มความสามารถ” เจียงหวายเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเช่นเคย

“ทั้งข้าและองค์ชายต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าองค์ฮ่องเต้นั้นยกซีเหยียนให้แก่องค์ชายเพราะสาเหตุอันใด” แม่ทัพเฒ่ามองไปที่องค์ชายเย่ด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ดังนั้นข้าจึงหวังให้องค์ชายเย่นั้นหาทางถอนหมั้นกับซีเหยียนเสีย”

เจียงหวายเย่จึงได้มีแววตาที่มืดมนขึ้นมา “การแต่งงานนี้เป็นราชโองการขององค์ฮ่องเต้ ลำพังตัวเราก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ขอให้ท่านแม่ทัพยกโทษให้ด้วย”

“ทำไมท่านตาถึงอยากให้ข้ากับองค์ชายถอนหมั้นเหรอเจ้าคะ?” หลินซีเหยียนถามอย่างสงสัย

“เจ้ายังไม่รู้ประสีประสา ถ้าเกิดเจ้าแต่งกับองค์ชายเย่ เจ้าก็จะต้องติดอยู่ในวังวนการเมืองและเจ้าจะไร้ซึ่งความสงบสุขไปตลอดชีวิตของเจ้า” แม่ทัพเฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทื่อๆและแหบแห้ง

“เรื่องนี้ขอท่านแม่ทัพได้โปรดวางใจเปิ่นหวางนั้นจะขอปกป้องนางด้วยชีวิตของเปิ่นหวางเอง ข้าจะไม่ให้นางต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอน” เจียงหวายเย่กล่าวอย่างช้าๆและเบาๆ แต่ก็ไม่มีใครที่กล้าถามถึงความจริงใจของประโยคนี้

ท่านแม่ทัพเฒ่าก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะได้รับคำตอบเช่นนี้ เขาจึงได้ตอบกลับไป “ถ้าวันหนึ่งองค์ชายไม่สามารถทำได้หรือเปลี่ยนใจ แม่ทัพเฒ่าคนนี้จะไม่ยอมนิ่งเฉยแน่ ต่อให้ข้าต้องสูญสิ้นตระกูลนี้ไป ข้าก็จะขอทวงความเป็นธรรมจากท่านแน่นอน”

หลินซีเหยียนที่ยืนมองดูก็รู้สึกตกใจขึ้นมา ที่ท่านตาได้เรียกนางกับเจียงหวายเย่มาเพื่อประกาศอย่างจริงจังว่าตระกูลแม่ทัพเจิ้นกว๋อนั้นจะให้การสนับสนุนนางอย่างเต็มที่งั้นเหรอ?

สิ่งที่แม่ทัพเจิ้นกว๋อสั่งสมมาตลอดช่วงชีวิตของเขานั้นจะยอมทิ้งให้กับนางจริงๆเหรอ?