บทที่ 30 มิอาจรู้ถึงชะตากรรม

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

บทที่ 30 มิอาจรู้ถึงชะตากรรม Ink Stone_Romance

การเป็นนักยุทธศาสตร์นั้น กล่าวความจริงเสียสามส่วนอีกเจ็ดส่วนเป็นเรื่องเท็จ จริงใจหรือหลอกลวงยากแยกแยะ การเป็นนักการทูต เจอคนก็พูดภาษาคน เจอผีก็พูดภาษาผี คำจริงหรือคำโป้ปดไม่แตกต่าง

ซ่งชูอีมิกล้ารับประกันว่าตอนนั้นตนได้ทุ่มเททั้งใจให้หมิ่นฉือไปแล้ว แต่นางมีสติครบถ้วน แม้ภายหลังต่างคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง นางก็ไม่เคยคิดหลอกใช้ความรู้สึกที่มีต่อเขาเพื่อทำภารกิจเลย

หมิ่นฉือใช้จดหมายเพียงฉบับเดียวทำลายความเชื่อใจอันน้อยนิดที่นางมีต่อตวนหยางโหว ซ่งชูอีไม่แปลกใจเลยสักนิด เพียงแต่ทุกคำพูดในจดหมายนั้นล้วนเปี่ยมด้วยความจริงใจ แม้นนางเองก็เกือบถูกหลอก นับประสาอะไรกับผู้อื่น!

แพ้แล้วก็คือแพ้ ซ่งชูอียอมรับ

สวรรค์ใหโอกาสนางได้ใช้ชีวิตใหม่อีกครั้ง นางก็จะต้องอยู่อย่างสง่างามและห้าวหาญกว่าเดิม แต่ในเมื่อได้พบกับหมิ่นฉืออีกครั้ง นางก็ไม่สามารถทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้

ซ่งชูอีนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างในห้องนอนจนกระทั่งดึกดื่นจึงขึ้นเตียงไป

หลับสนิทโดยไร้ความฝัน รุ่งอรุณของวันใหม่ ซ่งชูอีก็ออกจากซุยหยางพร้อมกับจี้ฮ่วนและอวิ่นรั่ว รีบไปสมทบกับกองทัพของจี๋อวี่

ที่นี่อยู่ใกล้กับซุยหยางมาก จี๋อวี่ไม่สามารถเดินหน้าได้อีกแต่ทำได้เพียงถอยหลัง นางหยุดพักระหว่างทางหลายครั้ง หลังจากขี่ม้าถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนจึงพบเครื่องหมายที่จี๋อวี่ทิ้งไว้

พวกเขาอยู่ห่างจากป่าที่ถูกฝูงหมาป่าโจมตีคราวก่อนไม่ไกล แต่ว่าท้องฟ้าขมุกขมัวแล้ว ทั้งสามไม่กล้าเข้าไปในป่า ยืนลังเลอยู่บนถนนครู่หนึ่ง ซ่งชูอีมองจี้ฮ่วนพร้อมเอ่ย “ท่านจี้ฮ่วน หรือจะรอจนฟ้าสว่างจึงเข้าป่า?”

ซ่งชูอีพึมพำ “ฝูงหมาป่าพักตอนกลางวันและหากินตอนกลางคืน ฟ้าดูท่าใกล้สว่างแล้ว ความเป็นไปได้ที่จะเจอหมาป่ามีไม่มาก…เพียงแต่ กองทัพสามหมื่นนายของพวกท่านแยกกันออกเดินทาง จะติดก่อกันเยี่ยงไร? ดีร้ายอย่างไรท่านก็เป็นถึงผู้บังคับกองพัน อย่าบอกข้านะว่าท่านไม่รู้”

“นอกจากทิ้งเครื่องหมายไว้ ยังมีการส่งเสียงประเภทหนึ่ง เครื่องส่งเสียงนี้ถูกสร้างขึ้นโดยนักดนตรีในพระราชวังแห่งรัฐเว่ย์ มีเพียงไม่กี่ชิ้น ข้าน้อยไม่มีมัน” จี้ฮ่วนกล่าว

ซ่งชูอีพยักหน้า มองดูท้องฟ้า “ดูท่าฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว รออีกหน่อยเถิด ระวังภัยรอบด้านด้วย”

ฝูงหมาป่านั้นสามารถล่าเหยื่อท่ามกลางสายฝน และสามารถล่าเหยื่อก่อนฟ้าสางได้เช่นกัน จำต้องระวังตัวมากหน่อย

พวกเขาขึ้นขี่ม้า บางทีความไวของสัตว์ดีกว่ามนุษย์มาก ถ้าหากต้องเจอกับฝูงหมาป่าจริงๆ ก็สามารถหนีได้ทันที

ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างแล้ว

ทั้งสามคนเตรียมตัวเข้าป่า ทันใดนั้นเสียงนกร้องที่ยืดยาวและคมชัดดังขึ้นภายในป่า

จี้ฮ่วนดีอกดีใจ เอานิ้วชี้ใส่ปากแล้วเป่า หลังจากนั้นไม่นาน ม้าสิบตัวก็ออกมาจากป่าและเข้ามาหาพวกเขา

“ซีฮู่!” จี้ฮ่วนจำผู้นำคนนั้นได้ทันที

ซีฮู่พาคนที่เหลือรุดมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พลิกตัวลงจากม้าด้วยความคล่องแคล่ว ยกมือคารวะซ่งชูอี เอ่ยขึ้น “ท่านนายพลมีคำสั่งให้ข้าน้อยมารับท่านหวยจินขอรับ!”

“อืม” ซ่งชูอีเม้มปาก จากนั้นสักพักจึงเอ่ย “ไปเถิด”

ทั้งสิบคนให้ซ่งชูอีอยู่ตรงกลาง แล้วเดินเข้าไปในป่า

พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว มันส่องแสงผ่านกิ่งไม้เปลือยเปล่า ทิ้งเงากระดำกระด่างอยู่บนพื้น มีใบไม้เหี่ยวแห้งร่วงโรยเป็นครั้งคราว

หลังจากอยู่ในป่าเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาก็มองเห็นค่ายทหารใหญ่ เมื่อตัดสินจากจำนวนคน ดูเหมือนว่าทหารสามหมื่นนายรวมตัวกันครบแล้ว

“ท่านหวยจิน!” จี๋อวี่เดินเข้ามา

ซ่งชูอีอ่านการแสดงออกของเขาโดยละเอียด ทั้งสองเงียบงันครู่ใหญ่ ซ่งชูอีจึงเอ่ยขึ้น “หาเขาไม่เจอรึ?”

“เมื่อวานข้าวานให้แม่ทัพสามท่านค้นหาในบริเวณป่าผืนนั้น พบเพียงเศษผ้าจำนวนหนึ่ง กับซากเกวียนม้าสี่คัน” จี๋อวี่กล่าว

ที่จริงรอยเลือดในที่เกิดเหตุตอนนั้น แม้แต่จี๋อวี่ที่ต่อสู้ในสนามรบก็ยังตกตะลึง เกวียนม้าสี่คันชนเข้ากับหน้าผาจนแตกเป็นเสี่ยงๆ บริเวณใกล้เคียงกำแพงหินถูกย้อมด้วยเลือดโดยทั่ว ครั้นขุดลึกลงไป พื้นดินก็ยังเป็นสีเลือดแดงฉาน เศษเนื้อและอวัยวะภายในกระจายอยู่ทั่วพื้นดิน

“บัดนี้ซ่งจวินตกลงที่จะปล่อยพวกท่านแล้ว” ซ่งชูอีพูดจบก็หันหน้าไป เอ่ย “ได้นำเศษผ้ากลับมาหรือไม่?”

ครั้นจี๋อวี่ได้ยินว่าซ่งจวินตกลงร่วมเป็นพันธมิตร ในใจก็โล่งอกขึ้นมาก โบกมือสั่งการให้คนนำเศษผ้าที่ถูกย้อมด้วยเลือดมา

“พวกท่านหารือเรื่องถอยทัพเถิด ไม่ต้องสนใจข้า” ซ่งชูอีรับเศษผ้า เดินไปยังพื้นที่ว่างเปล่า คุกเข่าลง คลี่ผ้าที่อยู่ด้านในออกมา ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน

จี๋อวี่มองนางครู่หนึ่ง แล้วก้าวเท้ายาวๆ เพื่อไปรายงานข่าวดีให้กับท่านแม่ทัพทั้งสาม ขณะนี้การถอยทัพเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

จี้ฮ่วนยืนอยู่ข้างซ่งชูอี ดูนางคุกเข่าอยู่หน้ากองเศษผ้าเปื้อนเลือด พลิกหาอย่างระมัดระวัง รู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อยอย่างไม่รู้สาเหตุ แต่เขาก็มิได้เอ่ยปากรบกวน

สายตาของซ่งชูอีหยุดชะงักอยู่ที่ผืนผ้าซาตินสีขาวครู่หนึ่ง จำได้ว่า…ตอนนั้นเจ้าอี่โหลวสวมเสื้อผ้าที่ทำด้วยวัสดุประเภทนี้

“ช่างเถอะ! บัดนี้ข้าได้ช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถแล้ว” ซ่งชูอีโยนผ้าซาตินผืนนั้นทิ้ง ลุกขึ้นยืน

“ท่านหวยจิน ท่านแม่ทัพทั้งสามต้องการพบท่าน” ทหารนายหนึ่งเข้ามารายงาน

“อืม ไปเถิด” ซ่งชูอีกล่าว

ทหารนายนั้นพานางเข้าไปที่ค่ายผู้บัญชาการทหาร แม้นภายในค่ายกว้างขวาง แต่พวกเขาคือกองกำลังจู่โจม มิใช่เป็นกองกำลังตั้งมั่น ด้วยเหตุนี้สิ่งของภายในค่ายจึงเรียบง่ายเป็นอย่างมาก แม้แต่โต๊ะเตี้ยสักตัวก็ไม่มี

ด้านล่างถูกปูด้วยเสื่อฟางหนาๆ สองสามผืน แผนที่หนังแกะแขวนต่ำอยู่บนค่ายฝั่งตรงข้าม นักรบในเสื้อเกราะสามนายนั่งล้อมรอบแผนที่ ผู้ที่อาวุโสที่สุดในบรรดาพวกเขาอายุประมาณห้าสิบปี ที่อายุน้อยที่สุดก็เข้าสู่วัยสี่สิบแล้ว มีทหารมากกว่าสิบนายนั่งอยู่สองฝั่ง จี๋อวี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ซ่งชูอีคำนับท่านแม่ทัพสามนายที่อยู่บนที่นั่งหลัก “ซ่งชูอีคารวะท่านแม่ทัพทั้งสาม”

“ลำบากท่านแล้ว เชิญนั่ง” หนึ่งในแม่ทัพที่อาวุโสที่สุดผายมือไปยังเสื่อฟางไม่ไกลจากพวกเขา

เสื้อเกราะบนตัวท่านแม่ทัพอาวุโสชำรุดทรุดโทรม ศีรษะขาวโพลน ใบหน้าหมองคล้ำอีกทั้งผิวพรรณหย่อนคล้อย แต่ว่าแววตาดุจสายฟ้า มีชีวิตชีวายิ่ง

ในเมื่อซ่งชูอีรับปากจี๋อวี่ว่าจะไปรัฐเว่ย์ แม้จะเป็นเพียงการเดินผ่าน นางก็ต้องไปสักครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นด้วยลักษณะที่อ่อนเยาว์ของนาง ไม่ว่าไปรัฐใดก็ไม่มีผลลัพธ์ที่ดีไปกว่านี้ นางต้องการเวลาและต้องอาศัยระยะเวลานี้พิจารณาว่าจะทำเยี่ยงไรต่อไป

“ท่านหวยจินมาได้เวลาพอดี พวกข้ากำลังหารือกันว่า รัฐเว่ยมีพฤติกรรมน่ารังเกียจ พูดอย่างทำอย่าง ไร้ความน่าเชื่อถือ ครั้นกองทัพพวกข้าเดินทางผ่านแผ่นดินรัฐเว่ยแล้ว พวกมันจะอาศัยโอกาสนี้โจมตีหรือไม่” ท่านแม่ทัพที่อายุสี่สิบต้นๆ กล่าวขึ้น

“มีความเป็นไปได้ เพียงแต่…รัฐเว่ยต้องการยึดครองเมือง ไม่มีเหตุผลที่จะซุ่มโจมตีพวกท่าน พวกเขาก็คงไม่เสียแรงเปล่า ขอเพียงพวกท่านไม่จู่โจมก่อน ก็จะผ่านไปได้อย่างปลอดภัย” ที่จริงแล้วซ่งชูอีอยากบอกว่า เป้าหมายหลักของรัฐเว่ยคือยืดครองเมือง ทหารสามหมื่นนายนี้ไร้ซึ่งเสบียงและเครื่องใช้จำเป็น อีกทั้งยังไร้ทหารชั้นยอด เหตุใดรัฐเว่ยจะยอมเสียแรงเปล่าเพื่อโจมตีเล่า

อย่างไรก็ตาม นอกเสียจากว่ารัฐเว่ยมีความตั้งใจที่จะผนวกรัฐเว่ย์ ก็อาจจะทำลายทหารม้าสามหมื่นนาย ตัดกำลังรัฐเว่ย์ให้อ่อนแอจนถึงที่สุด ภายภาคหน้าคิดจะทำเยี่ยงไรก็ย่อมได้

“พวกท่านมีเสบียงหรือไม่?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

ท่านแม่ทัพอาวุโสตอบ “สามารถหล่อเลี้ยงได้สิบวัน”

ในฐานะกองกำลังจู่โจม ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เตรียมเสบียงและข้าวของเครื่องใช้เป็นจำนวนมาก หรือแม้แต่ขบวนเกวียนเสบียงหรือการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากเบื้องหลัง

“ถ้าหากรัฐเว่ย์ต้องการสังหารทหารม้าสามหมื่นนายของพวกท่านจริงๆ ก็คงตัดเสบียงของพวกท่านนานแล้ว” ซ่งชูอีแอบถอนหายใจ เกรงว่ารัฐเว่ย์มิได้อยู่ในสายตาของรัฐเว่ยตั้งแต่แรกแล้วกระมัง

…………………………………