ตอนที่ 56-3 กลับบ้าน

ชายาเคียงหทัย

เมื่อเห็นนางรับฟังคำสอนของตนเช่นนี้ก็เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าพอใจเป็นอย่างมาก จึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เด็กดี ย่ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องเข้าใจง่ายกว่าเยี่ยอิ๋ง เดิมทีเรื่องนี้ไม่ควรพูดในวันนี้ที่เจ้ากลับมาบ้าน เพียงแต่อีกหน่อยเมื่อเจ้าเป็นพระชายาติ้งอ๋องแล้ว คงไม่มีเวลากลับมาบ้านอีก ย่าจึงได้พูดกับเจ้าเสียตอนนี้ ไว้อีกสองสามวันหากเจ้าว่างไม่มีอันใดทำ ก็มารับน้องห้ากับน้องหกของเจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนที่ตำหนักติ้งอ๋องเถิด”

 

 

           เยี่ยหลีนิ่งอึ้ง ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าพูดต่อว่า “ซานเอ๋อร์กับหลินเอ๋อร์เป็นเด็กดีทั้งคู่ พวกเจ้าพี่น้องก็โตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ หากพวกนางสามารถ…ก็จะพอช่วยเจ้ากับอิ๋งเอ๋อร์ได้อีกแรง ความหมายของย่าก็คือ หลินเอ๋อร์สุขุมกว่าหน่อย ให้ดีที่สุดคือไปอยู่กับอิ๋งเอ๋อร์ที่ตำหนักหลีอ๋อง ส่วนซานเอ๋อร์เป็นคนง่ายๆ นิสัยของเจ้าก็เอานางอยู่ เจ้าเห็นว่าอย่างไร”

 

 

           ข้าเห็นว่าอย่างไร ข้าเห็นว่าอย่างไร เยี่ยหลีแทบอยากจะเป็นบ้า ฮูหยินผู้เฒ่าคนนี้คิดเองเออเองไปหน่อยเสียแล้วกระมัง แม้แต่ให้ใครอยู่กับใครก็คิดไว้เรียบร้อยแล้ว ตำหนักหลีอ๋องกับตำหนักติ้งอ๋องตำหนักละคนพอดี มิน่าเมื่อสักครู่สีหน้าของเยี่ยอิ๋งถึงได้ดูย่ำแย่เช่นนั้น นางฟาดฟันกับอนุของม่อจิ่งหลีในตำหนักหลีอ๋องก็เหน็ดเหนื่อยพออยู่แล้ว บ้านเดิมของนางยังจะมาส่งน้องสาวไปเพิ่มเติมให้อีก เป็นใครก็คงต้องปวดหัว

 

 

เยี่ยหลีกระแอมเบาๆ ก่อนปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วยิ้มน้อยๆ “ท่านย่า พูดเรื่องนี้ในตอนนี้จะเร็วไปหน่อยหรือไม่ ข้ากับท่านอ๋องยังไม่ได้…ก็รีบร้อนจะให้น้องสาวของตระกูลเข้าตำหนักไปอีกคน ท่านอ๋องจะคิดอย่างไร”

 

 

           เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะ “ย่าก็ไม่ได้บอกให้เจ้าจัดการตอนนี้เสียหน่อย ถึงอย่างไรซานเอ๋อร์ก็อายุยังน้อย รอไปอีกสักปีสองปีก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเจ้ามีความคิดนี้อยู่ในใจก็พอ”

 

 

           เยี่ยหลีดึงมุมปากขึ้น แล้วถามว่า “น้องห้ากับน้องหกถึงแม้จะเกิดจากภรรยารอง แต่จวนเจ้ากรมของเราก็ไม่ได้ต้อยต่ำอันใด เข้าตำหนักอ๋องไปเป็นชายารองจะไม่ลดฐานะพวกนางไปหน่อยหรือเจ้าคะ”

 

 

           เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ “เรื่องแต่งงานนี้ย่าเป็นคนตัดสิน พวกนางจะมีอันใดให้น่าเสียเปรียบกัน เข้าตำหนักอ๋องไปเป็นชายารอง จะไม่มีเกียรติมากกว่าแต่งงานไปเป็นภรรยาเอกของขุนนางเล็กๆ หรือลูกชายสายรองหรือ หลีเอ๋อร์ไม่ต้องเป็นห่วงพวกนางสองคนไป ซานเอ๋อร์กับหลินเอ๋อร์เป็นเด็กที่เชื่อฟังมาโดยตลอด พวกนางไม่มีความเห็นอันใดหรอก”

 

 

           แต่ข้ามีนี่ เยี่ยหลีคิดไปมา ก่อนเอ่ยเสียงขรึมว่า “หลีเอ๋อร์เข้าใจความหมายของท่านย่ากับท่านพ่อเจ้าค่ะ เพียงแต่…ลูกสาวตระกูลเรานอกจากพี่รองที่เข้าวังไปแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็แต่งเข้าตำหนักอ๋องกันทุกคน เช่นนี้แล้ว…ไม่เป็นผลดีต่อพี่รองเลย เรื่องนี้…ท่านย่าได้ปรึกษากับท่านพ่อแล้วหรือยังเจ้าคะ”

 

 

อันที่จริงเมื่อลองคิดดีๆ เยี่ยหลีก็เข้าใจว่าที่เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าทุ่มเทใจกับเรื่องนี้เป็นเพราะเหตุใด นั่นก็เพราะเพื่อเด็กในท้องของคนในวัง สายเลือดของฮ่องเต้ที่ยังไม่รู้ว่าเป็นหญิงหรือเป็นชายนั่น อย่าว่าแต่ตอนนี้แต่งเข้าตำหนักติ้งอ๋องเลย ต่อให้เป็นหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน เยี่ยหลีก็ไม่เคยคิดที่จะให้ความร่วมมือกับแผนการมักใหญ่ใฝ่สูงของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ดี นางไม่เข้าใจจริงๆ เจ้ากรมเยี่ยก็ถือได้ว่ารับใช้อยู่ในราชสำนักมานาน เหตุใดจึงเห็นด้วยกับแผนการของคนแก่ที่อยู่แต่กับบ้านคนหนึ่งได้

 

 

           เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าอึ้งไป หรี่ตาลงมองประเมินเยี่ยหลี “เจ้าหมายความว่าอย่างไรหรือ”

 

 

           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “หลีเอ๋อร์ก็เป็นบุตรสาวของตระกูลเยี่ย หากพี่รองได้ดีก็ย่อมดีกับหลีเอ๋อร์ เพียงแต่…ท่านย่าจะสนใจแค่เพียงตำหนักอ๋องสองตำหนักนี้ไม่ได้ ท่านย่าต้องทราบว่า…ท่านอ๋องไม่เคยสนใจเรื่องของราชสำนัก และการสนับสนุนจากข้าราชการในราชสำนักก็สำคัญยิ่งนัก”

 

 

           “เรื่องนี้…”

 

 

           เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่านิ่งคิดไปครู่หนึ่ง นางรู้ดีว่าที่เยี่ยหลีพูดมาก็มีเหตุผล ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เยี่ยหลีมั่นใจว่าตนสามารถควบคุมตำหนักติ้งอ๋องได้ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลเยี่ยส่งบุตรสาวเข้าไปอีกคน หากว่าเยี่ยหลีไม่ยินยอม แล้วพวกเขาบังคับให้นางรับเข้าไป จะกลายเป็นว่าทำให้พี่น้องทะเลาะกันเองก็คงดูไม่ดีนัก และเท่าที่เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าดูแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยซานหรือเยี่ยหลินต่างก็สู้กับเยี่ยหลีไม่ได้ทั้งคู่ เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่ดื้อแพ่งต่อไป นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “หลีเอ๋อร์พูดมามีเหตุผล เป็นย่าเองที่คิดไม่รอบคอบ เรื่องนี้เจ้าก็ถือเสียว่าย่าไม่เคยพูดถึงมาก่อนก็แล้วกัน” ถึงแม้ตำหนักติ้งอ๋องจะมีชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ แต่ติ้งอ๋องทุกรุ่นที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครยุ่งเกี่ยวกับราชการงานเมืองเลยจริงๆ เช่นนี้แล้ว ตำหนักติ้งอ๋องคงมีประโยชน์ไม่เท่าตำหนักหลีอ๋องเป็นแน่

 

 

           “เจ้าค่ะ ท่านย่าไม่ได้พูดอันใดทั้งนั้น หลีเอ๋อร์ก็ไม่ได้ยินอันใดทั้งนั้นเจ้าค่ะ” เยี่ยหลีเอ่ยรับคำเบาๆ ได้ล่วงรู้ถึงความคิดของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าแน่นอนว่าย่อมดีที่สุด อีกหน่อยตำหนักติ้งอ๋องก็คือบ้านของนาง นางไม่คิดอยากให้ที่นั่นมีสิ่งที่นางนึกรังเกียจให้เห็น

 

 

           เมื่ออยู่คุยเป็นเพื่อนเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าได้ครู่หนึ่ง ก็มีบ่าวเข้ามาเชิญให้ทั้งสองไปรับประทานอาหาร เนื่องจากเป็นงานเลี้ยงภายในครอบครัว จึงไม่มีแขกนอกร่วมอยู่ด้วย มีเพียงเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่า พร้อมด้วยเจ้ากรมเยี่ยและหวังซื่อ ม่อจิ่งหลีกับเยี่ยอิ๋ง ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลี และหนานโหวซื่อจื่อ นามฟู่เจาร่วมโต๊ะอยู่เท่านั้น บนโต๊ะอาหาร เยี่ยหลีรับรู้ถึงสายตาเยียบเย็นที่ส่งมาอยู่ตลอดเวลา เยี่ยหลีไม่ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองก็เดาได้ว่าเป็นใคร เยี่ยอิ๋งคีบกับข้าวให้ม่อจิ่งหลีอย่างกระตือรือร้น แต่ม่อจิ่งหลียังมัวแต่สนใจคนอื่น เขาจ้องเยี่ยหลีด้วยสีหน้าเหมือนใครไปติดเงินเขาไว้หลายพันตำลึงแล้วไม่คืนอย่างไรอย่างนั้น ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีรับประทานอาหารด้วยท่าทีสบายๆ คอยคีบอาหารที่อีกฝ่ายชอบให้กัน ฟู่เจามองดูฟากนั้นทีฟากนี้ทีเหมือนครุ่นคิดเรื่องอันใดอยู่ แล้วก็หันไปดื่มเหล้ากินอาหารเหมือนไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น แต่สีหน้าของเจ้ากรมเยี่ยกลับเต็มไปด้วยความประดักประเดิด ดูออกว่าเขาพยายามให้บรรยากาศดูกลมเกลียวเป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่ลูกเขยทั้งสามคนกลับไม่มีใครที่ตนสามารถแตะต้องได้เลยนี่สิ นอกจากหนานโหวซื่อจื่อที่ยังพอเห็นแก่หน้าเขาบ้าง ม่อซิวเหยาก็ไม่ใช่คนที่คบหาได้ยากอันใด แต่ใบหน้าของม่อจิ่งหลีนั้นกลับเหมือนมีตัวหนังสือเขียนอยู่อย่างชัดเจนว่าไม่พอใจ

 

 

           “อะแฮ่ม จะว่าไปท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้พบหน้ากันหลายปีแล้ว ข้าขอดื่มให้ท่านจอกหนึ่ง” สุดท้ายเป็นฟู่เจาที่ทำลายบรรยากาศอันน่าอึดอัดลง เขาลุกขึ้นยื่นจอกเหล้าไปทางม่อซิวเหยา “และขอดื่มให้พระชายา ขอให้ท่านอ๋องกับพระชายาใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุขตลอดไป”

 

 

           ม่อซิวเหยายกจอกเหล้าขึ้น พร้อมยิ้มอย่างสุภาพ “ขอรับคำอวยพรของท่าน เมื่อครั้งท่านแต่งงานข้าไม่มีโอกาสได้ไปแสดงความยินดี ขออย่าได้ถือสา” เขาเงยหน้ากระดกเหล้าจอกที่ฟู่เจาขอดื่มให้

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของฟู่เจาจึงดูจริงใจขึ้น “ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ ทุกคนก็ถือว่ารู้จักกันมาตั้งแต่เล็กๆ มาวันนี้กลายมาเป็นญาติกัน เมื่อตอนที่มาท่านแม่ยังได้สั่งมาว่า หากพระชายามีเวลาว่างก็ขอเชิญไปนั่งเล่นที่ตำหนักโหวบ้างพ่ะย่ะค่ะ” หนานโหวซื่อจื่อคนนี้ดูท่าจะเข้ากับคนเก่งไม่น้อย คนในเมืองหลวงต่างก็รู้กันดีว่าถึงแม้หนานโหวซื่อจื่อจะยังไม่ได้สืบทอดตำแหน่ง แต่ตอนนี้ในตำหนักโหวก็มีชายาของซื่อจื่อที่เป็นประมุขอยู่แล้ว ตอนนี้เขากลับปิดปากไม่พูดถึงชายาซื่อจื่อ แต่กลับอ้างชื่อหนานโหวฮูหยินแทน

 

 

           เยี่ยหลียิ้มแล้วยกจอกขึ้นรับการดื่ม “ซื่อจื่อโปรดขอบคุณหนานโหวฮูหยินแทนข้าด้วย”

 

 

           ม่อจิ่งหลีมองทุกคนที่พูดคุยพร้อมยิ้มแย้มให้กันแล้ว จึงส่งเสียงเหอะ พร้อมลุกยืนขึ้น “ในเมื่อฟู่เจาดื่มให้ท่านแล้ว ม่อซิวเหยา ข้าก็จะดื่มให้เจ้าจอกหนึ่ง”

 

 

           ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้นยิ้มน้อยๆ “ข้าก็ไม่ได้ดื่มเหล้ากับจิ่งหลีนานแล้ว เช่นนั้นขอดื่มให้เจ้ากับชายาหลีอ๋องด้วยเลยได้หรือไม่”

 

 

           ม่อจิ่งหลีส่งเสียงเหอะเบาๆ โบกมือให้สาวใช้ที่จะเข้ามารินเหล้าหลบไป ก่อนจะรินเหล้าให้ม่อซิวเหยาและตนเองคนละจอก เงยหน้าขึ้นกระดกหมดจอกในคราวเดียว จากนั้นปรายตามองแก้วม่อซิวเหยาที่อยู่ตรงหน้า ม่อซิวเหยาอมยิ้มแล้วยกจอกเหล้าขึ้นดื่มทีเดียวหมดเช่นกัน

 

 

           “เอามาอีก!” ม่อจิ่งหลียกเหยือกเหล้าขึ้นเทจนเต็มอีกครั้ง แล้วทั้งสองก็เปิดศึกดวลเหล้ากันบนโต๊ะอาหาร