ฝนตกหนักด้านนอก เปาะแปะลงมาไม่หยุด
มีหน้าต่างบานหนึ่งในห้องเปิดอ้า ลมพายุฝนด้านนอกจึงพัดพาความเย็นเข้ามาจากหน้าต่างบานนั้น
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เวลานี้นอนอยู่บนเตียง ฟังเสียงฝนที่ตกอยู่นอกห้าต่าง พลิกตัวไปมาคล้ายนอนไม่หลับ
ไม่รู้เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ หรือกังวลเรื่องของประชาชน สรุปแล้วในใจเหลิ่งจวิ้นอวี๋เวลานี้สับสน กลัดกลุ้มและกระวนกระวาย ราวเกิดเรื่องไม่ดีบางอย่างขึ้น
ความกระวนกระวายเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงเกิดความสงสัย
จริงๆ แล้วเกิดเรื่องไม่ดีอะไรขึ้นกันแน่ เขาไม่เข้าใจเลย!?
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ใคร่ครวญในใจ หลังพลิกตัวอยู่บนเตียงหลายรอบ สุดท้ายขจัดความกระวนกระวายในใจไม่ได้ จึงหยิบเสื้อคลุมบางเบาขึ้นมาสวม ก่อนผลักประตูไม้ลายสลักออกเดินออกไปด้านนอก
ท้องฟ้ามืดมิดราวปีศาจที่มีปากอันกว้างใหญ่ น้ำฝนเย็นยะเยือกนั้นตกลงมาไม่หยุด ทำให้อุณหภูมิในคืนนี้ลดลงไม่น้อย จึงหนาวเย็นเล็กน้อย
พายุฝนนั้นราวกับภาพวาดธรรมชาติ ทิวทัศน์รอบด้านเหมือนถูกกั้นเอาไว้ จึงเห็นโคมไฟที่แขวนอยู่ไม่ไกลและองครักษ์ที่เดินลาดตระเวนเพียงรำไร
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เดินไปอย่างไร้จุดหมาย ฝีเท้าของเขาเบามาก หากไม่สังเกตให้ดีไม่มีผู้ใดรู้ว่ามีเขาอยู่
ไม่รู้ว่าเขาเดินอยู่นานเพียงใด เมื่อได้สติกลับมาเขาจึงรู้ว่าตนได้เดินออกมาจากเรือนหย่าเฟิงโดยไม่รู้ตัว
สิ่งก่อสร้างของวังอ๋องวกไปวนมา ดังนั้นแม้จะเป็นระเบียงทางเดินล้วนคดเคี้ยว ระเบียงทางเดินของเรือนหย่าเฟิงสามารถทะลุไปได้ทุกที่ของวัง
นอกจากนี้แม้เวลานี้จะฝนตก ทางเดินในระเบียงทางเดินไม่โดนฝนสาดเปียก
เวลานี้เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยืนอยู่หน้าระเบียงทางเดิน เป็นสถานที่ที่เหล่าบ่าวรับใช้พักอาศัย
และห้องพักของหัวหน้าขันทีลี่อยู่ด้านหน้า
แม้ที่นี่จะเป็นห้องพักของบ่าวรับใช้ แต่เพราะหัวหน้าขันทีลี่คือคนที่มีอำนาจใหญ่ที่สุดรองจากเขาในวังแห่งนี้ ดังนั้นลานบ้านที่พักของเขาจึงงดงามเรียบง่ายอย่างยิ่ง
ขณะนี้ดึกมากแล้ว รอบด้านจึงเงียบสงบอย่างมาก เหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้สติคิดหันหลังเดินกลับไปเรือนหย่าเฟิงของตน กลับกลายเป็นว่าทันใดนั้นมีเสียงอุทานอย่างวิตกกังวลดังออกมาจากห้องพักของหัวหน้าขันทีลี่
เพราะดึกแล้ว รอบด้านนอกจากเสียงฝนไม่มีเสียงอื่น รวมทั้งหูของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ดีมาก แม้จะไม่ได้ตั้งใจฟัง ทว่าบทสนทนาภายในห้องพักกลับดังเข้ามาในหูของเขาโดยไม่มีตกหล่นสักคำเดียว
ทว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ดังนั้นจึงหมุนตัวเดินผ่านไป
แต่ก้าวเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เมื่อได้ยิน ‘เสี่ยวเหยาจื่อ’ สามคำนี้ ทั่วร่างกายสั่นเทาทันที เท้าที่เดิมทีจะเดินไปข้างหน้าพลันหยุดลง
ไม่รู้ว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋อยู่ด้านนอก เสี่ยวมู่จื่อกำลังคุกเข่าด้วยสีหน้าร้อนรนอยู่ด้านข้างหัวหน้าขันทีลี่ ขอร้องวิงวอนสุดชีวิต
“หัวหน้าขันทีลี่ บ่าวขอร้องท่าน ช่วยเสี่ยวเหยาจื่อด้วยเถอะขอรับ! ตอนนี้เสี่ยวเหยาจื่อไข้สูงยิ่งนัก หากไม่เชิญท่านหมอมาดูอาการเขา เขาต้องตายแน่ขอรับ!”
“เฮ้อ เสี่ยวมู่จื่อ ไม่ใช่ข้าไม่อยากช่วย ดึกขนาดนี้โรงหมอด้านนอกคงปิดหมดแล้ว ตอนนี้จะหาหมอได้จากที่ใด!?”
เมื่อใบหน้าวิงวอนอย่างร้อนรนของเสี่ยวมู่จื่อ หัวหน้าขันทีลี่ทำได้เพียงเอ่ยปากอย่างจนใจ
นอกจากนี้เขาพูดความจริง เวลานี้ด้านนอกลมแรงฝนตกหนัก โรงหมอล้วนปิดหมด ยังจะหาหมอได้จากที่ใดอีก!?
เสี่ยวมู่จื่อเองทราบเรื่องนี้ดี ดังนั้นในใจยิ่งร้อนรนมากขึ้น
“แต่…แต่ว่าเช่านั้นจะทำเช่นไรขอรับ? เสี่ยวเหยาจื่อจะทำเช่นไร!?”
“เฮ้อ ในห้องข้ามียาอยู่นิดหน่อย ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือไม่ ตอนนี้เมื่อหาหมอไม่ได้ ให้เขากินยาน่าจะดีกว่า ผลจะเป็นเช่นไรต้องดูที่วาสนาของเขา!”
หัวหน้าขันทีลี่ไม่ใช่เห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยเหลือ แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงพวกนี้เท่านั้น
ดังนั้นหัวหน้าจึงคิดเพียงหยิบยาในห้องของตน แก่เสี่ยวมู่จื่อนำไปต้มให้กับเสี่ยวเหยาจื่อ ส่วนเสี่ยวเหยาจื่อจะรอดหรือไม่นั้น ดูที่บุญวาสนาของเขาเท่านั้น
อันที่จริงในวังอ๋อง ชีวิตของบ่าวรับใช้คนหนึ่งไร้ค่าดั่งต้นหญ้าเสียจริง
ขณะที่หัวหน้าขันทีลี่ถอนหายใจ พลันมีเงาร่างสูงใหญ่ปรากฎขึ้นมาในห้อง
ด้านนอกท้องฟ้ามืดมิด ฝนตกอย่างหนัก มีเพียงโคมโกงเติงบนชายคาที่โยกไปมาตามกระแสลมเย็นไม่หยุด ราวดิ้นรนกระจายแสงอันแผ่วเบาออกมา
ชายหนุ่มปรากฎตัวโยไร้สุ้มเสียง ราวกับปีศาจ ฝีมือไม่ธรรมดา ราวกับพายุทอร์นาโด
หัวหน้าขันทีลี่รู้สึกเพียงสายลมหนาวเย็นพัดผ่านเข้ามา ยังไม่ทันรู้สึกตัวเหลิ่งจวิ้นอวี๋ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
เห็นเช่นนั้น ใบหน้าหัวหน้าขันทีลี่ตกตะลึงเล็กน้อย ทว่ากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ก่อจะเอ่ยปากถาม
“ท่านอ๋อง?”
“หัวหน้าขันทีลี่ ให้คนเข้าวังไปเชิญหมอหลวงเฉิงมา!”
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงบางเบา ในคืนฝนตกอย่างหนัก ฟังแล้วเลือนลางราวมไม่ใช่เรื่องจริง
เมื่อได้ยินหัวหน้าขันทีลี่เบอกตาเล็กน้อย ยังคิดว่าตนเองฟังผิดไป ทว่าเมื่อเห็นใบหน้างดงามของชายหนุ่มนั้นแล้ว
แม้ชายหนุ่มจะดูสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม แต่หัวหน้าขันทีลี่ที่เฝ้ามองการเติบโตของเหลิ่งจวิ้นอวี๋มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นนิสัยใจคอของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เขารู้ดีที่สุด
แต่ที่ทำให้หัวหน้าขันทีลี่ปรพหลาดใจคือ เพียงขันทีน้อยคนเดียวท่านอ๋องกลับให้เข้าวังไปเชิญหมอหลวง นอกจากนี้หมอหลวงเฉิงยังเป็นหมอหลวงที่ฝีมือดีที่สุดคนหนึ่งอีกด้วย
นี่ นี่น่าเหลือเชื่อเสียจริง!
อาจเพราะสังเกตเห็นสายตาประหลาดใจของหัวหน้าขันทีลี่ แววตาเหลิ่งจวิ้นอวี๋ปรากฏความกดดันขึ้น แม้ความกดดันนั้นจะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่
แต่หัวหน้าขันทีลี่จับมันได้เช่นเดิม
บนใบหน้าจนใจ ปรากฎรอยยิ้มบางขึ้นมา
ดูแล้วท่านอ๋องเริ่มมีน้ำใจกับผู้อื่นแล้ว นี้ถือเป็นเรื่องดีหรือไม่!?
หลังถอนหายใจชั่วครู่ หัวหน้าขันทีลี่ไม่นิ่งเงียบ รีบเอ่ยปากตอบรับทันที
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง! บ่าวจะรีบไปจัดการ!”
ส่วนเสี่ยวมู่จือที่อยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ หลังความหวาดหวั่นบนใบหน้าหายไป อดร้องไห้พลางโขกศีรษะและเอ่ยขอบคุณต่อเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่ได้
“ขอบคุณท่านอ๋อง ขอบคุณท่านอ๋อง”
“อืม”
เหลิ่งจวิ้นอวี๋มีสีหน้าเคร่งขรึมต่อคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ เพราะใจของเขาล่องลอยไปตัวขันทีน้อยร่างเล็กประณีตนั้นแล้ว
พอนึกถึงเรื่องเขาเจ็บป่วย ในใจเขากระตุกอย่างรุนแรง เจ็บปวดเล็กน้อย
ในที่สุดขณะที่หัวหน้าขันทีลี่สั่งการให้คนเข้าวังเชิญหมอหลวง เหลิ่งจวิ้นอวี๋อดเอ่ยปากกับเสี่ยวมู่จื่อตรงหน้าไม่ได้
“เสี่ยวเหยาจื่อพักอยู่ที่ใด!?”
…………………………………………………………………..