ในช่วงเวลาสองวันที่ผ่านมา อาการฮั่วจิงจิงดีขึ้นมาก หลังจากถังหนิงได้ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลและได้เห็นว่าอีกฝ่ายดูดีขึ้น เธอก็เริ่มรู้สึกคลายกังวล

 

 

“ทำไมเธอถึงเอาแต่ยืนอยู่ที่ประตูแบบนั้นล่ะ ไม่เหนื่อยหรือไง เจ้าตัวเล็กในท้องเธอไม่บ่นเอาเหรอ” ฮั่วจิงจิงสังเกตเห็นท่าทีจริงจังบนใบหน้าของถังหนิง ดังนั้นเธอจึงพยายาทำให้อีกฝ่ายหัวเราะ

 

 

“ฟังอวี้อยู่ไหน”

 

 

“เขาไปส่งฟังเย่ว์ไปโรงเรียน แต่เดี๋ยวโรงเรียนก็จะหยุดหลายวัน ฉันกลัวว่าฟังอวี้จะไม่มีเวลาดูแลลูก ฉันว่าจะโทรถามเธอว่าเราจะฝากฟังเย่ว์ไว้กับเธอสักพักได้ไหม” ฮั่วจิงจิงส่งสัญญาณให้ถังหนิงเข้ามานั่งด้านใน

 

 

“ไม่มีปัญหา” ถังหนิงนั่งลงที่ขอบเตียงของฮั่วจิงจิงและเผลอมองที่เรียวข้างทั้งสองข้างที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผล “พักนี้…”

 

 

“เธอไม่พูดอะไรก็ได้ ฉันรู้อยู่แล้วละ” ฮั่วจิงจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ฉันไม่ได้พักผ่อนแบบนี้มานานหลายปี บางที การบาดเจ็บก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายขนาดนั้น

 

 

“ฉันรู้ว่าเธออยากพูดอะไรกับฉัน หลังจากที่ฉันหายดี ฉันรู้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปราวกับเป็นอีกโลกหนึ่ง แต่ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ ฉันอายุปูนนี้ บางทีอาจจะทำได้แค่เลียนแบบเธอและถอนตัวออกจากวงการ ฉันจะได้สามารถทุ่มเทให้กับการดูแลฟังอวี้กับเสี่ยวเย่ว์ได้”

 

 

“เธอจะไม่คิดถึงมันหรือไง”

 

 

“ฉันรักฟังอวี้และรักครอบครัวของฉัน ตราบใดที่ฉันยังมีครอบครัว ก็ไม่มีอะไรให้ต้องคิดถึง” ฮั่วจิงจิงยักไหล่ทั้งสองข้างอย่างจริงใจ “ฉันไม่ได้มีค่าแค่บนรันเวย์นะ”

 

 

ฮั่วจิงจิงผ่านประสบการณ์มามากมายนับตั้งแต่อดีต หากเธอไม่สามารถเข้าใจเรื่องง่ายๆ ได้ ประสบการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาของเธอก็ไร้ประโยชน์

 

 

“แต่ก่อน ฟังอวี้ไม่เคยใส่ใจที่ใครจะพากันเรียกฉันว่าเป็นรองเท้ามือสอง เขารักฉันและเคารพในตัวฉันโดยไม่สนใจว่าคนพวกนั้นจะพูดอะไร ดังนั้นฉันเองก็อยากทำอะไรเพื่อครอบครัวตัวเองเหมือนกัน โดยเฉพาะเพื่อเขาที่ทุ่มเทมามาก”

 

 

ได้ยินฮั่วจิงจิงกล่าวเช่นนั้น ถังหนิงก็พยักหน้า “ถ้าการตัดสินใจของเธอทำให้เธอมีความสุขก็ดีแล้ว”

 

 

“ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ นะ แล้วเธอล่ะ หลังจากฟังอวี้ออกไปได้แป๊บเดียว คุณป้าก็โทรมาขอให้ฉันช่วยให้กำลังใจเธอ คุณป้ากลัวว่าเธอจะคิดไปไกล เกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับประธานโม่งั้นเหรอ ประธานโม่มีเมียน้อยจริงๆ เหรอ”

 

 

ถังหนิงนิ่งเงียบ

 

 

“ถังหนิง แม้แต่ฉันก็เชื่อใจประธานโม่นะ เธอคงไม่เชื่อเรื่องไร้สาระพรรค์นี้หรอกใช่ไหม อีกอย่าง ต่อให้มีผู้หญิงคนอื่นมาพยายามให้ท่าเขาจริง ใครจะไปมีคุณสมบัติเพียงพอมาแข่งกับเธอ”

 

 

“คุณแม่ไม่ได้เห็นเวลาเราสองคนอยู่ด้วยกัน เขาคงกังวลมากไปหน่อย” ถังหนิงอธิบาย โดยไม่รู้ว่าตนเองควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

 

 

ถังหนิงอยู่เป็นเพื่อนฮั่วจิงจิงระหว่างรอให้ฟังอวี้กลับมาที่โรงพยาบาล ขณะเดียวกัน ถังหนิงก็บอกให้ฟังอวี้พาฟังเย่ว์ไปที่ไห่รุ่ยหลังจากรับเด็กหญิงจากโรงเรียนในบ่ายวันนั้น

 

 

เพื่อต้อนรับเด็กน้อย ถังหนิงมุ่งหน้าตรงไปยังไห่รุ่ยหลังจากนั้นและอ่านหนังสือรออยู่ในห้องทำงานของโม่ถิง

 

 

ในระหว่างนั้น เธอแอบมองโม่ถิงเป็นระยะ เมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีอะไรที่ผิดแผกจากปกติ เธอจึงหัวเราะออกมา “คุณแม่เห็นคุณไปข้างบ้าน ทำไมคุณถึงซื้อบ้านของเพื่อนบ้านล่ะ”

 

 

เมื่อได้ยินคำถามของถังหนิง โม่ถิงจึงเงยหน้าขึ้น “ผมซื้อไว้ให้เจ้าตัวน้อยของเรา ผมวางแผนจะเชื่อมบ้านสองหลังเข้าด้วยกัน”

 

 

“คุณวางแผนจะให้ลูกของเราอยู่บ้านหลังข้างๆ งั้นเหรอ” ถังหนิงสรุปเอง แม้ผู้ชายของเธอจะไม่ได้มีเมียน้อยอย่างที่ไป๋ลี่ฮวาคาดเดา แต่เขาก็มีบางอย่างแปลกไปจริงๆ

 

 

“ผมถามคนรอบข้างหลายคน ทุกคนบอกว่าหลังจากที่ผู้หญิงคลอดลูก ความสนใจทั้งหมดของเธอจะทุ่มเทให้กับลูกในขณะที่สามีจะกลายเป็นแต่ตัวประกอบอยู่ข้างหลัง”

 

 

“งั้น ท่านประธานโม่กลัวว่าจะกลายเป็นแค่ตัวประกอบฉากงั้นเหรอคะ” ถังหนิงหัวเราะ “คุณไม่ทำตัวเป็นเด็กไปหน่อยเหรอ

 

 

“ว่าแต่ ท่านประธานโม่ คุณไม่คิดบ้างเหรอคะว่าคุณอาจจะใช้เวลากับลูกมากกว่าอยู่กับฉันหลังจากที่เขาคลอดออกน่ะ” ถังหนิงพูดแหย่อีกฝ่าย “ทางที่ดีคุณควรหยุดทำเรื่องตลกพวกนี้ได้แล้วนะ คุณกำลังทำให้คุณแม่เข้าใจผิดอยู่รู้ไหม”

 

 

“เข้าใจผิดเรื่องอะไร”

 

 

“เข้าใจผิดว่าคุณแอบมีเมียน้อยลับหลังฉันน่ะสิ” ถังหนิงอธิบายอย่างใจเย็น

 

 

“แล้วคุณคิดยังไงล่ะ คุณคิดยังไงหลังจากได้ยินสิ่งที่แม่พูด”

 

 

“ความคิดแรกของฉันคือถ้าสามีของฉันเป็นคนสำส่อนแบบนั้น เขาคงแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นไปก่อนหน้าฉันแล้วล่ะ ไม่ใช่ว่าฉันมั่นใจนะ แต่ฉันรู้ว่าคุณไม่มีทางแบ่งสายตาไปมองผู้หญิงคนอื่นหรอก” ถังหนิงยิ้ม “ที่จริงฉันบอกได้ว่าสามีของฉันใส่ใจดูแลฉันมากกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำ…

 

 

“…เพราะเขากลัวว่าเจ้าตัวแสบในท้องฉันจะมาแย่งความรักไปจากเขา เขาเลยอิจฉา!”

 

 

นี่เป็นความหึงหวงแบบเฉพาะตัวของโม่ถิง เขาถึงขนาดระแวงลูกของตัวเอง

 

 

แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน

 

 

ในใจของเขาแล้วถังหนิงมีความสำคัญมากที่สุด

 

 

ไม่นานหลังจากนั้น ฟังอวี้ก็เดินเข้ามาในห้องทำงานของโม่ถิงพร้อมกับฟังเย่ว์ ทันทีที่เขาเห็นถังหนิง เขากล่าวขอบคุณเธอด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า “ผมไม่มีเวลาดูแลเธอจริงๆ ขอโทษด้วยที่รบกวนคุณ”

 

 

“ดูแลจิงจิงให้ดีๆ นะ!” ถังหนิงขู่ก่อนที่เธอจะรับช่วงต่อฟังเย่ว์จากมือของผู้เป็นพ่อ เด็กหญิงมารยาทดีเดินตามเธอไปยังโซฟาอย่างว่าง่าย

 

 

“เสี่ยวเย่ว์ หนูชอบที่นี่ไหมจ๊ะ”

 

 

ฟังเย่ว์มองไปรอบๆ ก่อนพยักหน้า “ค่ะ…”

 

 

ในขณะที่ถังหนิงกำลังจะเอาลูกอมที่เธอเตรียมมาให้ฟังเย่ว์ เด็กน้อยพลันคว้าชายเสื้อของเธอและพูดขึ้น “คุณอา… คุณอาคะ… เมื่อกี้นี้ เสี่ยวเย่ว์เห็น…”

 

 

“หนูเห็นอะไรจ๊ะ” ถังหนิงตั้งใจฟังฟังเย่ว์ที่พูดอย่างตะกุกตะกัก

 

 

“หนูเห็นคุณน้าคนนั้น”

 

 

“คุณน้าคนไหนเหรอ”

 

 

“คน… คนที่…” ฟังเย่ว์ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เธอจึงถึงถังหนิงออกไปจากห้อง ถังหนิงเดินตามหลังเด็กหญิงด้วยความสงสัยขณะที่เด็กน้อยเดินพาเธอไปยังห้องพักรับรองสำหรับศิลปิน

 

 

“มีอะไรเหรอ เย่ว์เอ๋อร์”

 

 

ฟังเย่ว์ชี้ผ่านช่องประตูที่เปิดแง้มไว้เล็กน้อยไปยังกระเป๋าทรงกลมลายกวางใบหนึ่ง “วันที่คุณแม่ถูกกัด หนูเห็นกระเป๋าใบนั้น…”

 

 

ถังหนิงอึ้งขณะเอ่ยถาม “หนูหมายถึงคืนที่จิงจิงโดยหมากัดงั้นเหรอ”

 

 

“อือฮึ วันนั้นมีคุณน้าคนหนึ่งถือกระเป๋าใบนั้นเดินผ่านทางเข้า ตอนที่หนูเห็นหนูคิดว่ามันสวยดี หนูชอบ เมื่อกี้นี้หนูเห็นคุณน้าคนเดิมถือกระเป๋าใบนั้นเข้ามาในห้องนี้…”

 

 

ถังหนิงระงับอารมณ์เอาไว้โดยไม่มองดูอะไรอีก กลับกัน เธอกลับเดินพาฟังเย่ว์กลับออกมาอย่างใจเย็น เพราะถึงอย่างไร ที่ประตูหน้าห้องนั้นได้ติดป้ายระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ซ่งซิน’

 

 

เมื่อเด็กชอบอะไรบางอย่าง มันจะตราตรึงอยู่ในใจของเด็กๆ เหล่านั้น พวกเขาอาจไม่สามารถอธิบายรายละเอียดของสิ่งต่างๆ ได้ แต่พวกเขาสามารถจดจำช่วงเวลาที่พวกเขาเห็นมันได้อย่างชัดเจน

 

 

หลังกลับมายังห้องทำงานของโม่ถิง ถังหนิงเล่าทุกอย่างที่ฟังเย่ว์พูดให้เขาฟัง

 

 

“ก่อนเกิดเหตุของจิงจิง เธอพูดกับฉันผ่านทางโทรศัพท์ว่าเธอสงสัยว่ามีใครบางคนกำลังวางแผนการชั่วร้ายใส่เธอ ดังนั้นหลังจากที่เธอได้รับบาดเจ็บ ฉันจึงมุ่งมั่นที่จะหาความจริง ตอนนั้นทุกอย่างที่น่าสงสัยกลับถูกปัดตกไปจนหมด แต่ถึงจะใช้เวลาไปมาก ฉันก็ไม่เสียเวลาเปล่า

 

 

“ก่อนหน้านี้ฮว่าเหวินเฟิ่งบอกว่าคนที่ปั่นหัวเธอมาจากไห่รุ่ย ฉันคิดว่าถึงเวลาที่เราจะต้องสืบเรื่องนี้โดยละเอียดแล้วล่ะ”

 

 

โม่ถิงปิดแฟ้มงานชิ้นสุดท้ายและเดินตรงไปหาถังหนิง จากนั้นเขาอุ้มฟังเย่ว์ไว้ในอ้อมแขน “กลับบ้านกันเถอะ…”

 

 

ซ่งซินอาจไม่เคยคิดว่าความยุติธรรมนั้นอาจล่าช้าแต่แน่นอน ไม่ว่าผู้ช่วยของเธอจะแปลงโฉมไปอย่างรวดเร็วเพียงใด สุดท้ายเธอกลับถูกเปิดโปงด้วยกระเป๋าธรรมดาๆ เพียงใบเดียว

 

 

บางคนอาจคิดว่ากระเป๋าใบนั้นอาจเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ

 

 

แต่มันจะบังเอิญอะไรขนาดนั้น