ส่วนที่ 3 ตัวแทนคนรัก ตอนที่ 6 ตัวแทนคนรัก (6)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

“ลูกพี่หว่าน ที่บ้านผมมีเรื่องด่วนจริงๆ! อย่าโกรธผมเลยนะ ตามนี้นะครับ ผมวางสายก่อนนะ”

 

 

 ซูหว่านถือโทรศัพท์มือถือไว้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ได้ยินเสิ่นเหว่ยวางโทรศัพท์อย่างรีบร้อน เธอก็เอาโทรศัพท์มือถือเก็บคืนกระเป๋าอย่างจำใจ

 

 

หมอนี่ช่างเป็นคนที่เหลวไหลจริงๆ งานเลี้ยงยังไม่เลิกแต่เขาก็ชิงหนีไปเสียก่อน แถมยังขับรถของบริษัทกลับไปอีก! ผู้ช่วยแบบนี้ ถ้าไม่หักเงินเดือนเขา เธอคงรู้สึกผิดต่อตัวเอง

 

 

เวลานี้ บนลานเต้นรำ เพลงแรกดำเนินไปครึ่งทางแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะเซียวจิ่งมั่ว จึงไม่มีใครกล้าเป็นฝ่ายชวนซูหว่านขึ้นเต้นรำ ซูหว่านเองก็กำลังเพลิดเพลินอยู่ลำพังเงียบๆ

 

 

ในเมื่อเสิ่นเหว่ยก็ไปซะแล้ว ซูหว่านนึกถึงเรื่องที่ตนปรากฏตัวให้เซียวจิ่งมั่วเห็นในวันนี้ เป้าหมายในการปฏิบัติการของเธอถือว่าลุล่วงแล้ว บางที การรีบทำให้สำเร็จแล้วถอนตัวออกมาแต่โดยเร็วก็ไม่ได้แย่อะไร

 

 

เอาเถอะ ความจริงเธอก็อยากไปตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะหารถแท็กซี่เข้าเมืองยาก

 

 

เธอคิดคำนวณอยู่ในใจ ซูหว่านรีบรับประทานอาหาร ก่อนการเต้นรำเพลงแรกจะจบลงเธอลุกขึ้นยืนช้าๆ หันตัวกำลังจะเดินไปยังประตู ก็ถูกเสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งเรียกเอาไว้

 

 

“คุณหนูซู!”

 

 

ในที่สุดก็มาแล้วหรือ

 

 

ซูหว่านค่อยๆ หันตัวกลับ ก็เห็นซูรุ่ยยืนอยู่ไม่ห่างจากตน กำลังส่งยิ้มมายังเธอหนึ่งที “ไม่ทราบว่าคุณจะให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงได้ไหม”

 

 

ทำนองเพลงสำหรับการเต้นรำที่สองก็บังเอิญดังขึ้นในเวลานี้พอดี

 

 

สายตาเหลือบมองเห็นเงาร่างเซียวจิ่งมั่วขยับเข้ามาใกล้ๆ ซูหว่านมองไปยังซูรุ่ยแล้วยิ้มให้เขาหนึ่งที “เป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ”

 

 

พูดจบเธอก็ค่อยๆ ยกมือของเธอขึ้น ซูรุ่ยที่อยู่ด้านข้างก็เดินเข้าไปสองสามก้าวอย่างสง่างามแล้วรวบนิ้วมือเธอขึ้นมาตามแบบฉบับของสุภาพบุรุษ แขนอีกข้างควงเอวบางของเธอ ออกแรงหมุน เพียงชั่ววินาทีเดียวทั้งสองก็มาอยู่กลางลานเต้นรำ

 

 

ไม่ไกลจากที่นั่น ฝีเท้าของเซียวจิ่งมั่วค่อยๆ หยุดลง

 

 

เขามองซูหว่านและฟังจื่อมู่ที่กำลังร่ายรำกันอยู่กลางลานเต้นรำ ทั้งสองคนดูเข้าจังหวะประสานกันลงตัวเป็นพิเศษ จังหวะการเต้นงดงาม ชายหญิงหน้าตาความสามารถเหมาะสมกัน

 

 

ชั่วขณะหนึ่ง ใจของเซียวจิ่งมั่วก็หงุดหงิดขึ้นมาจนแทบไม่เป็นตัวเอง

 

 

ที่จริง ในตอนที่ซูหว่านกลับประเทศ เขาก็รู้แล้ว เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้พบกับเธอเท่านั้น

 

 

เซียวจิ่งมั่วไม่เคยคิดเลยว่าจะได้พบกับซูหว่านอีกครั้งในวันเกิดของเขา ความรู้สึกของเซียวจิ่งมั่วที่มีต่อซูหว่านนั้นช่างซับซ้อน เธอคือผู้หญิงคนแรกในชีวิตที่เขารัก และเป็นผู้หญิงที่เขาเคยรักสุดหัวใจ แน่นอนในขณะเดียวกันซูหว่านก็เป็นผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตที่ทำร้ายเขา 

 

 

ความรู้สึกที่เขามีต่อเธอ มันคือทั้งรักทั้งแค้น มีทั้งความเคียดแค้นพยาบาทที่ยากจะลืมเลือน

 

 

ในตอนนี้ ความรู้สึกซับซ้อนเหล่านี้ผสมปนกัน เมื่อได้เห็นซูหว่านส่งยิ้มอ่อนโยนให้ฟังจื่อมู่ ก้นบึ้งหัวใจของเซียวจิ่งมั่วก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาเขาไม่รู้ตัว มันคือความหึงหวง

 

 

เพลงเต้นรำเพลงที่สองในงานฟังดูสนุกสนานเป็นพิเศษ ซูหว่านแต่ไหนแต่ไรก็เป็นยอดนักเต้นอยู่แล้ว แต่ที่ทำให้เธอรู้สึกเหนือความคาดหมายก็คือ จังหวะการเต้นของซูรุ่ยแม่นยำและสง่างามอยากมาก ประสานจังหวะกับเธอได้ลงตัวอย่างน่าประหลาดใจ

 

 

ลื่นไหลไปตามจังหวะเพลงแสนสนุก ทั้งคู่ต่างก็แสดงความสามารถ มองข้ามแขกคนอื่นที่อยู่หลายรอบ เคลิบเคลิ้มอยู่ในภวังค์

 

 

ผู้คนที่อยู่รายรอบถูกดึงดูดโดยไม่รู้ตัว พื้นที่ส่วนกลางของลานเต้นอันใหญ่โต เหลือเพียงแค่สองคนที่กำลังร่ายรำกันอยู่

 

 

ในขณะที่เต้นรำด้วยความตั้งใจ สายตาของซูหว่านนั้นช่างดูอบอุ่นบริสุทธิ์ เธอผู้เพลิดเพลินกับการเต้น ปล่อยวางการระวังตัวและความเสแสร้งในเวลาปกติลง ตั้งใจโลดเต้นไปตามจังหวะเสียงเพลง เธอในเวลานี้ดูสง่างามน่าหลงใหลอย่างที่สุด

 

 

เมื่อเพลงมาถึงช่วงสุดท้ายก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ จังหวะการเต้นของซูหว่านและซูรุ่ยเองก็เร่งความเร็วตาม จนถึงจังหวะท้ายๆ ทันใดนั้นเองซูรุ่ยก็รวบเอวซูหว่านเข้ามาแนบชิดด้านหน้าตัวเขา ร่างกายของคนทั้งสองสัมผัสกันแนบแน่น 

 

 

ลมหายใจอันเร่าร้อนและอันตรายอีกทั้งสภาพที่ยากจะสลัดหนี ทำให้ซูหว่านได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง เธอค่อยๆ ช้อนตาขึ้น ชำเลืองมองสายตาลึกล้ำไร้จุดสิ้นสุดของซูรุ่ย 

 

 

จังหวะสุดท้ายของเพลง ซูหว่านยังคงถูกซูรุ่ยรวบตัวเอาไว้แน่นในอ้อมกอด จนกระทั่งปิดฉากลง

 

 

รอบข้างตอนนี้เหลือเพียงความว่างเปล่า ทั้งสองราวกับหลุดออกไปยังอีกโลก

 

 

ซูรุ่ยก้มหน้ายิ้ม มองไปยังซูหว่านที่อยู่ในอ้อมกอดด้วยสีหน้าเรียบนิ่งๆ ช่วงเวลาแห่งความว่างเปล่าวันนั้นผ่านไป เสียงเพลงเต้นเพลงที่สามค่อยๆ ดังขึ้น เพลงช้าที่มีจังหวะขึ้นลงสบายๆ เพลงหนึ่ง

 

 

ซูหว่านเงยหน้าขึ้นมองซูรุ่ยปราดหนึ่ง ทั้งสองไม่ได้พูดจาอะไรกัน ริมฝีปากซูรุ่ยโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอันน่าหลงไหล เขาคลายมือข้างหนึ่งลง มืออีกข้างยังคงประคองเอวซูหว่านไว้ ซูหว่านหมุนตัวอย่างสง่างาม หมุนตัวจากด้านขวาไปยังด้านซ้ายของซูรุ่ย มือของทั้งสองประสานกันในท่าใหม่ เริ่มเต้นเพลงที่สองต่ออย่างพร้อมใจกัน…

 

 

ท่ามกลางฝูงชนยังมีสายตาผู้คนจำนวนไม่น้อยที่กำลังจับจ้องการเต้นของซูรุ่ยและซูหว่านตาเป็นประกาย บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าลีลาการเต้นของพวกเขาช่างประสานกันงดงามเสียจริงๆ หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะความสวยงามหล่อเหลาของคนทั้งสอง เมื่อยืนอยู่ข้างกันย่อมทำให้ผู้คนจับจ้องด้วยสายตาชื่นชม

 

 

การเต้นดำเนินต่อเพลงแล้วเพลงเล่า จนกระทั่งเพลงเต้นเพลงสุดท้ายจบลง ซูรุ่ยยังกุมมือซูหว่านเอาไว้ตลอด จนท้ายที่สุดก็ยังไม่ยอมปล่อยมือเธอ

 

 

ไอ้คนโรคจิตวิปริตวิตถารนี่

 

 

เมื่อซูหว่านเดินออกจากลานเต้นก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ โดยเฉพาะขาทั้งสองข้างของเธอรู้สึกปวด ซูรุ่ยสวมรองเท้าส้นราบใส่สบายตดอดเวลา แต่เธอใส่รองเท้าส้นสูงที่ยกพื้นขึ้นตั้งหลายเซนติเมตรมาเต้นรำกับเขา

 

 

เมื่อเห็นซูหว่านเดินด้วยท่าทีฝืนๆ ซูรุ่ยที่อยู่อีกด้านก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นยิ้ม “ให้ฉันอุ้มเธอไหม”

 

 

เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มไม่อาจซ่อนความลิงโลดเอาไว้ได้

 

 

“ไม่! ต้อง!”

 

 

ซูหว่านขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตอบ แต่บนใบหน้าของเธอกลับประดับด้วยรอยยิ้มอันชวนหลงใหลอยู่ ดังนั้นเมื่อมองพวกเขาจากที่ซึ่งไม่ห่างจากตรงนั้น คงเข้าใจผิดคิดว่าทั้งสองกำลังหยอกล้อ กะหนุงกะหนิงกันอยู่ 

 

 

ดังนั้น บางครั้งสิ่งที่สายตาคุณเห็น อาจจะไม่ใช่ความจริงเสมอไป

 

 

ซูหว่านกลับไปนั่งบนโซฟาที่มุมเดิม เธอรีบสั่งเหล้ามาหนึ่งแก้ว ชิมรสของมันอยู่เงียบๆ สองจิบ ซูรุ่ยเลือกเก้าอี้ที่ว่างตรงข้ามเธอ เพื่อบังอากาศหนาวเย็นที่อยู่รายรอบ พลางจ้องมองซูหว่านตาไม่กะพริบ

 

 

ในโลกแห่งนี้ หน้าตาของซูหว่านนับได้ว่าโดดเด่นกว่าใครๆ แต่ซูรุ่ยที่จริงแล้วไม่ได้มองหน้าเธอ ความจริงเขาเพียงกำลังสัมผัส มีเพียงตอนที่อยู่ประชิดใกล้อย่างเงียบสงบแบบนี้ เขาถึงสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังวิญญาณที่เป็นของเธอโดยเฉพาะได้อย่างชัดเจนที่สุด 

 

 

กลิ่นอายซึ่งสะอาดโดดเด่น กลิ่นอายอันแสนจะคุ้นเคย

 

 

กลิ่นอายอย่างนี้ ทำให้เขารู้สึกสบาย รู้สึกอบอุ่นในใจ…

 

 

ในเวลานี้งานเลี้ยงได้ดำเนินไปกว่าครึ่งแล้ว หลังเพลงเต้นจบลงพ่อบ้านประจำตระกูลเซียวก็เข็นขนมเค้กสูงสิบชั้นก้อนหนึ่งมาจากโถงทางเดินอันยาวเหยียด 

 

 

วันนี้เป็นวันเกิดของเซียวจิ่งมั่ว ผู้ซึ่งเป็นจุดสนใจและเป็นเจ้าภาพของงาน ขนมเค้กถูกเข็นมาด้านหน้าเขา เซียวจิ่งมั่วใจลอยเล็กน้อย ลั่วชูชูที่อยู่ข้างเขาก็ไม่มีรอยยิ้มเหลืออยู่บนหน้า

 

 

ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่ซูหว่านและซูรุ่ยแสดงลีลาการเต้นได้อย่างเด็ดดวง จนแย่งบทเด่นของเจ้าบ้านไป

 

 

และเมื่อเห็นซูหว่านเต้นรำเข้ากันได้ดีกับผู้ชายอีกคนหนึ่งอย่างใกล้ชิด อารมณ์ของเซียวจิ่งมั่วก็หงุดหงิดยิ่งขึ้น และในนาทีนั้นเอง เขาก็เหลือบเห็นซูหว่านยังคงอยู่ที่เดิมไม่ไกลจากที่นั่น

 

 

การตัดขนมเค้กเป็นรายการที่สำคัญที่สุดของงานเลี้ยงในวันนี้ ซูหว่านย่อมต้องเข้าไปแสดงความยินดีกับเจ้าภาพเหมือนคนอื่นๆ ตอนนี้เธอลุกขึ้นจากโซฟาเดินตามฝูงชนเข้าไปข้างตัวเซียวจิ่งมั่ว อาจจะเป็นเพราะว่าขาทั้งสองข้างของเธอรู้สึกไม่ค่อยสบาย เดินไปได้ครึ่งทาง ซูหว่านไม่รู้ว่าถูกใครขัดขาเข้า ร่างกายของเธอเกือบจะล้มคว่ำลงกับพื้น

 

 

เซียวจิ่งมั่วที่จ้องเธอมาโดยตลอดเห็นซูหว่านเกิดเรื่องเข้า สีหน้าเขาก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขาแทบจะยกเท้าวิ่งออกไปหาเธอโดยสัญชาตญาณ แต่น่าเสียดายที่ระยะห่างของพวกเขาทั้งสองนั้นไกลเกินไป มิหนำซ้ำในเวลาเดียวกัน ซูรุ่ยผู้ที่คอยอยู่ไม่ห่างซูหว่านมาโดยตลอดก็รีบสาวเท้าเข้าไปพยุงเธอไว้

 

 

“ขอบคุณค่ะ”

 

 

ซูหว่านจัดระเบียบชุดของตน แล้วสะบัดมือซูรุ่ยออกโดยไม่ให้ใครได้ทันเห็น วินาทีที่เธอชำเลืองขึ้นมอง สายตาของซูหว่านก็พบกับหญิงสาวในชุดแดงทั้งตัวคนนั้นท่ามกลางผู้คน

 

 

แม้ว่าเมื่อครู่จะเป็นเพียงแค่เฉียดกายผ่าน แต่ก็สังเกตได้ว่าอีกฝ่ายจงใจขัดขาเธอให้ล้ม