บทที่ 18 ไล่ออกจากตระกูล

The king of War

บทที่ 18 ไล่ออกจากตระกูล

นายท่านฉินพูดออกไปด้วยวาจาโหดร้ายอย่างวางก้าม

“ฉินซี ได้ยินแล้วใช่ไหม? มีเวลาแค่สามวัน ถ้าหากเธอยังจัดการกับประธานลั่วไม่ได้ ครอบครัวเธอทั้งครอบครัวจะต้องโดนไล่ออกจากตระกูลกันทั้งหมดแน่ ตั้งแต่ฉันจำความได้ ดูเหมือนว่าคำสั่งการของผู้นำจะยังไม่เคยถ่ายทอดคำสั่งเลยมั้ง?” ฉินเฟยพูดด้วยเสียงหัวเราะใหญ่โต สีหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ

คำสั่งการของผู้นำเป็นคำสั่งที่มีระดับสูงสุดของตระกูลฉิน โดยผู้นำตระกูลใช้รูปแบบการเขียนอักษรออกคำสั่ง ทุก ๆ ปีจะออกคำสั่งการของผู้นำได้แค่ข้อเดียวเท่านั้น

ตอนนี้นายท่านฉินกลับจะออกคำสั่งการของผู้นำกับฉินซีให้ได้

ฉินซีเหม่อลอยไปแล้ว เธอไม่ได้คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่านายท่านฉินจะปฏิบัติต่อเธอเช่นนี้

ครั้งแรกที่เธอรู้สึกสิ้นหวังต่อตระกูล

ครั้งแรกที่ที่เธออยากจะตัดขาดจากตระกูลโดยสิ้นเชิง

ฉินซีไปที่เยี่ยนเฉินกรุ๊ปทุกวันมาสามวันติด แต่แม้แต่ประตูใหญ่เธอก็เข้าไปไม่ได้

ห้องทำงานประธานชั้นบนสุดของเยี่ยนเฉินกรุ๊ป

ด้านหน้าของบานหน้าต่างขนาดใหญ่ที่ยาวจรดพื้น เงาของวัยรุ่นร่างหนึ่งยืนเอามือไพล่หลัง ก้มลงมองร่างกายที่บอบบางใต้ตึกนั่น ทั้งสายตาเต็มไปด้วยความไม่อดกลั้น

“ท่านประธานครับ สามวันแล้วนะครับ จะให้เธอเข้ามาไหมครับ?” ลั่วปิงถามด้วยท่าทางระมัดระวังเป็นพิเศษ

หยางเฉินส่ายหน้า “ต้องทำแบบนี้เท่านั้น เธอถึงจะสำนึกได้ แล้วตัดใจจากตระกูลฉิน ไม่อย่างนั้นตระกูลฉินก็จะทำแบบนี้กับเธออีก”

ฉินซีรออยู่ที่ประตูของบริษัทมาสามวันแล้ว หยางเฉินเองก็มองเธอจากด้านหน้าของหน้าต่างชั้นบนสุดมาสามวันแล้วเช่นกัน

เขากลับมาได้แค่ไม่กี่วันสั้น ๆ ฉินซีก็ต้องเจอกับความไม่เป็นธรรมและความอัปยศมากขนาดนี้แล้ว แค่คิดดูก็จะรู้ว่าห้าปีที่ผ่านมาผู้หญิงคนนี้ได้รับความทุกข์มามากเพียงไร

ฉินซียืนอยู่ข้างนอก แต่เขากลับเจ็บปวดอยู่ข้างในหัวใจ

ใต้อาคารเยี่ยนเฉินกรุ๊ป ฉินยีมองพี่สาวด้วยสีหน้าปวดใจ พูดด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “พี่คะ นี่มันชัดเจนแล้วว่าตระกูลฉินล่วงเกินเยี่ยนเฉินกรุ๊ป แต่กลับให้พี่มาแบกรับภาระทั้งหมด ไม่คุ้มค่าเลยที่จะทำเพื่อตระกูลแบบนี้!”

ฉินซีพูดด้วยดวงตาแดงก่ำ “ฉันเป็นคนก่อตั้งซานเหอกรุ๊ปขึ้นมาด้วยตัวเอง ฉันทิ้งมันไปไม่ได้”

“แต่ว่าต่อให้พี่ทำให้เยี่ยนเฉินกรุ๊ปกลับไปทำสัญญากับตระกูลฉินได้จริง ๆ ตระกูลฉินก็ไม่มีทางคืนซานเหอกรุ๊ปให้กับพี่นะ!” ฉินยีขุ่นเคืองขึ้นมาบ้างแล้ว

“แต่ฉันเองก็ไม่สามารถยืนดูบริษัทพังทลายต่อหน้าต่อตาได้!” ฉินซีพูดไปน้ำตาไหลไป

ฉินยีเพิ่งจะโมโหอย่างรุนแรง แต่พอเห็นฉินซีร้องไห้ออกมาเธอเองก็ทนไม่ไหวแล้ว เธอกอดพี่สาวอย่างแนบแน่น พูดไปร้องไห้ไป “พี่คะ ทำไมพี่จะต้องทำแบบนี้!”

มองดูสองพี่น้องกอดคอกันร้องไห้ หยางเฉินที่ยืนอยู่ที่ชั้นบนสุดไม่ใจอ่อนลงเลยสักนิด

“ฉันจะไปหาประธานลั่ว!” ฉินยีปาดน้ำตาทีหนึ่ง พุ่งเข้าไปในบริษัท

สามวันมานี้ฉินซีรออยู่ข้างนอก เธอก็เคยไปหาประธานลั่วอยู่หลายครั้งหลายครา แต่เธอเป็นแค่เด็กใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาทำงาน จะไปพบประธานลั่วได้อย่างไร?

“ยียี เธออย่าวู่วามน่า! ถ้าตอนนี้เธอวิ่งเข้าไปหาประธานลั่ว ไม่แน่ว่าแม้แต่หน้าที่การงานของเธอก็จะหายไปด้วย”

มองดูฉินยีที่หุนหันพลันแล่นแล้วซุนเถียนก็มีสีหน้ากังวลใจ

“ต่อให้ต้องโดนไล่ออกฉันก็จะไปพบประธานลั่ว ต่อให้ไม่รับปาก แต่อย่างน้อยก็ต้องได้พบพี่สาวของฉัน! เธอยืนอยู่ข้างนอกมาสามวันแล้วนะ แม้แต่เงาของประธานลั่วก็ไม่ได้เห็น?” ฉินยีพูดด้วยความเดือดดาล

“เธอพูดเบา ๆ หน่อย!” ซุนเถียนรีบร้อนปิดปากของฉินยี

“เธอหลีกไปนะ!”

ฉินยีผลักตัวของซุนเถียนออกไป พุ่งเข้าไปทางห้องทำงานของผู้จัดการใหญ่

“ปัง” เสียงหนึ่ง ฉินยีผลักประตูเข้าไปอย่างมีโทสะ

“ยียี!” ตอนที่ซุนเถียนตามเธอทันก็สายไปเสียแล้ว

“ประธานลั่ว ฉันรู้ค่ะว่าท่านเป็นคนใหญ่คนโต ไม่แลตามองพวกเราเลยสักนิด แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้นท่านก็ไม่สามารถมาดูถูกพวกเราได้นะคะ พี่สาวของฉันรอท่านมาสามวันแล้ว เรื่องนี้มันแค่พูดว่าได้หรือไม่ได้ แต่ทำไมท่านจะต้องทำแบบนี้ด้วย?” ฉินยีคำรามด้วยความเดือดดาล สองตาแดงก่ำ

“เธอบอกให้เขากลับไปซะเถอะ!”

ลั่วปิงเอ่ยปากพูด “บอกเธอว่าคนของตระกูลฉินล่วงเกินคนใหญ่คนโตเอาไว้ ตระกูลฉินจะต้องชดใช้”

เดิมซุนเถียนยังกังวลแทนฉินยี แต่พอหลังจากได้เห็นลั่วปิงที่ไม่เพียงแต่ไม่โกรธ แต่ยังบอกเหตุผลที่ยกเลิกสัญญากับฉินยีเธอก็รู้สึกประหลาดใจ

ฉินยีจับใจความสำคัญในถ้อยคำของลั่วปิงได้ก็ประหลาดใจ “คนใหญ่คนโต? หรือว่าไม่ใช่เพราะไปล่วงเกินคุณเข้า?”

ลั่งปิงส่ายหน้าด้วยความลำบากใจ “ต่อหน้าคนใหญ่คนโตคนนั้น ผมนับเป็นอะไรไม่ได้เลย”

คำพูดของลั่วปิงทำให้ฉินยีช็อกจนถึงที่สุด เธอคิดว่าลั่วปิงก็เป็นคนใหญ่คนโตแล้วนะ แม้แต่ผู้นำของตระกูลบนยอดสุดที่มั่งคั่งและเปี่ยมไปด้วยอำนาจของเจียงโจวพวกนั้นก็ยังยิ่งกว่าเกรงใจเขา ตอนนี้กลับยังมีคนคนใหญ่คนโตที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าเขาอีก

“พี่คะ ประธานลั่วให้ฉันมาบอกประโยคหนึ่งกับพี่ค่ะ”

มาถึงใต้อาคาร ฉินยีก็มองพี่สาวด้วยสีหน้าซับซ้อน

“เขาพูดว่าอะไร?” ฉินซีตื่นเต้นอยู่บ้าง

“ประธานลั่วพูดว่า ตระกูลฉินได้ไปล่วงเกินคนใหญ่คนโตเข้า ต่อหน้าคนใหญ่คนโตคนนั้น ประธานลั่วต่ำต้อยจนนับเป็นอะไรไม่ได้เลย ที่เขาไม่มาพบพี่ก็เพราะเป็นความตั้งใจของคนคนนั้น” ฉินยีพูด

ฉินซีฟังจบเท้าก็ซวนเซ ฉินยีรีบเข้าไปประคองเธอทันที

“พี่คะ พี่ทำสุดความสามารถแล้ว เรื่องนี้จะโทษพี่ไม่ได้ พี่อย่าเป็นอย่างนี้อีกเลย ได้ไหมคะ?” มองเห็นพี่สาวเป็นแบบนี้ฉินยีก็ปวดใจอย่างหาที่เปรียบมิได้

ฉินซีมีสีหน้าสิ้นหวัง “ซานเหอกรุ๊ปจะพังไปแบบนี้เหรอ?”

ห้องทำงานประธาน ซานเหอกรุ๊ป

ฉินเฟยนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน สีหน้าลำพองใจ “พวกคุณได้ยินกันแล้วใช่ไหม? หญิงชั่วฉินซีนั่นไปรออยู่หน้าประตูเยี่ยนเฉินกรุ๊ปสามวันแล้ว ยังเข้าไปไม่ได้ ครั้งนี้ใครก็ช่วยเธอไม่ได้ รอท่านปู่ออกคำสั่งการของผู้นำไล่เธอออกจากตระกูลเถอะ!”

ตอนนี้สายสัมพันธ์โดยตรงของตระกูลฉินหลายคนในห้องทำงานล้วนประจบสอพลอ ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่า เมื่อฉินซีล้มเหลว ทั้งตระกูลฉินจะต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่

เหมือนกับคำพูดที่ว่า ‘ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา’

ฉินเฟยยกมือขึ้นมาดูเวลาฉับพลัน ลุกขึ้นทันที “น่าจะได้เวลาแล้ว เรียกรปภ.ของบริษัทตามฉันไปดูเรื่องสนุก ๆ ในบ้านของฉินซี”

ทันใดนั้นคนที่มีความสัมพันธ์สายตรงของตระกูลฉินกลุ่มใหญ่ก็พารปภ. 7-8 คนตามฉินเฟยมุ่งหน้าไปในบ้านของฉินซี

“ปัง!”

โจวยู่ชุ่ยกำลังยุ่งอยู่ในครัว ก็ได้ยินเสียงดังมาจากประตูในฉับพลัน

“เหล่าฉิน เสียงอะไรน่ะ?” โจวยู่ชุ่ยรีบร้อนวิ่งออกมาจากห้องครัว มองดูฉินต้าหย่งที่ยังคงนั่งถือหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งด้วยมือทั้งสองข้างอ่านอยู่บนโซฟาด้วยความสงบนิ่ง

“คุณออกไปดูซิ!” ฉินต้าหย่งวางหนังสือพิมพ์ลงเดินออกจากห้องไป

เพียงแค่เขาออกไปก็เห็นประตูรั้วบ้านถูกรื้อออกมาแล้ว รปภ.ที่สวมชุดเครื่องแบบของซานเหอกรุ๊ป 7-8 คนก็พุ่งเข้ามา

และด้านหลังของรปภ.พวกนี้ยังมีบรรดาสายเลือดโดยตรงของตระกูลฉินหลายคนอยู่ด้วย ฉินเฟยยืนมองอยู่ด้านหน้าสุด

“ฉินเฟย นายจะทำอะไร?” ฉินต้าหย่งพูดด้วยความทั้งตกตะลึงทั้งโมโห

ฉินเฟยหัวเราะเหอะ ๆ เดินไปข้างหน้า มองดูฉินต้าหย่งที่มีใบหน้าเดือดดาล “ท่านปู่ให้เวลาลูกสาวของคุณสามวันให้ไปเกลี้ยกล่อมให้เยี่ยนเฉินกรุ๊ปทำสัญญากับพวกเราใหม่ ถ้าหากทำไม่ได้ก็จะขับไล่พวกคุณทั้งครอบครัวออกจากตระกูล ตอนนี้สามวันผ่านไปแล้ว คุณว่าผมมาทำอะไรที่นี่ล่ะ?”

“ใครกล้าวะ?” ฉินต้าหย่งขวางอยู่ที่ประตู โมโหจนไม่อาจระงับไว้ได้

“ลูกนอกสมรสคนหนึ่งครอบครองบ้านของตระกูลฉิน ยังกล้ามาอวดดีต่อหน้าฉัน!”

ฉินเฟยหัวเราะเสียงเย็น มือใหญ่โบกหนึ่งครั้ง “ไล่ทุกคนออกไปให้หมด”

โจวยู่ชุ่ยโผล่หน้าออกมานอกหน้าต่าง มองฉินต้าหย่งโดนรปภ.สองคนฝืนลากตัวเขาออกไปตาปริบ ๆ ทันใดนั้นก็ลุกลี้ลุกลนไม่หยุด หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกไปเบอร์หนึ่งทันที

สองพี่น้องที่กอดคอกันร้องไห้อยู่ที่ประตูของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปถูกเสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้นมาฉับพลันทำให้หยุดชะงัก

ฉินซีเพิ่งจะรับสายโทรศัพท์ก็ได้ยินแค่เสียงที่สับสนอลหม่าน ฟังต่อไปก็ได้ยินเสียงโจวยู่ชุ่ยตะโกนเสียงดัง “เสี่ยวซี เธอกับเสี่ยวยีรีบกลับมา ฉินเฟยพาคนกลุ่มหนึ่งมาไล่พวกเราออกไป”