บทที่ 2 ส่งเสริม

ยัยหมอวายร้ายที่รัก

ยัยหมอวายร้ายที่รัก บทที่ 2 ส่งเสริม
ห้าปีต่อมา

ณ โรงพยาบาลขึ้นชื่อแห่งหนึ่งใน เมืองM

ภายในห้องประชุมโดยมีกระจกใสสะอาดเอี่ยมรายล้อม เส้นหมี่ในเสื้อกาวน์กำลังถือรายงานผลวิเคราะห์อาการป่วย ของคนไข้ ซึ่งกำลังปรึกษาหารือกับแพทย์เฉพาะทางด้วยภาษาอังกฤษอย่างไหลลื่น

ตอนนี้เธออยู่ในลุคสาวผมสั้นระหว่างติ่งหู ใบหน้าสวยหยาดเยิ้มแต่งหน้าเบา ๆ ผิวพรรณขาวเนียนดุจหิมะ ดวงตาสดใสและดำขลับเจิดจ้าเป็นพิเศษ

คล้ายกับอัญมณีสองเม็ดเรืองแสงประกายวิบวับ

“ขออภัยนะครับคุณหมอสวยใส ดังนั้นคุณคิดว่าคนไข้รายนี้ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดใช่ไหมครับ?สามารถรักษาโดยการฝังเข็มตามแพทย์แผนจีนของพวกคุณได้ใช่ไหมครับ?”

“ใช่ค่ะ ถ้าพวกคุณเชื่อมั่นในตัวฉัน”

เส้นหมี่พลิกรายงานผลในมือ พลางคลี่ยิ้มอย่างหนักแน่น ทว่าไม่เสียมารยาทออกมา

สวยใส ใช่ ไม่ผิดหรอก นี่คือชื่อปัจจุบันของเธอ

ห้าปีก่อนเธอไม่ได้เสียชีวิตในโรงพยาบาล คุณหมอทำคลอดท่านนั้นชีวิตเธอไว้ได้ แต่เธอแค่ไม่ให้แจ้งตระกูลหิรัญชา และให้ประกาศว่าเธอสิ้นลมหายใจแล้ว

เธอยอมตาย หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมกลับไปบ้านนั้นอีกเด็ดขาด

จากนั้นเธอก็ย้ายมาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ แค่เพียงไม่กี่ปี ผู้ฉลาดปราดเปรื่องอย่างเธอใช้เคล็ดวิชาแพทย์แผนจีนของบรรพบุรุษตระกูลวชิรนันท์จนกลายเป็นหมอที่มีชื่อเสียงเลื่องลือยังที่แห่งนี้

คนในห้องประชุมได้ยินเธอตอบอย่างมั่นใจก็เริ่มลังเลขึ้นมา

ทว่าเส้นหมี่ไม่มีความอดทนในการรอ เธอมองดูนาฬิกาข้อมือ แล้วรีบออกจากห้องประชุมโดยพลัน

“คุณหมอสวยใสจะไปรับลูกเหรอคะ?”

“ใช่ค่ะ”

เส้นหมี่ลงไปชั้นล่างด้วยความเร่งรีบ แล้วเจอเพื่อนร่วมงานกล่าวทักทาย เธอยิ้มสดใสพร้อมกับผงกศีรษะ

ใช่แล้ว เธอจะรีบไปรับลูกรักของตน

ประมาณสิบนาทีก็ถึงโรงเรียนอนุบาลในท้องถิ่น

“หม่ามี๊มาได้ซะที รินจังรอนานมากแล้ว”

พึ่งมาถึงพลันเห็นหน้าประตูโรงเรียนอนุบาลไม่ค่อยมีผู้คนแล้ว เด็กหญิงที่ใส่กระโปรงเล็กสีชมพู มัดผมจุกด้วยโบว์สีชมพูเห็นเธอแล้วก็รีบวิ่งผลุนผลันด้วยความดีใจ

เส้นหมี่เห็นก็รีบลงจากรถทันควัน

“ขอโทษนะลูก หม่ามี๊มาสายแล้ว วันหลังจะไม่สายขนาดนี้แล้ว ได้ไหม?”

“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ชายล่ะคะ เมื่อกี้พี่ชายยังให้รินจังกินขนมมากมายอยู่เลยค่ะ”

สาวน้อยไม่โทษหม่ามี๊หรอก เมื่อวิ่งอยู่ในอ้อมกอดคุณแม่แล้ว พลางเล่าเสียงเจื้อยแจ้วว่าตัวเองท้องแน่นขนาดไหน

เส้นหมี่ได้ยินก็รู้สึกอบอุ่นใจ

พี่ชาย ซึ่งเป็นฝาแฝดอีกคน ลูกชายคนนี้เป็นเด็กรู้ความเสียจริง ดูแลน้องสาวเป็นอย่างดี

เส้นหมี่ยิ้มละมุนละไม “ใช่หรือ งั้นพวกเราไปหาพี่ชายดีไหม?”

“ค่ะหม่ามี๊”

ไม่กี่นาทีต่อมาเส้นหมี่ก็หาลูกชายตัวเองเจอ

เพียงแต่เมื่อเธอตามหาจนเหงื่อท่วมกาย กลับเห็นลูกชายคนนี้อยู่ในห้องทำงานคุณครู แล้วมีผู้คนรายล้อมประหนึ่งดาวล้อมเดือน ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่?

“โอ้สวรรค์พวกคุณดูสิค่ะ เด็กนักเรียนที่จะย้ายมาเรียนที่นี่เหมือนคิวคิวในห้องอนุบาลพวกเราอย่างกับแกะ”

“ใช่ค่ะ พวกคุณลองดูสิ!”

ครูเอารูปถ่ายในมือถือวางด้านข้างใบหน้าของอิคคิว

ดวงตาเสมือนดวงตาจิ้งจอกน้อยของ อิคคิวเพ่งพิศรูปถ่ายชั่วครู่

“เหมือนตรงไหนครับ?เขาหน้ากลมเหมือนคิวคิวของพวกคุณหรือเปล่าครับ?”

“ไม่ใช่……”

“แล้วเขาน่ารักเหมือนคิวคิวของพวกคุณหรือเปล่า?พวกคุณดูสิครับ เหมือนพระจันทร์เสี้ยวเลย เขามีแบบนี้หรือเปล่าครับ?”

อิคคิวจับใบหน้าหล่อเหลาไร้ผู้เทียมทานของตัวเอง ทั้งยังน่ารักแบบฉุดไม่อยู่ พยายามยื่นใบหน้าให้บรรดาคุณครูเชยชม

จากนั้นพวกคุณครูก็พากันยิ้มชอบใจ

เมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้แล้ว เด็กในรูปจึงดูไม่เหมือนจริง ๆ เพราะหน้าในรูปถ่ายทำหน้าเคร่งขรึมคล้ายกับผู้ใหญ่ ทั้งที่ความจริงมีอายุเพียงห้าขวบเท่านั้น จะน่ารักสู้คิวคิวของพวกครูสาวได้ยังไง

“คิวคิวทำอะไรอยู่ลูก?”

เส้นหมี่เดินมาถึงจุดนี้พอดี และเห็นภาพฉากสุดท้ายก็อดใจเข้ามาถามไม่ได้

“หา?หม่ามี๊มาแล้วเหรอครับ ผมไม่ได้ทำอะไรครับ”

เด็กผู้มีปฏิภาณไหวพริบเร็ว ทันทีที่ได้ยินเสียงคุณแม่ก็รีบกลับมายิ้ม จากนั้นก็กระโดดลงจากโต๊ะเรียนด้วยความเร็ว

เป็นเด็กที่ชอบยิ้มมากคนหนึ่ง

ลูกชายคนนี้หน้าตาคล้ายกับเขาคนนั้นมาก แต่ลูกชายไมได้เย็นชาทำตัวเหินห่าง ลูกชายเปรียบดั่งพระอาทิตย์ส่งยิ้มเท่ห์ ๆ มาละลายหัวใจเธอทุกเมื่อ