บทที่ 31 ไม่ใส่ใจ

“ฮ่าฮ่าฮ่า ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม! สมแล้วที่ลูกสาวของฉันยอมตกลงปลงใจด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า ลูกเขยของฉันนี่ช่างประเสริฐจริง ๆ!”

เมื่อรอดพ้นวิกฤตมาแล้ว เสียงของหลี่ชงซานก็เต็มไปด้วยความเบิกบานยินดี เหตุการณ์ครั้งนี้มันเป็นเหตุการณ์ที่เขารู้สึกยินดีที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมานี้

“อู๋หมิ่น ตอนนี้แกอยากจะพูดอะไรอีกไหม?”

เมื่อไม่มีอะไรต้องกังวลอีก ตอนนี้หลี่ชงซานจึงกล้ายียวนอู๋หมิ่นได้อย่างเต็มปากแล้ว

ในทางกลับกัน อู๋หมิ่นกลับไม่มองหลี่ชงซานเลย เขาเอาแต่มองไปที่อวี้ฮ่าวหราน ซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลจากเขาเท่าไหร่ สัญชาตญาณก่อนหน้านี้มันบอกเขาอยู่แล้วว่าชายหนุ่มคนนี้อันตราย แต่แล้วเมื่อตอนนี้ทุกอย่างมันกลับเป็นความจริง มันยิ่งทำให้เขารู้สึกตกตะลึงมากกว่าเดิม

และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าอวี้ฮ่าวหรานอันตรายมากกว่าที่ตาเห็นก็คือ แม้กระทั่งในตอนนี้ที่ฝั่งเขาพ่ายแพ้อย่างยับเยิน อวี้ฮ่าวหรานกลับยังคงแสดงสีหน้าเฉยเมยราวกับว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นเต้นอะไร

คนแบบนี้ถ้าไม่ใช่คนปัญญาอ่อนก็ต้องเป็นคนที่มีความมั่นใจสูงจนไม่เห็นตระกูลอู๋อยู่ในสายตา

ชายหนุ่มที่สามารถทำลายแผนของเขาได้ด้วยการโทรออกเพียงครั้งเดียวเป็นคนปัญญาอ่อนอย่างนั้นเหรอ? ไม่ใช่แน่นอน!

ในเวลาเดียวกัน อู๋เส้าฮัวก็เริ่มสติหลุด เมื่อเขาได้ยินหลี่ชงซานเอ่ยถามเขาก็ตะคอกกลับแทนพ่อของเขาทันที “ไอ้แก่ แกจะดีใจอะไรนักหนา! แกมันก็ทำได้แค่พึ่งลูกเขยของตัวเองเท่านั้นล่ะวะ!”

“ก็ถูก แต่ว่าการที่ฉันพึ่งพาลูกเขยดี ๆ แบบนี้มันผิดตรงไหน? โชคดีจริง ๆ ที่ตอนนั้นฉันไม่รับเธอมาเป็นลูกเขยของฉัน ไม่อย่างนั้นตอนนี้ฉันคงมีลูกเขยปากเลวแถมยังไร้ค่าจริง ๆ แน่นอน”

หลี่ชงซานตอบกลับด้วยสีหน้าเยาะเย้ย

ก่อนหน้านี้แกชอบเรียกลูกเขยของฉันว่าสวะงั้นเหรอ? เหอะ ถ้าลูกเขยของฉันเป็นสวะ คนอย่างแกมันก็ไร้ค่ายิ่งกว่าสวะเป็นหมื่นเป็นแสนเท่า!

“ไอ้แก่อย่าได้ใจนักนะ ฉัน…”

“หุบปากเดี๋ยวนี้ไอ้ลูกเวร!” อู๋หมิ่นทนไม่ไหวแล้วกับคำพูดของลูกชายเขา ยิ่งเถียงกับฝั่งตรงข้ามมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งย้อนกลับเข้าหาตัวมากเท่านั้น

ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกหดหู่ในใจ หากลูกชายของเขาเป็นเหมือนกับอวี้ฮ่าวหรานได้สัก 10% มันก็คงจะดี…

ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะเกลียดอวี้ฮ่าวหราน แต่เขาก็อดประทับใจในตัวของฝั่งตรงข้ามไม่ได้ ที่สามารถทำให้เขารู้สึกต่ำต้อยกว่าได้ขนาดนี้

“เอาเป็นว่าวันนี้ฉันขอแสดงความยินดีด้วยก็แล้วกัน ตระกูลหลี่ช่างมีลูกเขยที่วิเศษจริง ๆ!” เมื่อรู้สึกว่าแรงกดดันที่ทับตัวเองอยู่นั้นมันคลายลง อู๋หมิ่นก็พูดขึ้นพร้อมกับค่อย ๆ พยายามลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยมีเหล่าบอดี้การ์ดช่วยพยุง

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ต้องชมกันขนาดนี้หรอก! ลูกชายของคุณเองก็วิเศษเหมือนกัน ในอนาคตเขาน่าจะไปเป็นนักร้องประสานเสียงนะ เสียงตะโกนโหยหวนของเขาวันนี้มันช่างดังกังวานดีจริง ๆ!” หลี่ชงซานหัวเราะเสียงดัง และไม่ลืมที่จะประชดประชันตอกกลับไป

เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่พวกตัวเองทำได้แล้ว อู๋หมิ่นก็พาลูกชายและคนของเขาทั้งหมดเดินออกไปจากตระกูลหลี่ทันทีด้วยสีหน้าน่าเกลียด

ในตอนที่พวกเขาเข้ามา พวกเขาเดินเข้ามาอย่างองอาจ แต่ตอนขากลับ อู๋หมิ่นกลับต้องให้บอดี้การ์ดช่วยพยุงออกไปอย่างน่าอับอาย

เหตุการณ์นี้นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอายที่สุดของตระกูลอู๋ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา

และยิ่งไปกว่านั้น คนที่ทำให้ตระกูลอู๋มีสภาพแบบนี้มันกลับเป็นเขยของตระกูลหลี่ คนที่พวกเขาไม่เคยชายตามองเลยด้วยซ้ำ

ทางด้านของตระกูลหลี่ เมื่อทุกคนเห็นว่าพวกตระกูลอู๋กลับไปหมดแล้ว บรรดาผู้คนที่เคยยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามหลี่ชงซานก่อนหน้านี้ก็เริ่มออกอาการกังวล

พวกเขาแน่ใจว่าหลี่ชงซานจะไม่ปล่อยพวกเขาลอยนวลไปแบบง่าย ๆ แน่นอน

แต่แล้วในระหว่างที่ใครหลายคนกำลังหาทางเอาตัวรอด จู่ ๆ อวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบงัน “ในเมื่อไม่มีเรื่องอะไรแล้วงั้นผมขอตัวกลับก่อนล่ะ”

“เอ๊? เอ่อ อวี้ฮ่าว…ละ..ลูก จะไปแล้วงั้นเหรอ?” หลี่ชงซานรู้สึกกระอักกระอ่วนเหมือนกันตอนนี้ เขายอมรับในตัวของอวี้ฮ่าวหรานแล้ว แต่เขายังไม่แน่ใจว่าควรเรียกฝั่งตรงข้ามว่ายังไงดีมันถึงจะเหมาะสมและอีกอย่าง การเปลี่ยนแปลงนี้มันเร็วเกินไปจนเขาปรับตัวไม่ทัน

“มันใกล้จะถึงเวลาที่ถวนถวนเลิกเรียนแล้ว ผมต้องรีบกลับไปรับลูก” อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

หลี่ชงซานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นสีหน้าที่สงบนิ่งของอวี้ฮ่าวหราน

ทำไมลูกเขยของเขาคนนี้ถึงได้เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากขนาดนี้? ทำไมถึงนิ่งได้ขนาดนี้กัน?

ไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นเหรอที่เป็นคนทำให้ปัญหาคอขาดบาดตายของตระกูลหลี่คลี่คลายลงได้? แล้วไอ้เรื่องไปรับถวนถวนนี่มันสำคัญมากขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?

หลี่ชงซานนั้นไม่รู้เลยว่าการตีกันของตระกูลหลี่และตระกูลอู๋นั้นไม่ต่างอะไรกับเด็กทะเลาะกันในสายตาของอวี้ฮ่าวหราน

อันที่จริงหากบริษัทที่กำลังจะล้มไม่ใช่บริษัทของพ่อตาเขาแล้วล่ะก็ อวี้ฮ่าวหรานไม่มีทางยอมเสียเวลาหลายชั่วโมงไปกับเรื่องไร้สาระนี้แน่นอน

เมื่อพูดจบอวี้ฮ่าวหรานหันกลับไปจูงแขนหลี่หรงให้ออกไปกับเขาในทันที เพราะเขามาที่นี่ด้วยรถของเธอ ปล่อยให้บรรดาสมาชิกตระกูลหลี่ทั้งหลายมองตามด้วยสายตางุนงง

“พ..พี่เขย! พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง?”

หลังจากออกมาจากบ้าน และเมื่อไม่มีสายตาของคนในตระกูลกดดัน หลี่หรงก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นเพราะความสงสัย

“ไม่มีอะไรมาก ก็แค่ใครบางคนต้องการตอบแทนที่พี่เคยช่วยเหลือเขาไว้” อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ฉันไม่เชื่อหรอก! คนที่สามารถแก้ปัญหาให้กับบริษัทพ่อของฉันได้ภายในเวลา 1 ชั่วโมง กลับต้องให้พี่ไปช่วยเหลือเนี่ยนะ?” หลี่หรงส่ายหัวด้วยสายตาไม่เชื่ออย่างสุดใจ แต่แล้วเมื่อเธอนึกถึงสีหน้าพ่อของเธอเมื่อครู่ เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า “ว่าแต่เมื่อกี้พี่เห็นสีหน้าพ่อของฉันไหม? พ่อของฉันตะลึงจนอ้าปากกว้างเลยเชียวล่ะ พี่รู้หรือเปล่าว่าแม้แต่ฉันเองก็ไม่เคยเห็นพ่อแสดงอาการแบบนั้นมาก่อนเลยในชีวิต!”

อวี้ฮ่าวหรานถอนหายใจอย่างจนใจ

“เอาเป็นว่าพี่ไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่ออีกแล้ว เธอรีบขึ้นรถเถอะ พี่อยากไปรับถวนถวนให้ทันเวลาเลิกเรียน”

เมื่อได้ยินอวี้ฮ่าวหรานตอบกลับแบบนี้ หลี่หรงอดไม่ได้ที่จะคิดว่าพี่เขยของเธอคงไม่เห็นปัญหาของตระกูลเธออยู่ในสายตาจริง ๆ

หากเป็นคนธรรมดา การได้ทำผลงานใหญ่ขนาดนี้ ป่านนี้ก็ต้องแสดงอาการภูมิใจในตัวเองบ้างแล้ว แต่ตอนนี้พี่เขยของเธอกลับสงบนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม หลี่หรงจะไปรู้ได้ยังไงว่าแท้จริงแล้วอวี้ฮ่าวหรานคือจักรพรรดิเทพผู้ปกครองสวรรค์ชั้น 33 มาก่อน ดังนั้นปัญหาของตระกูลมนุษย์ธรรมดา ๆ แบบนี้มันไม่ต่างอะไรกับมดตีกันในสายตาของอวี้ฮ่าวหราน

ในตอนขากลับหลี่หรงไม่ได้เร่งรีบอะไรนัก ดังนั้นเธอจึงใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงกว่าจะขับรถกลับไปถึงบริษัทของเธอ

จากนั้นเมื่ออวี้ฮ่าวหรานขึ้นรถของตัวเอง และขับไปถึงหน้าโรงเรียนอนุบาลแอปเปิ้ลแดง มันก็เป็นเวลาเลิกเรียนและถวนถวนก็เดินออกมาจากโรงเรียนพอดี

อวี้ฮ่าวหรานถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ตัวเขาเองมาทันเวลา

ในความคิดของอวี้ฮ่าวหราน เขาคิดว่าการมารับลูกสาวให้ทันนั้นสำคัญกว่าความอยู่รอดของตระกูลหลี่เป็นไหน ๆ

“พ่อจ๋า!”

เมื่อเห็นอวี้ฮ่าวหราน ถวนถวนรีบวิ่งเข้ามาหาทันที ซึ่งอวี้ฮ่าวหรานก็อุ้มเทพธิดาตัวน้อยของเขาขึ้นมาหอมฟอดใหญ่

“เป็นไงบ้างเทพธิดาของพ่อ วันนี้ลูกมีความสุขหรือเปล่า?” อวี้ฮ่าวหรานกอดถวนถวนเอาไว้ในอ้อมอกและถามขึ้น

“มีความสุขมากเล้ย! วันนี้ครูสวีดีกับหนูมาก ๆ เลยแหละ ครูสวีบอกกับทุกคนว่าพ่อยอดเยี่ยมที่สุด วันนี้ไม่มีใครกล้าแกล้งหนูอีกแล้ว!” ถวนถวนพูดไปหัวเราะไปอย่างมีความสุข

ระหว่างทางกลับบ้าน วันนี้อวี้ฮ่าวหรานขับรถไม่เร็วมากนัก ซึ่งมันทำให้ถวนถวนมีเวลามองสองข้างทางไปเรื่อย ๆ

แต่แล้วในตอนที่ถวนถวนปีนเบาะเล่นชะโงกหน้ามองผ่านกระจกหลัง เธอกลับตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล “พ่อ พ่อ! ครูสวีกำลังโดนคนเลวรังแก!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้อวี้ฮ่าวหรานอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองกระจกหลังเช่นกัน ซึ่งเขาก็ได้เห็นว่าตอนนี้สวีรุ่ยที่น่าจะกำลังเดินกลับบ้านกำลังถูกกลุ่มนักเลงล้อมหน้าล้อมหลัง และพยายามพาตัวเข้าไปในซอยเปลี่ยว!