ตอนที่ 77 เยี่ยมเยือนถึงบ้าน + ตอนที่ 78 หนึ่งความคิดที่ยึดมั่น Ink Stone_Romance
ตอนที่ 77 เยี่ยมเยือนถึงบ้าน
เฟิ่งจิ่วดึงหมัดกลับ แล้วมองไปทางสาวน้อยคนงามที่ยืนอยู่บนพื้นต่างระดับ ยิ่งมอง ก็ยิ่งรู้สึกเบิกบานหัวใจ
เหลิ่งซวงได้สติกลับมา จึงเดินไปหานาง ก้มหัวลงน้อยๆ และเอ่ยอย่างนอบน้อม “นายท่าน คุณชายยังไม่กลับมาเจ้าค่ะ”
“เขาออกไปตั้งแต่รุ่งสาง จนตอนนี้ก็ยังไม่กลับมารึ?” เธอพูดด้วยความแปลกใจ กล่าวถามอีกว่า “งานแต่งของตระกูลกวนกับตระกูลเคอไม่ใช่อีกสามวันจากนี้รึ?”
“อีกสามวันจากนี้เจ้าค่ะ”
เหลิ่งซวงตอบ น้ำเสียงชะงักลง ก่อนจะกล่าวอีกว่า “แต่ตอนที่ออกไปคุณชายบอกไว้ ว่าท่านอยากกลับไปก่อนล่วงหน้า ไม่อยากให้นายท่านตามไป ท่านว่าเรื่องนี้จะจัดการเองเจ้าค่ะ”
ได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วก็ยิ้มๆ คิดว่าเขากังวล ว่าหากเธอไปอยู่ในเหตุการณ์จะจัดการอะไรได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก หนำซ้ำ ในใจคงยังไม่เชื่อว่าตระกูลกวนจะโหดร้ายกับเขาขนาดนี้ และยิ่งไม่เชื่อว่าพี่น้องร่วมสกุลจะละเลยเขาในยามที่ผลประโยชน์อยู่เบื้องหน้า
แบบนี้ก็ดี ให้ไปจัดการเสียเอง เขาถึงจะรู้ ว่าบางคนเมื่อผลประโยชน์มากองอยู่ตรงหน้า แม้จะเป็นพี่น้องร่วมสกุลก็ยังใจจืดใจดำกันได้ลงคอ
เรื่องวงศ์ตระกูลของเขานั้น เธอไม่ได้รู้สึกดีกับพวกเขาเลยสักนิดเดียว
แต่กับตระกูลเฟิ่ง…
เมื่อคิดถึงเรื่องที่ได้รู้เกี่ยวกับตระกูลเฟิ่งหลังจากกลับมาถึงเมืองอวิ๋นเยวี่ย ความสับสนก็แวบเข้ามาในหัวใจเธอ
คนตระกูลเฟิ่งช่างรักใคร่เอ็นดูเฟิ่งชิงเกอจริงๆ ทว่าพวกเขาไม่รู้เลย ว่าตอนนี้เฟิ่งชิงเกอที่พวกเขาโอบอุ้มไว้ในมือกลับทำให้ลูกสาวพวกเขาต้องตาย
เหลิ่งซวงที่อยู่ข้างๆ มองรอยแผลที่ยุ่งเหยิงอยู่เล็กน้อยบนใบหน้าเฟิ่งจิ่ว แววตาเป็นประกายน้อยๆ อย่างอดไม่ได้
รอยมีดแต่ละรอยปาดแนวขวางอยู่บนใบหน้านายท่านอย่างสะเปะสะปะ รอยแผลนับไม่ถ้วนบดบังรูปโฉมดั้งเดิม พอมองดูแล้ว มันช่างเป็นรอยแผลที่ทำให้คนหวั่นใจอยู่บ้าง
นางไม่อาจจิตนาการได้เลยจริงๆ ว่าใครกันแน่ที่ทำลายใบหน้าของสาวน้อยคนหนึ่งได้หนักหนาถึงเพียงนี้? และต้องเกลียดชังกันขนาดไหนถึงลงมือกันได้ขนาดนี้?
เมื่อนึกถึงเจ้านายที่ยังไม่มีพลังปกป้องตัวเอง นางจึงแอบๆ ตั้งมั่นในใจ ว่าจากนี้ไปจะต้องปกป้องนางอย่างใกล้ชิดให้จงได้
เหลิ่งซวงในตอนนี้ ยังไม่รู้ถึงฝีมือและพละกำลังของเฟิ่งจิ่ว เพราะตั้งแต่ที่ติดตามนางมา ก็เห็นเพียงวิชาหมัดอันพลิ้วไหวไร้พลังทำลายที่นางร่ายรำในลานบ้านอยู่ทุกเช้าตรู่
ประกอบกับที่ตัวนางเป็นนักปรุงยา ด้วยเหตุนี้ความคิดแรกเริ่มที่เชื่อก็ทำให้เข้าใจว่านางชำนาญเพียงด้านยา แต่กลับอ่อนด้อยด้านวรยุทธ์
เฟิ่งจิ่วที่กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่สังเหตเห็นสายตาเหลิ่งซวง จึงหันหน้าไปมองนาง เอ่ยถามว่า “เป็นอะไรรึ?”
เหลิ่งซวงส่ายหน้า แล้วก้มหัวลงเล็กน้อย
เห็นเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ ก็จับใบหน้าตัวเอง พลางยิ้มเบาๆ “สงสัยว่าทำไมใบหน้าข้าเสียโฉมเช่นนี้รึ?”
น้ำเสียงเธอชะงักน้อยๆ ก่อนจะกล่าวต่ออย่างไม่สนใจอะไรนัก “อันที่จริง ตอนนี้ที่เห็นก็ดีขึ้นมากแล้ว ตอนช่วงเริ่มแรก ขนาดตัวข้าเองยังทนมองตรงๆ ไม่ได้เลย”
เธอกลับไม่กังวลใจกับบาดแผลบนใบหน้าเท่าไหร่ ถึงอย่างไร ขอแค่รวบรวมยาทิพย์จิตวิญญาณครบ ไม่ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนก็สามารถทำให้ใบหน้ากลับมาเหมือนเดิมได้ ตอนนี้ที่น่ากังวลมากกว่า คือแขนของพี่ชายคนข้างกายผู้นั้น
มีข่าวคราวมาจากด้านตลาดมืด บอกว่ายาทิพย์ที่เธอต้องการช่างหาได้ยากยิ่ง จนถึงตอนนี้ก็ยังหาไม่ครบ
หนึ่งวันที่ยายังไม่ครบ เท่ากับหนึ่งวันที่แขนเขายังไม่มีทางหาย และเป็นอีกหนึ่งวันที่เธอเองก็ไม่อาจโล่งใจ หากหายาทิพย์จิตวิญญาณไม่ครบจริงๆ ก็ทำได้เพียงใช้วิธีการแลกเปลี่ยนมาทำการค้าขายกับคนพวกนั้นที่ถือครองยาทิพย์จิตวิญญาณ
ในตอนนี้เอง ที่บ้านตระกูลเคอ
ใบหน้าหล่อเหลาของกวนสีหลิ่นในชุดคลุมสีน้ำเงินมืดลงเล็กน้อย กำลังมองหญิงสาวที่รูปโฉมพริ้งพรายตรงหน้า เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง “เจ้าจะแต่งงานกับพี่ชายข้าจริงรึ? เจ้ายอมรับด้วยตัวเอง? หรือคนที่บ้านบีบบังคับ?”
…………………………………………………….
ตอนที่ 78 หนึ่งความคิดที่ยึดมั่น
เคอซินหย่าตกใจกับกวนสีหลิ่นที่ผลีผลามเข้ามาอย่างกะทันหัน
พวกเขาต่างบอกว่าเขาตาย นางเองก็คิดเช่นนั้น ดังนั้นเมื่อจู่ๆ เห็นเขามาปรากฏตัวต่อหน้าในเวลานี้ มันไม่ใช่ความยินดี แต่เป็นความประหลาดใจ
“เจ้า เจ้าตายไปแล้วไม่ใช่หรือ?” สีหน้านางขาวซีดเล็กน้อย ขณะที่มองเขาน้ำเสียงก็สั่นเทาอยู่บ้าง
กวนสีหลิ่นมองนางด้วยแววตาสับสน ตัวเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงวิ่งแจ้นมาที่นี่ อาจเป็นความไม่ยินยอมในใจ เพราะคิดว่านางเป็นผู้หญิงของเขามาโดยตลอด
เฟิ่งจิ่วเคยถามว่าเขาชอบเคอซินหย่าหรือไม่? เขาบอกนางว่าพูดไม่ได้ว่าชอบ ทว่าในใจยังมีความชอบพออยู่นิดหน่อย ถึงอย่างไร ตั้งแต่เด็กก็รู้ว่านางจะโตมาเป็นผู้หญิงของเขา ทั้งแววตาที่มองและความคิดที่ปฏิบัติต่อนาง จึงแตกต่างจากคนอื่นๆ เป็นธรรมดา
แต่คนที่คิดไว้เสมอว่าจะกลายเป็นผู้หญิงของเขา ตอนนี้กลับจะแต่งงานเสียแล้ว ซ้ำยังแต่งกับพี่ชายเขา เหตุบังเอิญนี้ ทำให้เขาไม่สบายใจเอามากๆ
ทว่าเวลานี้ เขาเพียงอยากรู้ ว่านางยินยอมด้วยตัวเองหรือไม่?
ขณะที่นายท่านกับฮูหยินเคอที่ได้ยินข่าวคราวจึงรีบมา เห็นเงาร่างสูงโปร่งของลูกสาวในลานบ้าน เสียงหัวใจก็ดังตึกตัก สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“สีหลิ่น?”
กวนสีหลิ่นหันกลับไปเห็นสองผู้อาวุโสแห่งจวนตระกูลเคอ จึงเอ่ยด้วยใบหน้าที่ยิ่งมืดลง “ที่ข้ามาต้องการแค่ประโยคเดียว” ระหว่างที่พูด ก็ไม่หันมองพวกเขา ซ้ำยังจับจ้องเคอซินหย่าตรงหน้า
เห็นลูกสาวสีหน้าซีดน้อยๆ ซ้ำสายตายังหลบเลี่ยงไม่กล้ามองเขา ฮูหยินเคอจึงออกหน้าโอบป้องนางไว้ในอ้อมแขนอย่างกระวนกระวาย พลางถลึงตามองกวนสีหลิ่นด้วยความไม่พอใจอยู่บ้าง
“เจ้าจะทำอะไร? เรื่องหมั้นหมายของเจ้ากับเสียวหย่าถูกยกเลิกไปแล้ว เสียวหย่าจะแต่งงานกับใคร มันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
“สีหลิ่นเอ๋ย! การหมั้นหมายของพวกเจ้า หลังจากตระกูลกวนกับตระกูลเคอหารือกันถึงได้ยกเลิก ส่วนงานแต่งของเสียวหย่ากับพี่ชายเจ้าก็เป็นผู้ใหญ่ตระกูลกวนที่ล้วนเห็นชอบ” นายท่านเคอมองกวนสีหลิ่น พลางถอนใจเล็กน้อย
กล้าอ่อนถือเป็นต้นกล้าดี แต่น่าเสียดายที่เขาไร้พ่อขาดแม่ ในตระกูลกวน อย่างไรก็ไม่อาจทัดเทียมกับฐานะของพี่ชายเขาได้
“เจ้าเองก็เห็นด้วยใช่หรือไม่?” เขามองไปที่เคอซินหย่า ตั้งมั่นอยากจะถามให้ชัดเจน
ทว่าเมื่อเห็นเขาไต่ถามลูกสาวนางอีกครั้ง ฮูหยินเคอก็โกรธกริ้ว
“เสียวหย่าเห็นด้วยแล้วยังไง? แต่งงานกับกวนสีหร่วนจะย่ำแย่ไม่เท่าแต่งกับเจ้าหรือ? เจ้าไม่ลองดูตัวเองเล่าว่ามีอะไรบ้าง? ทั้งพ่อแม่ล้วนไม่มี ฐานะในตระกูลกวนไหนเลยจะเทียบกับสีหร่วนได้?”
คำพูดนางกลับกลอกปลิ้นปล้อน มีความเยาะเย้ยถากถาง ยังกล่าวต่ออีกว่า “บอกเจ้าไปก็ไม่เป็นไร ทำเจ้าถอดใจได้ยิ่งดี ผู้ใหญ่ตระกูลกวนพูดไว้แล้ว อีกสามเดือนให้หลังจะมีการชิงตำแหน่งนายน้อยของเหล่าลูกหลานตระกูลกวน ถึงเวลานั้นกวนสีหร่วนจะชนะและกลายเป็นนายน้อยอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนี้ เสียวหย่าของข้าก็จะเป็นฮูหยินของนายน้อย ภายหน้าพอสีหร่วนเป็นเจ้าบ้าน นางก็เป็นฮูหยินของเจ้าบ้านตระกูลกวน หากแต่งกับเจ้าจะมีอะไรได้บ้างเล่า?”
ได้ฟังคำพูดนาง กวนสีหลิ่นก็ไม่ปริปาก เพียงแต่จ้องมองเคอซินหย่าที่ถูกนางกันไว้ข้างกายด้วยแววตาลึกล้ำอยู่นานนัก ก่อนจะสาวเท้าก้าวจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
นายท่านเคอเห็นแขนเขาแนบอยู่ข้างกายอย่างไร้เรี่ยวแรง ก็ประหลาดใจเล็กน้อย “ไยแขนขวาเขาถึงคล้ายว่าพิการไปเสียแล้ว?”
ฮูหยินเคอเอ่ยอย่างไม่สนใจใยดี “จะสนใจเขาขนาดนั้นไปทำไม อย่างไรซะ อีกหน่อยเขากับเสียวหย่าของเราก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว”
“ข้ากลับห้องก่อนนะเจ้าคะ”
เคอซินหย่ากล่าว ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง ปิดประตูและเดินไปนั่งที่ด้านหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองๆ ดูปิ่นไม้ชิ้นหนึ่งในกล่องเครื่องประดับ หลังจากหยิบมันขึ้นมา ก็โยนทิ้งลงในตะกร้ามุมกำแพง
“ทางเลือกของข้าหาไม่ผิดพลาด ข้าจะไม่เสียใจ จะไม่เสียใจแน่!”
นางละทิ้งความอึดอัดในจิตใจ แววตาหนักแน่น เพราะรู้ดีว่าถึงแม้กวนสีหลิ่นจะดีกับนาง แต่ยังไม่อาจให้สิ่งที่นางต้องการได้
…………………………………………………….