ตอนที่ 57 หรือว่ามันอาจจะเป็นโอกาสของเขากัน

เมื่อถึงบ้านของหลินจื่อเซียวที่เป็นอพาร์ทเมนต์ ถังซั่วขับรถพาเด็กๆทั้งสองคนนี้ไปส่งที่ประตูบ้าน

อันหยางกระโดดลงจากรถอย่างเรียบร้อย ก่อนจะเหลือบมองไปที่นาฬิกา และก็คิดว่า แย่แล้ว เวลานี้แล้วสินะ แม่ต้องโทรมาแล้วแน่ๆ

“หน่วนหน่วน เร็วหน่อย”

อันหน่วนใช้มือประสานคล้อง การเคลื่อนไหวของเธอนั้นเชื่องช้ามากๆ เพราะกลัวว่าชุดเจ้าหญิงที่สวมใส่จะขาด เธอเลยต้องปกป้องเอาไว้

แขนและขาที่เล็กๆน้อย กับท่าทีที่กังวลสุดๆ เพราะกลัวเหมือนเหตุการณ์ครั้งที่แล้วมันทำให้ถังซั่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

สาวน้อยคนนี้ ดูไปแล้วน่ารักน่าชังไม่เบา

“คุณลุงขา หนูกับพี่ชายถึงบ้านแล้ว ขอบคุณคุณลุงนะคะที่มาส่ง!” อันหน่วนในที่สุดก็ยืนจนได้ ละรีบหันหลังกลับมาขอบคุณเขาอย่างน่ารักน่าชัง

ถังซั่วอดไม่ได้แล้วจริงๆ ก่อนจะเอามือของเขาบีบไปที่แก้มน้อยๆของอันหน่วน และยิ้มขึ้น “ครั้งหน้าลุงจะเอาชุดเจ้าหญิงใหม่ๆและสวยกว่านี้มาให้หนูใส่นะ”

“ขอบคุณนะคะคุณลุง…..” อันหน่วนยิ้มไปมา ก่อนจะได้ยินเสียงของพี่ชายเรียกหา เขาก็โบกมาเรียก และโบกมือลาถังซั่วอย่างไม่เต็มใจ เธอจึงเอ่ยออกไปอีกว่า “พี่ชายของหนูเรียกแล้วค่ะ หนูต้องไปก่อน คุณลุงลาก่อนนะคะ”

เมื่อพูดจบ ขาน้อยๆของเธอนั้น ก็รีบวิ่งเตาะแตะไป โดนหัวหลังกลับมาดูบ้าง ก็พลันยกมือน้อยๆของเธอนั้นโบกมือกลับไปให้ถังซั่วที่ยืนรอพวกเขาเข้าประตูไป รอยยิ้มที่นุ่มนวลโบกไปมา

ถังซั่วเมื่อมองไปยังพวกเขาที่เข้าประตูไปแลเว ก็ยิ้มอย่างนุ่มนวลก่อนจะส่ายหัวไปมาและหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ขึ้นรถและออกรถไป

เมื่อเข้ามาในห้อง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นไปทั่วห้องนั่งเล่น อันหยางยังไม่ทันถอดหมวกถอดรองเท้า ก็รีบวิ่งไปรับโทรศัพท์ทันที

“ฮัลโหล แม่จ๋า” เขาเอ่ยน้ำเสียงที่หอบเล็กน้อย เมื่อครู่เขารีบวิ่งมาด้วยความรวดเร็ว

อันโหรวที่ได้ยินเสียงของลูกชายเธอ ในที่สุดหัวใจที่เป็นกังวล ก็ค่อยๆผ่อนคลายลง และก็ตั้งใจฟัง ก่อนจะรับรู้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น

“หยางหยาง วันนี้ลูกไม่ได้ออกไปข้างนอกใช่ไหม ทำไมพึ่งจะมารับโทรศัพท์?” อันโหรวพูดเสียงเข้มเพราะตอนนี้เธอรู้สึกเป็นกังวลมาก ก่อนจะไม่อาจควบคุมน้ำเสียงได้ และรีบพูดเชิงใช้อารมณ์เล็กน้อย ไม่ทันเธอก็พลันเปลี่ยนกลับมาเสียงที่ปกติ

อันหยางหายใจเข้าลึกเพื่อสงบเสียงหอบๆของเขา ก่อนจะถอดหมวกและพูดขึ้น “แม่จ๋า ในห้องมันน่าเบื่อไปหน่อย ผมเลยพาหน่วนหน่วนไปเดินรอบๆหน่อย แต่ก็อยู่แถวชุมชนแถวนี้ ไม่ได้ไปไหนไกลเลยครับ”

พูดจบ เจ้าตัวเล็กน้อยก็ยอมรับสารภาพความผิดไป “ขอโทษนะครับแม่ ทำให้แม่ต้องเป็นห่วงแล้ว”

“พี่จ๋า พี่โกหก…..” อันหน่วนกระพริบตาคู่หนึ่งก่อนจะกระซิบข้างๆหูของเขา

อันหยางขยิบตาไปให้น้องสาวของตน ก่อนจะกระซิบ ว่า อย่าพูดเชียว

หน่วนหน่วนเข้าใจในสิ่งที่เขาบอก พร้อมเชื่อฟังอย่างดี เธอรีบปิดปากพูดด้วยท่าทางที่แสนน่ารักและดูชาญฉลาด

อันโหรวถอนหายใจออกมา เมื่อได้ยินคำขอโทษของลูกชายที่ดูนุ่มนวลและอ่อนโยน หัวใจของเธอก็พลันรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง “ขอโทษด้วยนะลูกรัก แม่แค่กังวลจนเกินไป รอสัปดาห์หน้านะ แม่จ๋าจะพาลูกกับหน่วนหน่วนไปส่งที่โรงเรียนอนุบาล ลูกไม่จำเป็นต้องอยู่บ้านเบื่อๆแล้วนะคะ”

“ครับ แม่จ๋าแม่กินข้าวกลางวันไปแล้วรึยัง?” อันหยางรีบเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง ถ้าแม่เอ่ยถามเขาอยู่อีก เกรงว่าเขาต้องเผลอหลุดพูดแน่ๆ

“แม่จ๋าทานข้าวแล้วจ้า ลูกกับหน่วนหน่วนยังไม่กินใช่ไหม? มีข้าวที่เตรียมไว้แล้วอยู่ในตู้เย็น ลูกไปอุ่นมันก็ได้แล้วล่ะ!” อันหน่วนไถ่ถามอย่างเป็นห่วง เมื่อฟังน้ำเสียงของลูกชายเธอ เธอก็อดเศร้าใจไว้ไม่ได้

ลูกทั้งสองคนของเธอตอนนี้ก็เที่ยงแล้วแทบไม่มีคนดูแล ดีหน่อยที่หยางหยางนั้นฉลาด ไม่อย่างงั้นเธอคงไม่วางใจถีงเพียงนี้

ด้วยเหตุนี้เธอจึงพยายามแก้ไขปัญหา และตัดสินใจไปว่าอาทิตย์หน้าจะส่งลูกของเธอไปโรงเรียนอนุบาลให้ไวที่สุด

อย่างไรก็ตามโรงเรียนอนุบาลภายในประเทศไม่ใช่ว่าจะเข้าได้ง่ายๆ โดยเฉพาะโรงเรียนอนุบาลของรัฐมักจะมีพื้นฐานดีกว่าเกณฑ์คุณสมบัติค่อนข้างสูง ก็อดไม่ได้ที่ทุกคนต่างก็คาดหวัง

จิ่งเป่ยเฉินที่อยู่ข้างประตูห้องรับรอง และฟังคำพูดของอันอีหาน ดวงตาของเขานั้นก็หรี่ตาลงทันที ก่อนจะเข้าใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้น

นี่….บางทีอาจจะเป็นโอกาสให้เขาแน่ๆ

อันอีหานคลอดลูกที่ประเทศอังกฤษ สัญชาติของพวกเขานั้นต้องเป็นประเทศอังกฤษแน่นอน หรือไม่ก็ไม่มีสัญชาติเลยก็ว่าได้ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ จะให้เด็กมาเข้าโรงเรียนรัฐบาลของประเทศจีนมันก็เป็นเรื่องที่วุ่นวายพอสมควร

แต่ถ้าหากเขา….

หลังจากที่พูดคุยกับลูกสาวเสร็จก็วางสายไป อันโหรวก็หันหลังกลับมา ก่อนจะมองเห็นชายคนนั้นที่กำลังยืนพิงทั้งยังมองมาเธอด้วยสีหน้าที่ไม่แยแสอะไร

เธอวางโทรศัพท์ทิ้งแล้วเดินออกไปอย่างสงบ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย “ยังไม่ถึงห้านาทีเลย”

“อืม ตามฉันมาสิ”

จิ่งเป่ยเฉินพยักหน้าก่อนจะมองเธอลึกๆ และตัดสินใจที่จะเดินหันหลังให้อันโหรวเดินตามไป

 …………

ตอนที่ 58 คุณหลบหน้าผมยังงั้นเหรอ?

ติ๊ง ประตูลิฟต์ค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆ

อันโหรวหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกประหม่าเล็กน้อย ในพื้นที่คับแคบเช่นนี้ เธอกับเขา….ล้วนอยู่ใกล้กันมาก

เธอขยับตัวอย่างระมัดระวังพอสมควร แต่ขยับทีไร ก็ไม่อาจหลบหนีสายตาของจิ่งเป่ยเฉินไปได้

“คุณหลบหน้าจากผมยังงั้นเหรอ?”

ทันใดนั้นเขาก็โน้มตัวเข้าไปใกล้ โดยใช้มือทั้งสองข้างคาค้างเอาไว้ตรงลิฟต์ ก่อนจะชื่นชมสิ่งที่เธอพยายามโกหกมาโดยตลอด

ลมหายใจที่ร้อนรุ่มของชายคนนั้นกลับรุนแรงมากขึ้น ด้านหลังของอันโหรวรู้สึกได้ถึงความเย็นของผนังลิฟต์ มันราวกับด้านหน้าเป็นไฟที่ร้อนรุ่มด้านหลังเป็นไอเย็นที่เย็นเฉียบ

ในพื้นที่คับแคบเช่นนี้ บรรยากาศก็พลันเปลี่ยนเป็นคลุมเครือ

“หืม? กลัวฉันงั้นเหรอ?” เสียงพูดจบ ดังขึ้นเล็กน้อยมันทั้งดูยั่วยวน

อันโหรวเต้นตึกตักก่อนจะหันหน้าไปมอง แต่เธอก็แกล้งทำเป็นสงบ

“ประธานจิ่ง คิดมากเกินไปรึเปล่าค่ะ”

ฟังจากน้ำเสียงดูแล้ว มันไม่ได้เหมือนกับคนที่ดูกังวลจนเสียต้องถอยห่างเลยแม้แต่น้อย

คิ้วของผู้นั้นเลิกขึ้นเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะไม่ยอมรับมัน

อันโหรวกัดฟัน สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นรำคาญเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ประธานจิ่งอย่ามากเกินไปนะคะ ถ้าคุณหิวขนาดนั้น ฉันจะช่วยคุณหาผู้หญิงบริการมาให้คุณสักคนสองคนก็ได้ ไม่ต้องมาขวางฉันในลิฟต์เช่นนี้อีก มันไม่ได้ช่วยให้ดูดีดูน่าสนใจเลยแม้แต่น้อย”

คำพูดที่เอ่ยออกมานั้นมันคล้ายกับแมวป่าที่มีเขี้ยวแหลมคม

จิ่งเป่ยเฉินยอมปล่อยเธอไป แต่ภายในแววตาของเขานั้นกลับร้อนรุ่ม และเผยด้วยท่าทีดุดัน “ไม่ต้องหรอก รสนิยมของฉันนั้น มันเกินกว่าผู้หญิงธรรมดามากไปนัก”

อันโหรวกัดฟันด้วยความรำคาญใจ นี่มันเหมือนกับเอาตัวเองไปโดนหลุมพรางแท้ๆ!

  ……

หลังจากผ่านไปสักพัก ก่อนจะถึงห้องของประธาน หลินจือเซี๋ยวก็เห็นอันโหรว และรีบลุกขึ้นจากที่นั่ง เผยแววตาที่เป็นกังวล

อันโหรวโบกมือให้เธอเพื่อเป็นสัญญาณว่า ไม่ต้องกังวล

เมื่อเข้ามาในห้องทำงาน จิ่งเป่ยเฉินก็ยื่นคำเชิญสีทองออกมา “คืนนี้มีงานเต้นรำ คุณต้องไปกับผม”

ด้วยตำแหน่งที่อยู่สูงมานาน เวลาตัวเองทำอะไรนั้นย่อมเปิดเผยทัศนคติเชิงบังคับอยู่ตลอด

“ฉันไม่ไป งานเต้นรำอะไรนั้นมันอยู่นอกเหนือขอบเขตการทำงานของฉัน” อันโหรวปฏิเสธโดยทันที และมีน้ำเสียงที่แข็งกร้าว ว่าเธอไม่ยอมรับคำเชื้อเชิญนั้น

เธอต้องรีบกลับบ้านไปหาลูก จะมีเวลาไปกับเขาเพื่อเข้าร่วมงานเต้นรำพวกนั้นด้วยเหรอ

นอกจากนี้เธอยังต้องแต่งหน้าไปงานเต้นรำอีก จะให้เธอแต่งตัวเหมือนหญิงชราแก่ๆแบบนี้เนี่ยนะ ขืนไปที่นั้นจะให้ไปทำอะไรอีกล่ะ?

“นี่แค่เป็นการแจ้งให้รับรู้ ไม่ใช่เอ่ยถาม ดูเหมือนว่าคุณจะ….ไม่ได้เห็นสถานการณ์ที่ชัดเจนมากเลยนะ” จิ่งเป่ยเฉินเอนตัวลงบนเก้าอี้หนัง ก่อนจะค่อยๆถอนเน็คไทของออกตาม และเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำไปว่า “งานเต้นรำนี่เกี่ยวข้องกับสกุลเห่อ เธอควรจะเข้าใจก่อนว่ามันสำคัญแค่ไหน”

“นอกจากนี้ ฉันจำแผนเมื่อครู่ได้ มีคนทำผิดเกิดขึ้น เห็นทีว่านี้จะเป็นโอกาสที่ต้องชดเชยนะ”

อันโหรวตกใจ เธอไม่คิดเลยว่าเขาจะใช้สิ่งนี้มาเป็นข้อต่อรองเสียได้

แต่ถ้าหากนี่เป็นงานเต้นรำที่เกี่ยวข้องกับสกุลเห่อแล้วละก็ โอวหยางลี่เองก็อาจจะมาด้วย และเธอคนนั้นก็….

พลังทั้งสองฝ่ายก็ล้วนแล้วหนักอึ้ง เธอกัดริมฝีปาก ก่อนจะทำได้แค่พยักหน้า “ถ้าหากนี่เป็นงานเต้นรำที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของบริษัทจริงๆ ฉันก็จะไป”

หลังจากที่เธอทำผิดพลาด เมื่อครู่นี้ นี่ก็ต้องได้รับการแก้ไข ถ้าหากไม่พบความจริงเสียก่อน อาจจะชักนำความเสียหายให้แก่บริษัทชนิดที่เรียกว่าประเมินค่าไม่ได้

จิ่งเป่ยเฉินพงกหัวเล็กน้อย ก่อนจะหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะ และกดสปีกโฟนเพื่อให้ดังขึ้นที่ด้านหน้า

“เลขาหลิน วันนี้เธอเลิกงานก่อนได้เลย”

หลินจื่อเซี๋ยวสับสนตอนอยู่ข้างนอก เมื่อได้รับโทรศัพท์จากภายใน ก็รู้สึกงงงวยหนักมาก

เมื่อครู่นี่เธอคิดอยากจะเอ่ยถามออกไป แต่อีกฝ่ายก็ดันวางสายไปเสียแล้ว เสียงดังปี๊ปๆดังขึ้นโดยทันที

“หลินจื่อเซี๋ยวเป็นเพื่อนเธอ คงจะดูแลลูกของเธอได้แน่ เธอวางใจได้เลย” จิ่งเป่ยเฉินเอ่ยพูดอย่างช้าต่อว่า “คืนนี้ผมอยากให้คุณแต่งตัวให้ดูดีที่สุดนะ”

อันโหรวเข้าใจว่าชายคนนี้ต้องวางแผนมานานแล้วแน่ๆ การเข้าร่วมงานเต้นรำเพื่อเข้าร่วมงาน จริงๆแล้วควรพาเลขาไป แต่นี่เขากลับเลือกเธอมาแทนเสียงั้น

ดูท่า งานเต้นรำครั้งนี้จะไม่ง่ายเหมือนครั้งก่อนๆ

เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะยิ้มออกมา “ได้ ฉันชอบความท้าทายดี”

แม้จะมีแป้งหนาเนอะอยู่บนใบหน้าของเธอ แต่รอยยิ้มนี่ ก็ทำให้ชายผู้นั้นตกตะลึงไปพอสมควร

ท่าที่ที่เย่อหยิ่งและดูดุดัน จริงๆเลย….ดูยังไงก็ใช่โหรวโหรว