ตอนที่ 31 หมาป่ากับหลวงจีน

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

“พวกเธอว่าหลวงจีนบนเขานั่นเป็นคนเลี้ยงหมาป่าตัวนี้รึเปล่า?” รอจนหมาป่าไปไกลแล้ว พวกเขาถึงใจกล้าขึ้นมา พั่งจื่ออดไม่ไหวถามขึ้น

เจียงถิง “เป็นไปได้ วัดนั่นไม่ใหญ่ แต่กลับแปลกประหลาดทุกที่ หลวงจีนนั่นก็ยังหนุ่มมาก แต่ฉันรู้สึกบางอย่างนะว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา”

“พอทีเถอะ เธอก็อ่านนิยายกำลังภายในมากไปเหมือนกันรึไง?” พั่งจื่อไม่คิดอย่างนั้น

ตอนนี้เองโหวจื่อพูดขึ้น “อยากรู้ความจริงก็มีวิธีเดียว ขึ้นเขาไปดูก็รู้”

“นายจะบ้าเรอะ? ก็เห็นแล้วนี่ว่านั่นคืออะไร! นั่นหมาป่า! มันกินคนไม่คายกระดูกนะ” พั่งจื่อมีสีหน้าตกใจกลัว จากนั้นว่าต่อ “วัดผุพังบนเขารกร้าง มีหลวงจีนรูปเดียว แบบอย่างก็มีให้เห็นแล้วนี่ว่าเป็นพวกปล้นจี้ฆ่า นายยังจะไปที่แบบนี้อีกเหรอ?”

“นายต่างหากที่อ่านนิยายกำลังภายในมากเกินไป! ฉันรู้ว่านั่นคือหมาป่า แต่หมาป่าไม่น่าจะเชื่อฟังใครได้ ถ้าไม่อย่างนั้นคงกัดก้นนายไปนานแล้ว” โหวจื่อหัวเราะเยาะ

“ไอ้เวร คุณพั่งอ้วนรึไง? เขาเรียกล่ำต่างหาก!”

“เอาเถอะ หยุดพูดไร้สาระกันได้แล้ว ฉันจะขึ้นเขาไปดู ถ้าไม่อย่างนั้นจะเป็นปมในใจฉัน” โหวจื่อตอบกลับ

พั่งจื่อรีบพูดกับหลูเสียวอ่า “เขาบ้าไปแล้ว เธอไม่สนใจหน่อยเหรอ?”

หลูเสียวอ่ากอดแขนโหวจื่อ “ฉันเข้าใจเขา เขาเหมือนกับแมวที่อยากรู้อยากเห็น นายไม่ให้เขาขึ้นไป เดาว่าหนึ่งเดือนจากนี้อย่าได้คิดหยุดพักเลย มาก็มาแล้ว อีกอย่างโหวจื่อพูดถูก หมาป่านั่นเชื่อฟังคน ไม่ได้อันตรายขนาดนั้น ฉันสนับสนุนเขา!”

“นี่ต่างหากแฟนฉัน! ไปกัน ขึ้นเขา!” โหวจื่อพูดจบก็พาหลูเสียวอ่าเดินขึ้นเขาไป

พั่งจื่อมองหร่วนอิ่งว่าที่ภรรยาตัวเอง “เธอว่าไง?”

หร่วนอิ่งแบมือ “ไม่รู้ ฉันไปกับคุณแหละ”

พั่งจื่อพูดไม่ออกเล็กน้อย ก่อนมองเจียงถิง

แต่เจียงถิงตามไปแล้ว ทั้งยังพูดขึ้นโดยไม่หันมามอง “ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าหลวงจีนนั่นเกี่ยวอะไรกับหมาป่า ฉันจะขึ้นไปดู ถ้านายไม่อยากมาก็ไปรอในรถ พวกเราจะรีบลงมา”

พั่งจื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแห้ง “พวกเธอขึ้นไปกันหมด ฉันจะไปคนเดียวได้ยังไง? รอคุณพั่งด้วย…” พูดจบพั่งจื่อก็พาหร่วนอิ่งตามขึ้นไป

ห้าคนมาที่หน้าประตูวัดเอกดรรชนีอีกครั้งอย่างรวดเร็ว มองวัดเล็กตรงหน้า ไม่ได้มีความสบายหรือดูถูกอย่างตอนมา แต่มีสีหน้าเคร่งขรึมเพิ่มมาหลายส่วน

“หืม? รอยมือนั่นหายไปแล้ว” ตอนนี้เองเจียงถิงพูดขึ้นด้วยความตกใจ

โหวจื่อปรี่เข้ามา เมื่อมองอย่างละเอียดแล้วก็ส่ายหน้า “ยังอยู่ เพียงแค่ถูกคนกดกลับไป พวกเธอดู ถึงจะกดไปแล้วแต่ก็ยังไม่เรียบเนียน ฉันเดาไว้ไม่ผิด หลวงจีนนี่มีวิทยายุทธ์จริงๆ อีกทั้งยังร้ายกาจมาก!” ดวงตาโหวจื่อเปล่งประกายวาววับ เพียงแต่เป็นประกายตื่นเต้น

ตอนนี้เองมีเสียงหัวเราะดังแว่วมาจากหลังวัด “เจ้าหมาป่าโง่ ไม่อยากเชื่อว่าจะไปตักน้ำเอง ตะกละจริงๆ นะ หนอนขี้เกียจขยันขึ้นเพราะของกินซะแล้ว”

จากนั้นก็ได้ยินเสียงเห่าสองที ราวกับว่าหมาป่ากำลังถกเถียงบางอย่าง

ต่อมาก็ได้ยินเสียงฟางเจิ้ง “ฉันรู้หน่า นายไม่ทำงานฟรีๆ หรอก ได้ จะเพิ่มข้าวกลางวันให้ แต่นายก็ต้องกินช้าๆ หน่อยนะ ข้าวพวกเราเหลือไม่มากแล้ว”

“โฮ่งๆ…”

พอได้ยินเสียงเหล่านี้ ห้าคนต่างมองหน้ากัน

หร่วนอิ่งพูดเบาๆ “หลวงจีนนี่ป่วยรึเปล่า? คุยกับหมาป่าด้วย”

“ป่วยจริงๆ แต่อาการไม่ชัดนะ หรือว่าจะเป็นโรคประสาท?” พั่งจื่อเสริม

“พั่งจื่อระวังหน่อย อย่าพูดแบบนี้ อยู่ในถิ่นคนอื่นพูดจาให้มันดีๆ หน่อย” เจียงถิงต่อว่า

พั่งจื่อแบะปากและเงียบไป

หลูเสียวอ่าว่า “ทำไมฉันรู้สึกว่าหลวงจีนรูปนี้กำลังคุยกับหมาป่าจริงๆ พวกเธอฟังสิ ตอบกันเป็นประโยคเลย”

โหวจื่อ เจียงถิงพยักหน้าเห็นด้วย เหมือนมาก แต่ไม่มีใครเชื่อว่าคนจะคุยปกติกับสัตว์ได้? นี่มันเหลวไหลเกินไป

พั่งจื่อก็พูดเสียงเบาเช่นกัน “พวกเรามาเดิมพันกัน ฉันว่าทุกอย่างนี่เป็นเรื่องลวงหลอก ไม่แน่นะหลวงจีนนั่นอาจจะปลอมป็นทั้งหมาป่าทั้งคนก็ได้ แสร้งทำให้ดูลึกลับ บางทีอาจเป็นโรคประสาท นี่ดูแววตาพวกเธอสิ? ไม่เชื่อเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ไปดูด้วยกัน แอบไปนะอย่าให้ถูกจับได้”

ทุกคนอยากรู้อยากเห็นมากว่าเกิดอะไรขึ้นข้างหลังวัด ดังนั้นจึงพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปดู

เดินไปได้สักครู่หนึ่ง ตอนที่เข้าไปใกล้หลังวัด กลิ่นข้าวจางๆ ลอยโชยมา

ห้าคนนี้สูดลมหายใจเข้าลึกโดยไม่รู้ตัว พั่งจื่ออดไม่ไหวพูดขึ้น “โหวจื่อ นี่มันกลิ่นน้ำหอมอะไร? หอมแบบนี้? ทำฉันหิวแล้วนะ…”

“นายโง่รึเปล่า? นี่มันกลิ่นหอมข้าว! แต่ข้าวนี่หอมมาก…” โหวจื่อกลืนน้ำลาย

พั่งจื่อก็โต้ตอบอย่างไม่ยอมเหมือนกัน “นายต่างหากที่โง่! นายเคยเห็นที่ไหนมีข้าวหอมแบบนี้กัน? ฉันเดานะจะต้องเป็นน้ำหอมบางอย่างแน่ ไม่ได้การแล้ว ยิ่งดมยิ่งหิว…”

“เงียบเถอะ ฉันก็หิวเหมือนกันแล้ว” โหวจื่อกล่าว

“จ๊อกๆ…”

โหวจื่อ พั่งจื่อ หร่วนอิ่ง หลูเสียวอ่ามองเจียงถิงพร้อมกัน ใบหน้าเจียงถิงแดงเก้อเขิน “ฉันก็หิวเหมือนกัน…”

ทุกคนต่างหัวเราะ หลูเสียวอ่าว่า “ไป ไปดูกันว่าหลวงจีนนั่นทำอะไรกิน ไม่แน่อาจมีบางอย่างที่หอมขนาดนี้อยู่”

พูดจบหลูเสียวอ่าก็ผลักโหวจื่อไปข้างหน้า เห็นได้ชัดว่าอยากรู้อยากเห็น แต่ความกล้าไม่พอ

โหวจื่อนำทางไป ห้าคนเดินไปหลังวัดเป็นขบวน เมื่อเข้าใกล้กลิ่นหอมเข้มข้นกว่าเดิม ทุกคนต่างท้องร้องจ๊อกๆ ใบหน้าแดงด้วยความเขินอาย พอพวกเขาเข้ามา หมาป่าเดียวดายที่นอนหมอบอยู่ในครัวยืนขึ้น แยกเขี้ยวจ้องพวกเขาพลางเห่าเสียงต่ำ

โหวจื่อรีบพูดขึ้น “หยุด อย่าขยับ หมาป่านั่นโกรธแล้ว นี่คือเสียงเตือนของสัตว์ประเภทสุนัข ถ้าเข้าไปจะถูกโจมตี”

ทุกคนรีบหยุด เจอหมาป่าอีกครั้งทุกคนก็ยังใจสั่น ยังคงหวาดกลัว

ไม่เหมือนที่พวกเขาคิดไว้เลย คิดว่าเคยเจอกันครั้งหนึ่งแล้วตัวเองปลอดภัย อีกทั้งยังเป็นหมาป่าเลี้ยง จึงคิดว่าจะเผชิญหน้าได้อย่างไร้กังวล

ตอนนี้เอง

“อมิตพุทธ ทำไมพวกโยมถึงกลับมาอีก?” ฟางเจิ้งได้ยินเสียงขู่หมาป่าจึงออกมาดู เห็นห้าคนกำลังตกใจกลัว จึงขมวดคิ้วพลางถาม

“ไต้ซือ ตอนลงเขาพวกเราเจอกับหมาป่าตัวนี้ ท่านเลี้ยงมันเหรอคะ?” เจียงถิงกลัวหมาป่า แต่ไม่กลัวฟางเจิ้ง เห็นฟางเจิ้งเดินออกมา หมาป่าเดียวดายเก็บเขี้ยวไปทันที เธอถึงสบายใจขึ้นมาก

ฟางเจิ้งตอบ “ไม่ใช่”

สิ้นเสียง ห้าคนก็เคร่งเครียดอีกครั้ง ไม่ใช่ฟางเจิ้งเลี้ยง ถ้าอย่างนั้นเป็นสัตว์ป่าเหรอ? สัตว์ป่ากินคนนี่!

เจียงถิงกลัว แต่ก็ยังถามไปว่า “ไต้ซือ ถ้าอย่างนั้นหมาป่านั่นล่ะ?”

ฟางเจิ้งตบหัวหมาป่าแล้วตอบ “ถือว่าเป็นเพื่อนกัน บนเขาขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหาร และก็ไม่มีอะไรที่แลกเปลี่ยนได้ เป็นแค่เพื่อนกัน ไม่มีใครเป็นเจ้าของใครหรอก”

…………………………..