บทที่ 32 ทหารเว่ย์ผู้เคียดแค้น

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

บทที่ 32 ทหารเว่ย์ผู้เคียดแค้น Ink Stone_Romance

ครั้นเข้าไปในกระโจม เหล่าแม่ทัพนั่งประจำที่กันแล้ว ภายในกระโจมเงียบสงบมาก แต่โทสะที่ถูกข่มเอาไว้นั้นทำให้แววตาของพวกเขามีความอาฆาตน่ากลัว

ซ่งชูอีเดินเข้าไปตรงกลางด้วยความเชื่องช้า ประสานมือคารวะแม่ทัพทั้งสาม “ไม่ทราบทุกท่านต้องการพบข้าน้อย มีเรื่องอันใด?”

กงซุนชื่อไม่ชอบใจซ่งชูอีที่สุด รู้สึกว่านางเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม มีเพียงความเข้าใจเล็กน้อย ไม่สามารถเรียกว่าเป็นบัณฑิตได้เลย เมื่อเขาได้ยินซ่งชูอีกล่าวดังนี้ อดไม่ได้ที่จะเย้ยหยัน “ท่านมองไม่เห็น ก็คงได้ยินเสียงคำรามของทหารสามหมื่นนายกระมัง!”

พูดจบ ก็ไม่รอให่ซ่งชูอีได้ตอบ หันหน้าไปพูดด้วยเสียงอันดังกับหลงกู่ชิ่งและปิ่งเกอ “ตามความเห็นข้า ส่งกองทัพไปฆ่าพวกโจรเว่ยตอนที่พวกมันยังไม่ทันตั้งตัวต่างหากถึงจะเป็นทางออก จะเสียเวลาอยู่ที่นี่เพื่ออะไร!”

กงซุนชื่อรูปร่างกำยำ น้ำเสียงดุจสายฟ้า ครั้นตะโกนแล้วผู้คนส่วนใหญ่ยากจะต้านทาน

หลงกู่ชิ่งมองซ่งชูอีด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ท่านเชิญนั่ง”

ซ่งชูอีไหลไปตามน้ำมองหาเสื่อฟางที่หนึ่งแล้วคุกเข่าลง จากนั้นก็ได้ยินหลงกู่ชิ่งกล่าวต่อ “รัฐเว่ยกำเริบเสิบสาน พวกข้าอดทนต่อไปมิได้อีกแล้ว ต้องการนำทัพช่วงชิงเมืองกลับมา ท่านมีแผนการว่าเยี่ยงไร?”

“พวกท่านประสงค์จะช่วงชิงเมืองใดกลับมา?” ซ่งชูอีถาม

“ต้องเป็นฉู่ชิวอยู่แล้ว! ที่นี่ใกล้กับผูหยางมากที่สุด ไม่ช่วงชิงที่นี่แล้วจะช่วงชิงที่ใดเล่า!” กงซุนชื่อกล่าวเย็นชา

เมื่อเห็นว่าผู้อื่นไม่คัดค้าน ซ่งชูอีประสานมือกล่าว “มิทราบว่าความเกลียดชังที่รัฐเว่ย์มีต่อเรื่องนี้จะยาวนานเพียงใด?”

สิ้นเสียงของนาง ทุกคนถกเถียงกันทันที เห็นได้ชัดว่าความโมโหยิ่งแรงกล้า แต่ว่าครานี้เป็นความโมโหที่มีต่อซ่งชูอี จี๋อวี่ขมวดคิ้ว เอ่ยแทรก “รัฐถูกลบหลู่จะลืมได้เยี่ยงไร! การกระทำของโจรเว่ยที่ชั่วช้าเช่นนี้ รัฐเว่ย์ของข้าไม่อาจชิงเมืองคืนภายในหนึ่งวัน แต่มิอาจทนถูกเหยียดหยามได้แม้แต่วันเดียว!”

“เช่นนั้นก็ดี!” ซ่งชูอีกล่าวด้วยท่าทีโล่งอก “ในเมื่อความประสงค์ต่อสู้ยังอยู่ เหตุใดจึงต้องเลือกช่วงเวลาที่ทหารอ่อนล้าในการชิงเมืองคืนเล่า?”

ปิ่งเกอกล่าว “แน่นอนว่าต้องการฆ่าพวกมันตอนที่ไม่ได้ระวังตัว”

ทหารทุกคนส่งเสียงสนับสนุน

ท่ามกลางความโหลาหลนั้น ซ่งชูอีถอนหายใจ ส่ายศีรษะช้าๆ

หลงกู่ชิ่งยกมือขึ้นเล็กน้อย บอกให้ทุกคนสงบลง รอจนกระทั่งเสียงค่อยๆ ซาลงแล้ว จึงเอ่ยปากถาม “เหตุใดท่านจึงส่ายศีรษะ?”

“หวยจินนึกว่าพวกท่านเห็นเรื่องจู่โจมเป็นประเด็นรอง แต่ประเด็นหลักเป็นเพราะทุกท่านล้วนเป็นชายผู้มุ่งมั่นเลือดร้อนที่มิอาจทนต่อความโกรธครั้งนี้ได้” ซ่งชูอีพูดได้น่าฟัง ที่จริงแนวคิดหลักก็คือพวกเขาถูกความโกรธแค้นครอบงำจนสมองเลอะเลือน “ตั้งแต่ที่รัฐเว่ยบีบบังคับให้เว่ย์โหวส่งทหารจู่โจมซ่งจนถึงบัดนี้ หวยจินได้เข้าใจเรื่องหนึ่งอย่างถ่องแท้”

นางสูดหายใจลึก กล่าวด้วยเสียงอันดัง “เว่ยอ๋องไม่เคยเห็นรัฐเว่ย์อยู่ในสายตาตั้งแต่แรก ในสายตาของเขา รัฐเว่ย์เป็นดังก้อนดินน้ำมันที่เขาสามารถบดขยี้ได้ตามใจ!”

สีหน้าของทุกคนเขียวคล้ำด้วยโทสะ แต่ไม่มีคำโต้แย้ง แม้ไม่อยากยอมรับแต่ว่านี่ก็คือความจริง! มือของบางคนวางอยู่บนฝักดาบโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าทำเช่นนี้แล้วจะเจอเกียรติยศบ้าง

“ถ้าหากเว่ยอ๋องมีรัฐเว่ย์อยู่ในสายตา หรือหากจะโหดเหี้ยกว่านี้เสียหน่อย ก็คงตัดเส้นทางเสบียงของทุกท่านนานแล้ว และยิ่งปลุกปั่นให้รัฐซ่งเปิดสงคราม ทุกท่านคิดว่าเว่ยอ๋องมีความเมตตาของรัฐเว่ย์งั้นรึ?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

แน่นอนว่าไม่มี! คำตอบนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว

หากไม่เคยมีเมตตา เช่นนั้นก็เป็นการดูถูก แม้ทุกคนไม่ได้ตอบ แต่ว่าในใจรู้เป็นอย่างดี

“ในเมื่อรัฐเว่ยวางแผนที่จะยึดครองด้วยกำลัง ไม่มีทางที่จะไม่ระวังตัวเป็นธรรมดา แม้นจะสามารถบุกฆ่าขณะที่ไม่ทันตั้งตัวได้ แต่ด้วยการเดินขบวนอันเร่งรีบ บัดนี้เหล่าทหารของข้าต่างเหนื่อยล้า ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงโอกาสชนะ แม้นชนะแล้ว ทุกท่านได้เคยคิดหรือไม่ว่าต้องสูญเสียเท่าใด?” ซ่งชูอีเอ่ย

“ยังไม่ต้องกล่าวถึงความพ่ายแพ้ ท่านกล่าวถึงโอกาสชนะก่อนเถิด” กงซุนชื่ออยากรู้ข้อนี้มากกว่า

ซ่งชูอีเห็นว่าทุกคนกำลังจ้องมองนาง ก็รู้ได้ว่าบัดนี้ในใจของพวกเขาเปี่ยมด้วยความแค้นและความเกลียดชัง คิดเพียงแก้แค้น ต้องการรู้ถึงโอกาสชนะก่อนค่อยรู้เรื่องพ่ายแพ้ นางเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หวยจินก็จะกล่าวคร่าวๆ กองหทารต้องอาศัยห้าสิ่ง หนึ่งหลักการ สองฟ้า สามดิน สี่แม่ทัพ ห้าแผน กล่าวได้ว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”

การใช้ทหาร ต้องชั่งน้ำหนักห้าสิ่งนี้ เรื่องแรกคือเงื่อนไขทางสังคมและการเมือง เรื่องที่สองคือสภาพอากาศ เรื่องที่สามคือภูมิศาสตร์ เรื่องที่สี่คือคุณภาพของแม่ทัพ เรื่องที่ห้าคือแผนการทางทหาร

“พวกท่านรู้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายมีกำลังเฝ้าฉู่ชิวอยู่เท่าใด? กระจายกองกำลังเยี่ยงไร? พลเมืองรัฐเว่ย์เต็มใจที่จะต่อสู้หรือไม่? เคยคาดคะเนถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศหรือไม่? เคยสำรวจภูมิศาสตร์อย่างละเอียดหรือไม่? ฝ่ายตรงข้ามมีผู้ใดบังคับบัญชากองทัพ?” ภายใต้แรงกดดันในแต่ละคำถามของซ่งชูอี ทุกคนต่างค่อยๆ สงบลง

พูดจบในคราวเดียว ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง เพื่อให้เวลาทุกคนได้ขบคิด จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเชื่องช้า “ฉะนั้นข้าจึงกล่าวว่าชัยชนะยากคาดเดา”

ภายในกระโจมเงียบงันเนิ่นนาน แม้แต่กงซุนชื่อที่ดูถูกซ่งชูอีตลอดเวลาก็หลุบตาลงครุ่นคิดเช่นกัน

ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงมีคนทำลายความเงียบ “หรือว่าสิ่งที่พวกเราทำจะสูญเปล่า!”

“ไม่สูญเปล่าเป็นแน่!” ซ่งชูอีกล่าว “ตราบใดที่กำลังใจของเหล่าทหารไม่จางหายในเวลานี้ สู้เตรียมความพร้อมแล้วโจมตีในภายหลังจะดีกว่า เพียงแต่ว่าก่อนหน้านั้น รัฐเว่ย์จำต้องป่าวประกาศเรื่องที่ถูกเว่ยอ๋องบีบบังคับออกไป”

นางยิ้มน้อยๆ เอ่ยเตือนสติ “รัฐเว่ย์มิได้พึ่งพารัฐเจ้าตั้งแต่รัชสมัยเจิ้นกงหรอกหรือ?”

หากรัฐเว่ย์เก็บงำความโมโหอย่างเงียบๆ ก่อนที่จะโจมตี ถึงบัดนั้น “การยกดินแดนให้เพื่อขอความเห็นชอบในการผ่านดินแดน” แม้ไม่ใช่ความจริงก็กลายเป็นจริงไปแล้ว และผู้ที่ต้องการสร้างความปั่นป่วนก็ต้องรู้ว่า นอกเหนือจากการยื่นอุทรณ์เรื่องนี้ต่อรางวงศ์โจวแล้ว รัฐเจ้ายังเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

“หวยจินเป็นเพียงอาคันตุกะที่ผ่านมา จะรบหรือไม่นั้นล้วนขึ้นอยู่กับท่านแม่ทัพทั้งสาม อย่างไรก็ดีข้าได้รับปากกับท่านนายพลจี๋ว่าจะช่วยเหลือรัฐเว่ย์อย่างสุดกำลัง ยินดีที่จะเดินหน้าหรือล่าถอยไปด้วยกัน” ซ่งชูอีคำนับด้วยความนอบน้อมยิ่ง เพื่อเป็นการแสดงความแน่วแน่ของตน “หวยจินขอลา”

“เชิญท่านตามสบาย” หลงกู่ชิ่งเอ่ย

ซ่งชูอีไม่คิดว่าจะกล่อมพวกเขาได้สำเร็จในทันที ยังต้องพิจารณาอีกรอบหนึ่ง ดังนั้นนางจึงถอยออกมาจากกระโจม

เนื่องด้วยตำแหน่งท่านแม่ทัพชั้นสูงต่างหารือกันภายในกระโจม แม้ว่ากระโจมจะถูกผูกไว้อย่างดี แต่ยังไม่ได้รับการแบ่งสรรปันส่วน ซ่งชูอีก็ไม่มีที่ไป ได้แต่หันเดินอย่างไร้จุดหมาย

“ท่านหวยจิน!”

ซ่งชูอีได้ยินวว่ามีคนเรียกนาง จึงมองไปตามเสียงนั้น เขาคืออวิ่นรั่ว

“เจ้านี่เอง!” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย

อวิ่นรั่วเห็นซ่งชูอีแล้วยินดียิ่ง เมื่อเห็นนางขานรับ ก็ลุกขึ้นเดินเข้ามาหา “ท่านอบอุ่นร่างกายหน้ากองไฟเถิด”

“ได้!” ซ่งชูอีกำลังหนาวสั่น หากมีกองไฟให้อุ่นกายได้ นางก็เดินตามไปอย่างยินดีปรีดาเป็นธรรมดา

ผู้คนนั่งล้อมรอบกองไฟมีหลากหลายวัย ตั้งแต่อายุห้าหกสิบ ไปจนถึงอายุสิบห้าสิบหก ครั้นเห็นซ่งชูอีเดินมาก็ต่างแอบมองด้วยความสนใจ

ซ่งชูอีประสานมือคำนับพวกเราเล็กน้อย แล้วนั่งขัดสมาธิตรงที่ว่าง

อวิ่นรั่วเคอะเจินเล็กน้อย เมื่อครู่เรียกซ่งชูอีมาด้วยความตื่นเต้น ในเวลานี้กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี โชคดีที่ซ่งชูอีสามารถปรับตัวได้ค่อนข้างดี

ครั้นซ่งชูอีตกระกำลำบากในอดีต ก็ได้ใช้ชีวิตอยู่กับชาวบ้านอย่างเรียบง่ายในช่วงเวลาหนึ่ง ทหารเหล่านี้ล้วนเป็นพลเมืองที่มาจากสถานที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้นางจึงเข้ากับผู้คนรอบข้างได้อย่างรวดเร็ว ฝูงชนล้อมวงเข้ามาและพูดคุยสัพเพเสหะ

ตั้งแต่เรื่องทำไร่ทำนาจนถึงโสเภณี หรือแม้แต่อาหารและสุรารสเลิศ ซ่งชูอีก็สนทนาได้อย่างลื่นไหล โดยเฉพาะรายละเอียดที่นางอธิบายถึงเหล่าโสเภณีและอาหารอันโอชะนั้น ชวนให้ผู้คนน้ำลายสอ

ผู้คนล้อมวงมากขึ้นเรื่อยๆ

ทางนี้กำลังคุยกันอย่างออกรส ทางทิศเหนือของค่ายกลับมีเรื่องปั่นป่วน

…………………………