บทที่ 43 ความหายนะ[รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 43 ความหายนะ[รีไรท์] EnjoyBook

บทที่ 43 ความหายนะ[รีไรท์]

เมื่อผีป่วยถูกสังหารภายในกระบวนท่าเดียว บรรดาสมาชิกขององค์กรแมงป่องพิษ ต่างก็เงียบงันด้วยความตกตะลึง

“แมงป่องดำ ออกมา!”

ฉู่ชวิ๋นตะโกน เสียงนั้นแฝงไปด้วยลมปราณที่ปะทุออกมา แผ่นดินสั่นสะเทือนไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้เหล่าสมาชิกแมงป่องพิษ ต่างเวียนหัวตาลายและมีบางคนที่สลบไป

แมงป่องดำก็คือ หัวหน้าที่แท้จริงขององค์กรแมงป่องพิษ ภายในห้องหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง แม้จะมีเพียงลมหายใจที่เลือนรางของคนผู้กำลังนั่งสมาธิอยู่ด้านใน แต่ก็ไม่อาจซ่อนตัวต่อหน้าฉู่ชวิ๋นไปได้

หลังจากสิ้นเสียงเรียกของฉู่ชวิ๋น แมงป่องดำที่อยู่ด้านในมาโดยตลอดก็อดทนไม่ไหว กระโดดพุ่งออกมาจากทางหน้าต่างด้วยความรวดเร็วและพุ่งทะยานไปยังกำแพงด้านนอกหมายจะหลบหนี แต่ฉู่ชวิ๋นก็ไม่ขัดขวางมันเอาไว้ เขาเพียงมองชายที่หนีเตลิดออกไปด้วยสายตาเย็นชา

“ปัง!”

แมงป่องดำกระโดดขึ้นไปบนสันกำแพง แต่ไม่มีใครรู้ว่ากำแพงด้านนอกนั้นมีม่านพลังปิดทางไว้อยู่ ทำให้แมงป่องดำที่ไม่ได้ตรวจสอบอะไรชนเข้ากับม่านพลังอย่างแรงจนตัวสั่นกระเด็นกลับมา

“แกจะหนีไปไหน?” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ในบริเวณรอบ ๆ ที่แห่งนี้ เขาได้จัดวางค่ายกล เพื่อตัดขาดจากโลกภายนอกเอาไว้แล้ว

ทำแบบนี้จะไม่มีใครสามารถหนีออกไปจากที่แห่งนี้ได้ แมงป่องดำตกลงมากระแทกพื้นจนกระอักเลือดออกมา สายตาจ้องมองไปยังฉู่ชวิ๋นด้วยความเคียดแค้น

เขาฝึกวิชาจนถึงขั้นจอมยุทธ์ระดับ 7 คาดไม่ถึงว่าจะถูกฉู่ชวิ๋น บีบให้กลายเป็นหมาจนตรอกแบบนี้

ฉู่ชวิ๋นส่งเสียง ‘เฮอะ’ ออกมาอย่างเย็นชา

ก่อนที่ร่างกายจะลอยสูงขึ้น เหมือนเหยี่ยวที่ลอยอยู่บนอากาศ ซัดฝ่ามือใส่แมงป่องดำ ลมปราณปะทุออกมา แมงมุมดำก็พยายามดิ้นรนสุดชีวิต

“ปัง!”

เสียงระเบิดขึ้น ราวกับสายฟ้าที่มีเสียงดังสนั่นหู พื้นดินสั่นสะเทือนไม่หยุด ฝุ่นละอองกระจัดกระจาย ทำให้เหล่าสมาชิกแมงป่องพิษต่างตกใจกลัวกันสุดขีด จนตับไตไส้พุงแทบจะหล่นไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม

พวกเขาเห็นแค่ คอของแมงป่องดำที่กลิ้งอยู่บนพื้น หัวหน้าพวกเขาถูกฝ่ามือตบจนร่างเนื้อแหลกเละตายจนไม่สามารถตายได้อีกแล้ว!

“จิ่วโยว ฆ่าไม่ให้เหลือ!” น้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ของภ-ฉู่ชวิ๋นเอ่ยขึ้น

“ฝ่อ!” เสียงตะโกนคำรามทะลุขอบฟ้าดังขึ้นมา

พญาอสรพิษเคลื่อนลงสู่พื้นดินและแปลงร่างกลับคืนสู่สภาพเดิมที่เป็นพญาอสรพิษยักษ์ สมองมันสั่งการให้กวาดสายตามองไปทั่วบริเวณ จากนั้นสมาชิกแมงป่องพิษก็ถูกมันชนจนปลิว ร่างตกลงสู่พื้น เส้นเอ็นขาด กระดูกหัก ตับไตไส้พุงแตกสลายและสุดท้ายคือ ทุกคนต่างหมดลมหายใจ

หางที่มีขนาดใหญ่มหึมา ยกขึ้นมาเหมือนตบแมลงวัน

ร่างกายมันเหมือนเครื่องบดถนนให้แตกละเอียด เลือดไหลย้อมพื้นดินเป็นสีแดงฉาน ในที่สุดลานแห่งนี้ ก็กลายสภาพเป็นนรกบนดิน

แม้แต่จะวิ่งหนีก็ยังเป็นเหมือนเรื่องเพ้อฝัน เพราะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพญาอสรพิษแบบนี้ ความกล้าที่จะวิ่งหนีของพวกมันก็ยังไม่มี พวกมันทำได้เพียงแค่รอความตายเท่านั้น

ชั่วพริบตาเดียว พื้นดินก็เต็มไปด้วยซากศพ เลือดสีแดงสดไหลนองเต็มพื้นอากาศในบริเวณโดยรอบ เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่ว

จิตใจของฉู่ชวิ๋นไม่สั่นไหว กลิ่นคาวเลือดตรงหน้าไม่อาจทำอะไรจิตใจของเขาได้ เขาใช้พลังจิตวิญญาณตรวจสอบพื้นที่โดยรอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครหลงเหลืออยู่แล้ว เขาสร้างค่ายกลย่อยส่วนและพญาอสรพิษก็เลื้อยเข้าไปในค่ายกลนั้นกลายเป็นงูตัวเล็ก ๆ ตามเดิม

……

……

อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ผู้อาวุโสจัดการการศพของสมาชิกแมงป่องพิษเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็กลับไปยังภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงก็พบเฉินฮั่นหลงยังคงนั่งเล่นอยู่

“น้องเฉิน เรื่องในครั้งนี้ต้องขอรบกวนน้องช่วยพูดต่อหน้านายท่านแทนฉันด้วย ฉันจะซาบซึ้งไปชั่วชีวิตหลังจากนี้เรื่องของน้องเฉินก็จะกลายเป็นเรื่องของฉันเช่นกัน” เจิ้งก่วงอี้ที่มือข้างหนึ่งถือขวดเหล้าและมือข้างหนึ่งก็ดึงเฉินฮั่นหลงมาฟังเรื่องที่ตัวเองเล่า

ครั้งนี้เดิมที เขาอยากจะประจบประแจงฉู่ชวิ๋นถึงได้เชิญถางเหวินเหยียนและภรรยามาร่วมงานเลี้ยง แต่คาดไม่ถึงว่าถางโร้วจะมาถูกตบในงานนี้ เฉินฮั่นหลงตาปรือ ๆ อาจเพราะเขาดื่มมากไปหน่อยเขาจึงตบแขนของ

เจิ้งก่วงอี้และพูดเสียงดัง “พี่เจิ้งไม่ต้องเป็นห่วง ฉันรับปากจะพูดต่อหน้านายท่านแทนพี่ให้เอง”

ทันใดนั้น เสียงหัวเราะเยาะก็ดังมาจากทางประตู

ทั้งสองคนก็หันไปมองพร้อมกัน พวกเขาเห็นเพียงผู้อาวุโสที่เดินเข้ามา

“ผู้อาวุโส คุณหัวเราะอะไร?” เฉินฮั่นหลงจ้องมองไปยังผู้อาวุโสก่อนจะถามขึ้นมา

“ฉันหัวเราะแกน่ะสิ ที่สร้างเรื่องหายนะขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังหน้าด้านอยู่ที่นี่ต่อ เพื่อคุยโวโอ้อวด จะไปขอร้องแทนคนอื่น เหอะ” ผู้อาวุโสพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

“ผู้อาวุโส คุณอย่างมาพูดจาเขย่าขวัญผู้อื่น ฉันไปสร้างเรื่องหายนะอะไร มีนายท่านอยู่ ต่อให้เป็นราชาก็ไม่อยู่ในสายตาของฉันหรอก” เฉินฮั่นหลงเดินโซซัดโซเซมาด้านหน้าและพูดเสียงดัง

“งั้นถ้าหากว่าความหายนะนี้มาจากนายท่านเองล่ะ?” ผู้อาวุโสก็ยังยิ้มเยาะต่อเฉินฮั่นหลง

“ถุย! พูดเหลวไหล” เฉินฮั่นหลงถุยน้ำลายลงพื้น

“ท่านอาวุโส นี่คุณสาปแช่งฉันใช่หรือเปล่า?” เฉินฮั่นหลงตะโกนเสียงดัง

“ในเมื่อแกไม่เชื่อ ฉันก็ไม่พูดอะไรแล้ว แกก็รอนายท่านมาหาแกเถอะ”

ผู้อาวุโสร้อง ‘เฮอะ’ ออกมาก่อนจะหันหลังเดินจากไป

“เดี๋ยว มาพูดให้รู้เรื่อง ไม่งั้นก็อย่าคิดที่จะเดินจากไปได้” เฉินฮั่นหลงพยายามขัดขว้างไม่ให้ผู้อาวุโสเดินผ่านไป

“ไม่ใช่ว่าแกไม่เชื่อเหรอ? แล้วจะมาขวางฉันทำไม? ตอนนี้ฉันไม่อยากพูดอะไรแล้ว”

พอผู้อาวุโสพูดขึ้น เฉินฮั่นหลงก็หวาดกลัว เฉินฮั่นหลงตอนนี้กระวนกระวายใจขึ้นมาแล้ว แต่เฉินฮั่นหลงกลับไม่ได้ก่อกวนใจต่อ เขามองไปยังมือของผู้อาวุโสและก็ต้องตกใจ “หยกช่วยชีวิต?”

ผู้อาวุโสก้มไปมองหยกที่เขาเล่นอยู่ในมือตัวเองและถามอย่างประหลาดใจ

“แกรู้จักหยกอันนี้?”

เฉินฮั่นหลงตกใจ หลังจากนั้นสายตาก็เป็นประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง เขาส่ายหน้าและพูดยิ้ม ๆ ว่า “ฉันมองผิดไปแล้ว แต่ว่าหยกนี้สวยดีนะ ฮ่าฮ่าฮ่า…”

ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ผู้อาวุโส เจิ้งก่วงอี้ที่อยู่ด้านข้างก็รู้สึกเหยียดหยามเฉินฮั่นหลง พวกเขาเห็นมุมปากเฉินฮั่นหลงมีน้ำลายไหลออกมาอย่างรวดเร็ว สายตาที่ร้อนแผดเผาราวกับจะทำให้หยกละลายได้

ภายในใจคงอยากจะได้มาไว้ครอบครอง แต่ยังกล้าหน้าด้านพูดว่า ตัวเองไม่รู้จัก ไอ้หมอนี้มันหน้าด้านหน้าทนจริง ๆ

ผู้อาวุโสก็รู้สึกเหยียดหยามอยู่ในใจ แต่สีหน้ายังคงเดิม “ฉันก็รู้สึกว่า หยกนี้มันของดีจริง ๆ”

“ท่านตาครับ ฉันคนนี้ไม่ได้มีงานอดิเรกอะไรมาก ก็คือชื่นชอบหยกมาตั้งแต่เกิด ถ้าหากว่าคุณตัดสินใจขายหยกนี้ให้ฉัน ฉันจะให้ราคา 5 ล้าน คุณคิดว่าไง? คุ้มค่าหรือเปล่า?” เฉินฮั่นหลงพูดอย่างจริงใจ

ผู้อาวุโสรู้สึกตกใจไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าเฉินฮั่นหลงจะยอมจ่าย 5 ล้านหยวนเพื่อสิ่งนี้? และนี่ก็แสดงให้เห็นว่า หยกนี้ลึกลับยากจะหยั่งถึง ไม่เช่นนั้นเฉินฮั่นหลงที่มีนิสัยเป็นพ่อค้าหน้าเลือด จะยอมจ่ายขนาดนี้ทำไม? ทางด้านเจิ้งก่วงอี้เอง ก็มีสีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

หากไม่ใช่ว่าเฉินฮั่นหลงอยากได้หยกจนน้ำลายหก เขาก็เกือบจะเชื่อที่เฉินฮั่นหลงพูดออกมาว่า ชอบหยกจริงๆ ผู้อาวุโสแกล้งคิดไตร่ตรองอยู่สักพัก ก่อนจะมองไปยังเฉินฮั่นหลงและพูดว่า “ไม่ขาย”

เฉินฮั่นหลงตกใจจนพูดขึ้นมา “ผู้อาวุโส 5 ล้านเลยนะ? คุณโง่หรือเปล่า?”

ผู้อาวุโสรู้สึกโกรธเคือง เจ้าคนนี้ไร้ยางอายเกินไปแล้ว ตอนที่อยากซื้อก็เรียกเขาว่าท่านตา พอได้ยินว่าไม่ขายก็ตะโกนร้องว่าผู้อาวุโส

“เฉินฮั่นหลง คิดว่าบนโลกทั้งใบจะมีแกฉลาดแค่คนเดียวหรือไง ถ้าหากว่ามูลค่าของสิ่งของนี้ไม่เกินห้าล้าน แกจะยอมจ่ายเงินทำไม? แกเป็นคนที่อันธพาลไร้เหตุผล ยังกล้าพูดว่าชอบหยก คำพูดผีๆ แบบนี้พูดออกมาคิดว่าใครจะเชื่อ?” ผู้อาวุโสอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก

เฉินฮั่นหลงใบหน้าแดงก่ำ รู้ว่าตัวเองถูกหยอกเล่นแล้ว “ผู้อาวุโส คุณกล้าหยอกฉันเล่นเหรอ?”

“หยอกเล่นแล้วจะทำไม? ไม่ยอมรับแล้วมาชี้โบ๊ชี้เบ๊อีก แต่ดูแกสิร้อนใจใหญ่แล้ว อยากรู้เรื่องนายท่านสินะ” ผู้อาวุโสพูดอย่างยั่วยุ เขาอยากจัดการลงโทษเฉินฮั่นหลงคนนี้ มันเป็นอันธพาลที่ไร้เหตุผลและไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ สมควรโดนลงโทษ

“ผู้อาวุโส คุณคันผิวหน้าใช่ไหม? เดี๋ยวน้องจะเกาเบาๆ ให้เอง….” พูดอยู่ เฉินฮั่นหลงก็ชกไปที่หน้าอกของผู้อาวุโสทันที

ใบหน้าของเฉินฮั่นหลงเต็มไปด้วยความจองหองทั้ง ๆ ที่ความสามารถก็งูๆ ปลาๆ แต่ยังกล้าที่ลงมือกับผู้อาวุโส ตอนที่เฉินฮั่นหลงกำลังชกออกไป ทันใดนั้นก็มีสิ่งประหลาดที่ผุดขึ้นมาอย่างฉับพลัน เขาเห็นม่านพลังปรากฏอยู่ตรงหน้าก่อนที่มันจะเคลื่อนไหวเป็นระลอกคลื่น

“ปัง!”

หมัดของเฉินฮั่นหลงกระแทกม่านพลังที่สว่างไสว จน เฉินฮั่นหลงกระเด็นออกมาและได้แต่ร้องอย่างน่าเวทนา

“ตุ้บ…! โครม…!”

โต๊ะตัวหนึ่งถูกเฉินฮั่นหลงกระแทกจนพัง เขาร้องด้วยความเจ็บปวด เจิ้งก่วงอี้มองไปยังผู้อาวุโสด้วยความตกใจ

ชายชราคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว! อันที่จริงผู้อาวุโสเองก็ตกใจ เพราะนี่ไม่ใช่พลังของเขา เขาพยายามคิด ว่ามันคืออะไรก่อนจะก้มมองไปยังหยกที่อยู่ในมือ หรือเป็นเพราะหยกอันนี้? ผู้อาวุโสเดินไปด้านหน้า ก่อนจะจับตัวเฉินฮั่นหลงให้ลุกขึ้นมา

“ผู้อาวุโส รีบปล่อยมือเถอะ ฉันไม่ต่อยแล้ว…….” เฉินฮั่นหลงร้องตะโกนก่อนแยกเขี้ยวยิงฟันอย่างเจ็บปวด เขารู้สึกโกรธจนลืมไปแล้วว่า ผู้อาวุโสมีหยกช่วยชีวิตอยู่

“เฉินฮั่นหลง เมื่อกี้คือผลของหยกใช่หรือเปล่า?” ผู้อาวุโสเอ่ยถามก่อนจะแบมือข้างที่มีหยกออกมา เฉินฮั่นหลงสายตาร้อนแผดเผาจากความโลภ ก่อนจะรีบยื่นมือเข้าไปแย่งมาทันที

“นิสัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” ผู้อาวุโสสะบัดแขนโยนร่างของเฉินฮั่นหลงออกไปให้ตกอยู่กลางห้องโถง

“โอ๊ย…ตาเฒ่า นี่จะฆ่าฉันให้ตายเลยหรือไง!” เฉินฮั่นหลงร้องออกมาอย่างน่าเวทนา

จริงๆ แล้ว เดิมทีเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก เพราะเขาไปบ้านพักตากอากาศของฉู่ชวิ๋นบ่อย ๆ ร่ายกายได้รับการฟื้นตัวและยังดื่มหยดน้ำพลังเทพเซียน ทำให้ร่างกายแข็งแรงยิ่งกว่าวัวซะอีก

“เฉินฮั่นหลง ฉันรู้ว่าแกรู้จักหยกอันนี้ งั้นแกก็ควรจะเข้าใจชัดเจนสินะว่า หยกนี้ใครเป็นคนมอบให้ฉัน? ถ้าเช่นนั้น แกลองคิดคำพูดที่ฉันพูดก่อนหน้านี้ดี ๆ แกน่ะมีหายนะแล้วจริงๆ”

เฉินฮั่นหลงสายตากระตุกวูบ อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเจิ้งก่วงอี้ เขาเห็นว่าเจิ้งก่วงอี้ก็พยักหน้าให้ลองถามดู ภายในใจก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลขึ้นมา

“ผู้อาวุโส ที่พูดนั่นเป็นความจริงงั้นเหรอ?”

ผู้อาวุโสกลับร้อง ‘เฮอะ’ อย่างเย็นชาและทำเป็นไม่สนใจ! แต่ก็แอบคิดอย่างลำพองใจ ดูสิว่าใครกันแน่ที่จะกระวนกระวายใจมากกว่ากัน?

เจิ้งก่วงอี้เองก็ไม่หยุดขยิบตาส่งสัญญาณให้เฉินฮั่นหลง ทางด้านเฉินฮั่นหลงเองก็ไม่ได้โง่ เขารู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ผู้อาวุโสไม่สบอารมณ์เป็นเพราะอะไร

เขาจึงยิ้มประจบสอพลอ ก่อนจะพูดขึ้นมา “ท่านตาครับ ท่านรบกวนช่วยเปิดปากทองคำบอกเด็กน้อยคนนี้ด้วยเถอะ”

ผู้อาวุโสมองเฉินฮั่นหลง แม้ในใจจะแอบรู้สึกดี แต่กลับตีหน้าขรึมและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แกต้องบอกประสิทธิภาพของหยกนี้ให้ฉันรู้ก่อน”

“ประสิทธิภาพ เมื่อกี้คุณก็แล้วไม่ใช่เหรอว่ามันทำอะไรได้?” เฉินฮั่นหลงพูดอย่างไม่สบายใจ

“ฉันต้องการรู้ทั้งหมด” ผู้อาวุโสพูด

“ถ้าหากว่า แกไม่อยากจะพูดงั้นก็ช่างมันเถอะ” พูดจบแล้วผู้อาวุโสก็ทำที่เป็นเดินจากไป

“รอก่อน ท่านตา ฉันจะบอกโอเคไหม?” เฉินฮั่นหลงสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์ ก่อนจะเริ่มอธิบายประสิทธิภาพของหยกนี้อย่างละเอียด

เมื่อเฉินฮั่นหลงพูดจบ เจิ้งก่วงอี้ก็ตกใจมาก เพราะหยกชิ้นนี้ สามารถช่วยชีวิตได้ แม้แต่ลูกกระสุนปืนก็ยังสามารถป้องกันได้ น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ภายในใจจึงอดไม่ได้ที่จะแอบอิจฉาผู้อาวุโสที่มีหยกชิ้นนี้ไว้ในครอบครอง เสมือนมีชีวิตที่สองสำรองเอาไว้

ทางด้านผู้อาวุโสเอง เมื่อได้รู้เรื่องนี้ก็ดีใจจนแทบบ้า เขาเอาหยกมาเก็บไว้ข้างกายอย่างระมัดระวัง หยกอันนี้ล้ำค่าเกินไปแล้ว เขาจะเอามันไปให้กับฮวาชิงหวู่หลังจากนี้เมื่อพบเจออันตรายใดๆ แม้เขาจะไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่ฮวาชิงหวู่ก็จะมีพลังของหยกปกป้องแทน

“คุณท่าน ท่านตาที่รัก…ฉันก็บอกจนหมดแล้วคุณจะบอกได้หรือยัง?” เฉินฮั่นหลงพูดอย่างวิงวอน

ผู้อาวุโสมองไปยังเขาก่อนจะปริปากพูด “เฮ้อ ยังจำหยดน้ำพลังเทพเซียนที่ให้คุณถางได้ไหม?”

“จำได้สิ! เกิดอะไรขึ้นเหรอ? นายท่านคงไม่โกรธฉันเพราะเรื่องนี้สินะ?” เฉินฮั่นหลงถามอย่างไม่เข้าใจ

“ไอ้โง่ แกอยู่ในวงการมาเฟียตั้งหลายปี ไม่รู้ว่าทรัพย์สินเงินทอง ไม่เข้าใครออกใครงั้นเหรอ? แกคิดว่าหยดน้ำพลังเทพเซียนที่มอบให้แก่คุณถางเธอจะสามารถเก็บรักษามันไว้ได้งั้นเหรอ?”

“คุณหมายความว่ายังไง?” เฉินฮั่นหลงในใจรู้สึกหวาดหวั่นและรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ดี

ผู้อาวุโส ‘เฮอะ’ ออกมาอย่างเย็นชา

“หลังจากที่แกมอบหยดน้ำพลังเทพเซียนให้คุณถางก็ถูกคนที่จ้องจะขโมยมันไป พวกเขาลงมือกับคุณถางโร้วและครอบครัวระหว่างทางกลับบ้าน” เฉินฮั่นหลงพอได้ยินก็หน้าเขียวหน้าดำอยากจะบ้าตายขึ้นมาทันที

“มันเป็นใคร? ฉันจะไปฆ่าล้างตระกูลมัน!” เฉินฮั่นหลงโกรธจนตะโกนออกมา

“คนที่บงการ ฉันจัดการมันเรียบร้อยแล้ว ส่วนคนที่ลงมือฉันบอกได้แค่ว่า พวกมันคือองค์กรแมงป่องพิษ” ผู้อาวุโสพูด

“องคร์กรแมงป่องพิษ” เฉินฮั่นหลงตกใจจนมีเม็ดเหงื่อผุดมาจากหน้าผากก่อนจะไหลลงมา สีหน้าของเจิ้งก่วงอี้เองก็เปลี่ยนไปเขาจะไม่รู้จักองค์กรแมงป่องพิษได้ยังไง?

“พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้คุณถางไม่เป็นไรแล้ว เธอปลอดภัยดี” ผู้อาวุโสพูด

“ตุ้บ!” เฉินฮั่นหลงเดินเข้าไปคุกเข่าต่อหน้าผู้อาวุโส

“ขอบคุณๆ ผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิตคุณถาง บุญคุณในครั้งนี้ ฉัน เฉินฮั่นหลงจะไม่มีวันลืม” การที่ผู้อาวุโสช่วยชีวิตถางโร้ว ก็เปรียบเสมือนช่วยชีวิตเขาทางอ้อมด้วย แม้เขาจะมึนงงแต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ผู้อาวุโสยังช่วยเอาไว้ได้ทันนับว่าเขาโชคดีจริง ๆ

ผู้อาวุโสกลับส่ายหน้า “ไม่ใช่ฉันที่ช่วยคุณถาง แต่เป็นนายท่านเอง ไม่งั้นผลลัพธ์คงเลวร้ายจนไม่อาจคาดคิด”

เฉินฮั่นหลงฟังจบก็เกือบจะเป็นลมล้มไป แม้แต่นายท่านยังเคลื่อนไหวแล้ว เสื้อด้านหลังของเขาก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ต่อมาก็นั่งล้มลงอยู่ที่พื้น สีหน้าซีดเผือด เมื่อกี้เขายังคุยโม้โอ้อวดว่าจะช่วยขอร้องให้เจิ้งก่วงอี้รอด ตอนนี้เหมือนว่าตัวเขาเองก็เอาตัวไม่รอดซะแล้ว