ตอนที่ 688 ซ่งซินกับความพ่ายแพ้!

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์

ที่ปลายสาย สีหน้าต้วนจิ่งหงซีดเผือด…

 

 

เธอสัมผัสถึงคำเตือนของโม่ถิงได้อย่างชัดเจน…

 

 

หากไห่รุ่ยสามารถผลักดันให้ซ่งซินสูงขึ้นได้ พวกเขาก็สามารถลากเธอลงมาได้เช่นกัน นี่คือพลังอันทรงอำนาจที่โม่ถิงมี เขาสามารถให้สิ่งที่ดีที่สุดได้ตราบใดที่คนคนนั้นไม่คิดท้าทายอำนาจเขา

 

 

นั่นคือเหตุผลที่ทำไมศิลปินทุกคนในไห่รุ่ยต่างเคารพโม่ถิงและเกรงกลัวในเวลาเดียวกัน

 

 

ต้วนจิ่งหงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีกต่อไปเพราะกลัวว่านั่นอาจเป็นการทำลายอนาคตของซ่งซิน ดังนั้นเธอจึงรีบระงับความโกรธของตัวเองอย่างรวดเร็ว

 

 

โชคยังดีที่เธอไม่ได้บอกว่าเธอโทรมาตามที่ซ่งซินสั่ง ไม่เช่นนั้นสถานการณ์อาจเลยเถิดไปจนเกินกว่าจะแก้ไขได้

 

 

หลังเดินกลับไปยังรถตู้ของศิลปิน ต้วนจิ่งหงก็มองหน้าซ่งซินและกล่าวปลอบโยนอีกฝ่าย “ฟังอวี้บอกว่าพรุ่งนี้เขาจะดูเรื่องนี้ให้”

 

 

“ทำคืนนี้เลยไม่ได้หรือไง”

 

 

“เธอก็รู้ดีนี่ว่าเมียเขา…”

 

 

“ใช่ มันเป็นแบบนั้นเพราะฉันไง!” ซ่งซินไม่พูดอะไรอีก เธอเพียงแค่หลับตาลงพักผ่อน ต้วนจิ่งหงเข้าใจว่าอีกเดี๋ยวอีกฝ่ายคงจะลืมเรื่องทั้งหมดแต่ในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น แต่ซ่งซินลากต้วนจิ่งหงไปถึงห้องทำงานของฟังอวี้ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ของเขาและเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นกับรายการทอร์กโชว์เมื่อคืนนี้คะ

 

 

“คนพวกนั้นไม่รู้จักตัวตนของฉันหรือไง”

 

 

ฟังอวี้ทำงานภายใต้คำสั่งของโม่ถิง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องแน่นอนที่เขาจะรู้ว่าซ่งซินกำลังพูดถึงอะไร ดังนั้นเขาจึงยิ้มเล็กน้อยก่อนถาม “ตัวตนอะไร”

 

 

“ปู่ของฉัน…”

 

 

“ตอนนี้น้องชายของโปรดิวเซอร์คนนั้นได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งสำคัญของรัฐบาล แล้วคุณยังจะอ้างปู่ที่เกษียณอายุไปแล้วของคุณอยู่อีกเหรอ” ฟังอวี้ต่อว่า “ซ่งซิน คุณไม่คิดว่าคุณล้ำเล้นไปหน่อยหรือไง”

 

 

ทั้งซ่งซินและต้วนจิ่งหงต่างพากันอึ้ง ฟังอวี้ตอกกลับซ่งซินด้วยท่าทีไม่ไว้หน้าแบบนี้ได้อย่างไร

 

 

ที่สำคัญกว่านั้นคือซ่งซินกำลังถูกบังคับให้ยอมรับว่ามีคนที่อยู่เหนือเธอเสมอ

 

 

เธอเกลียดความรู้สึกถูกข่มเหง เธอรังเกียจมันที่สุด!

 

 

“เรื่องในครั้งนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายใหญ่โตอะไรให้คุณ คุณแค่ได้ออกหน้ากล้องน้อยกว่าปกตินิดหน่อยเท่านั้น ศิลปินหลายๆ คนก็เคยโดนแบบนี้ แล้วคุณจะเดือดร้อนทำไมกัน แล้วเมื่อคืนคุณยังโทรหาประธานโม่อีก คุณรู้หรือเปล่าว่าประธานโม่เกลียดอะไรมากที่สุด

 

 

“เขาเกลียดพวกอีโก้สูง แล้วพวกอีโก้สูงที่ผมว่าคือคนแบบไหนงั้นเหรอ ก็พวกคนที่คิดว่าตัวเองสำคัญกว่าคนอื่น…

 

 

“ถ้าพวกคุณไม่มีเรื่องอะไรอื่นอีกก็ออกไปได้แล้ว”

 

 

ซ่งซินไม่เคยต้องอับอายแบบนี้มาก่อนในชีวิต หลังจากถูกฟังอวี้ต่อว่า ดวงตาทั้งสองข้างของเธอก็บวมแดง หากเธอทำได้ เธอจะสับฟังอวี้ให้เป็นพันๆ ชิ้น

 

 

“ซ่งซิน ออกไปกันก่อนเถอะ” ต้วนจิ่งหงรู้ว่าไม่ใช่เรื่องฉลาดที่จะมีปัญหากับเอเจนซี่ในช่วงเวลาแบบนี้ เพราะถึงยังไงตอนนี้ซ่งซินก็กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นและไห่รุ่ยเองก็เป็นที่ที่ดีที่สุดในวงการ

 

 

หากพวกเธอมีเรื่องกับไห่รุ่ย แล้วซ่งซินจะมีโอกาสไขวคว้าอะไรได้อีก

 

 

“จำคำที่คุณพูดวันนี้เอาไว้ให้ดี!”

 

 

พูดจบ ซ่งซินก็เดินตึงตังด้วยความโกรธนำหน้าต้วนจิ่งหง ทำให้พนักงานของไห่รุ่ยรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง

 

 

เมื่อกลับมาถึงห้องของตัวเอง ซ่งซินนั่งเงียบที่เก้าอี้ของเธอ ต้วนจิ่งหงปล่อยให้อีกฝ่ายอารมณ์เย็นลง ก่อนที่เธอจะตบลงบนบ่าของอีกฝ่าย “อย่าโกรธไปเลยนะ… เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”

 

 

“ทำไมพวกมันถึงทำกับฉันแบบนี้”

 

 

“ถ้าเธอคิดดีๆ ไห่รุ่ยไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ ประธานโม่เองก็เป็นคนดุแถมไร้ความปรานีมาตลอด เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่ไว้หน้าเธอ เพราะอย่างนี้เธอถึงเลือกที่จะเข้ามาอยู่ในไห่รุ่ยตั้งแต่แรกไม่ใช่เหรอ ส่วนฟังอวี้ ถึงเขาจะพูดไม่น่าฟังเท่าไหร่ แต่ก็มีเหตุผล พื้นเพของเธออาจจะยิ่งใหญ่แต่ก็ยังมีคนอีกมากมายในโลกนี้ที่มีพื้นเพใหญ่โต คิดซะว่าวันนี้นับเป็นบทเรียนก็แล้วกันนะ

 

 

“อีกอย่าง… อย่าลืมว่าเราเป็นคนทำให้เมียเขาบาดเจ็บ ตอนนี้ก็ทนๆ ไปก่อนแล้วกัน”

 

 

หลังจากได้ยินคำแนะนำของต้วนจิ่งหง ซ่งซินก็พยายามระงับความโกรธที่ปะทุอยู่ภายใน

 

 

“สักวันฉันจะทำให้มันต้องมาคุกเข่าต่อหน้าฉัน…”

 

 

“แน่นอน ซ่งซินของเราไร้เทียมทานอยู่แล้ว”

 

 

การมีความมั่นใจนั่นเป็นเรื่องดี แต่ก็ไม่ควรมั่นใจในตัวเองมากจนเกินไป

 

 

ที่จริงแล้วฟังอวี้เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ได้ เมื่อดูจากความก้าวหน้าของซ่งซินแล้วไม่ต้องสงสัยว่าตอนนี้เธอกำลังดัง ถึงเธอจะเป็นคนเห็นแก่ตัวและหยิ่งยโส แต่โม่ถิงไม่จำเป็นต้องออกคำสั่งไม่ให้อีกฝ่ายได้ก้าวหน้าในหน้าที่การงานด้วยตัวเองเลย

 

 

แต่ถังหนิงไม่คิดจะเปิดเผยความจริงในทันทีเพราะเธอไม่รู้ว่าฟังอวี้จะทำอะไรเมื่อรู้เรื่องทั้งหมด

 

 

แม้เธอจะสามารถยืนยันได้แล้วในระดับหนึ่ง แต่มันก็เป็นเพียงลางสังหรณ์เท่านั้น

 

 

ในเมื่อซ่งซินชอบเล่นเกมแมวจับหนู… ถังหนิงก็จะเล่นด้วย

 

 

เช้าวันนั้น ไป๋ลี่หวากลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลเป่ย หลังจากที่ตัวตนของเธอได้รับการยืนยันแล้ว ผู้อาวุโสเป่ยก็ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดทั้งหมดที่ไป๋ลี่หวาต้องประสบพบเจอและพร้อมที่จะต้อนรับลูกสาวที่แท้จริงของเขากลับบ้าน

 

 

ถังหนิงเดินทางไม่สะดวกนัก เธอจึงไม่ได้ไปเป็นเพื่อนไป๋ลี่หวา แม้เธอจะอยากพบคุณตาของโม่ถิงก็ตาม

 

 

 

 

ขณะเดียวกัน นับตั้งแต่วันที่เฉินซิงเยียนและอันจื่อเฮ่าสารภาพความในใจต่อกัน คำพูดจาของเฉินซิงเยียนก็ฟังดูราวกับสาวน้อยที่กำลังมีความรัก

 

 

ในช่วงเวลานี้ การแข่งขันระหว่างเธอกับหลิงหลงยิ่งทวีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ขณะที่ผู้กำกับเริ่มปรารถนาที่จะให้โอกาสเธอมากขึ้นเรื่อยๆ และเธอต้องเข้าฉากที่มีความยากและจริงจังมากขึ้นเช่นกัน เมื่อการแข่งขันเกิดขึ้น ความท้าทายก่อให้เกิดความรู้สึกทั้งรักและเกลียดแต่เธอพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

 

ผู้กำกับไม่ได้บอกเธอว่าทั้งหมดนี่เป็นแผนของอันจื่อเฮ่า และเขาไม่ได้บอกเธอด้วยว่าทุกฉากที่เธอลองแสดงนั้นได้รับการถ่ายเก็บไว้อย่างครบถ้วน

 

 

ในตอนแรก หลิงหลงเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ในฐานะผู้ช่วยให้เฉินซิงเยียนพัฒนาตัวเอง ก็เป็นเรื่องยากที่จะยอมรับว่าเฉินซิงเยียนพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ

 

 

คืนนั้น เฉินซิงเยียนยังคงถ่ายทำจนถึงกลางดึก แต่อันจื่อเฮ่าจำเป็นต้องกลับไปยังกองถ่ายของ ‘ชายาหนิง’ ในเช้าวันต่อไป

 

 

อันจื่อเฮ่าอยากให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะถึงอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกมาก แต่นี่เป็นความสัมพันธ์ครั้งแรกของเฉินซิงเยียน

 

 

เธอฝันที่จะได้อยู่เคียงข้างคนรักของเธอตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงและไม่อยากเสียเวลาไปแม้แต่นาทีเดียว

 

 

ส่งผลให้อันจื่อเฮ่าต้องอยู่ค้างในคืนนั้น แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้องของเฉินซิงเยียน แต่เลือกที่จะนอนกับพื้นที่กองถ่ายแทน ทั้งสองไม่อาจปล่อยให้ใครล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาได้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองกันและกันอยู่เสมอ ช่างเป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยเสียจริง…

 

 

จนกระทั่งเช้าวันต่อมา ขณะที่ไม่มีใครทันสังเกต ในที่สุดเฉินซิงเยียนก็ได้โอกาสโน้มเข้าหาใบหน้าอันจื่อเฮ่าและหอมแก้มเขาอย่างรวดเร็วก่อนที่เธอจะรีบกลับมาอยู่ที่เดิม

 

 

อันจื่อเฮ่าอดยิ้มไม่ได้ “เธอยังเด็กอยู่จริงๆ นั่นแหละ ฉันคงเริ่มแก่ไปแล้วสินะ…”

 

 

“อะไร นายไม่ชอบหรือไง”

 

 

“เดี๋ยวคนอื่นก็เห็นหรอก” อันจื่อเฮ่าพูดพลางยันหน้าผากของเด็กสาว

 

 

“เราเป็นแฟนกันนี่ ทำไมทำไม่ได้ล่ะ”

 

 

“เพื่อปกป้องตัวเธอเอง” อันจื่อเฮ่าลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางนวดแขนที่เป็นเหน็บของตัวเอง “ฉันต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ”

 

 

“นายจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอ” เฉินซิงเนียนจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง

 

 

“ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเธอ…” อันจื่อเฮ่าตอบก่อนหันหลังเดินออกไป

 

 

บางครั้ง แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจเข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้เลือกแฟนสาวที่ทั้งเด็กและเป็นตัวป่วนอีกแล้ว

 

 

หรืออาจเป็นเพราะ…

 

 

…เขาเกิดมาชอบโดนรังแกกันนะ