ความวุ่นวายสิ้นสุดลง โดย ProjectZyphon

เรือนโบราณ นครต้องห้าม

เพล้ง! เพล้ง!

ในห้องที่ปิดมิดมีเสียงแตกของสิ่งของและมีเสียงก่นด่า

องครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกห้องสองคนตัวสั่น หลังจากที่ทัพหน้าส่งข่าวมา ในห้องก็สั่นสะเทือนปานแผ่นดินไหว

“ผู้ฝึกปราณยอดฝีมือสามพันคน เหลือรอดอยู่ไม่กี่ร้อยอย่างนั้นหรือ พวกตัวขยะ!”

“ตู้ซิงชวนผู้นั้นสมควรตาย!”

“มีใครบอกข้าได้บ้างว่าเด็กคนนั้นโจรกรรมเรือรบวีรชนม่วงได้อย่างไร แล้วยังเอามายิงเรือรบของเราจนเละหมดเลย”

“เรือรบวีรชนม่วงรุ่นใหม่หกลำเชยวนะ ราคาลำละหนึ่งแสนสองหมื่นเหรียญทอง แถมยังเป็นของที่มีเงินก็ซื้อไม่ได้ แต่ตอนนี้…มีสองลำที่เสียหายอย่างหนัก ที่เหลือเสียหายไม่เป็นท่า! ใครจะรับผิดชอบ”

“บัดซบ!”

เหล่าบุตรหลานตระกูลใหญ่ที่เป็นผู้ช่วยก่นด่าไม่รักษาอาการกับข่าวที่เพิ่งได้รับ

ที่พื้น มีเศษแก้วชา เศษโต๊ะเก้าอี้และของต่างๆ แตกกระจาย

แสงเทียนสว่างไสวสะท้อนให้เห็นใบหน้าถมึงทึงคล้ำเขียวของแต่ละคน

ภารกิจที่วางแผนมาอย่างดี ระหว่างเส้นทางเมืองหมอกอำพรางจนถึงนครต้องห้าม จัดเตรียมกองกำลังและทรัพยากรของจำนวนมาก แต่สุดท้ายกลับพ่ายแพ้

แพ้ให้เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบกว่าปี!

แพ้ราบคาบ!

ใครจะไปรับได้

“ไม่ได้เรื่อง! พวกตัวขยะ! ถ้าตู้ซิงชวนกลับมา ข้าจะจัดการเขาเสีย!”

เสียงก่นด่ายังคงดำเนินต่อไป

มีเพียงฉือฉางเหมยที่ไม่ได้เอ่ยอะไรมาตั้งแต่ต้น นางนั่งอยู่ลำพัง ใบหน้าเข้มสวยไร้อารมณ์ นิ่งจนคล้ายรูปปั้น ไม่ว่ารอบข้างจะมีเสียงก่นด่าเพียงใดนางก็ยังเฉยเมย

ไม่รู้ผ่านมานานแค่ไหนเสียงก่นด่านั่นจึงเริ่มหายไป เหล่าบุตรหลานตระกูลใหญ่ด่าจนเหนื่อย ต้องนั่งพักทั้งที่ยังอารมณ์เสีย

“ไม่ด่าแล้วหรือ” ฉือฉางเหมยที่เงียบมานานเอ่ยขึ้น นางเงยหน้าสายตาดูแคลนไม่ปิดปังกวาดมองไปรอบๆ อย่างไม่ปิดใจ

เหล่าผู้ช่วยกระอักกระอ่วน ไม่กล้าสบตาฉือฉางเหมย

“กองกำลังพวกนั้นถึงจะไม่ได้เรื่องแค่ไหนก็เคยเอาชีวิตเข้าแลก ข้าเป็นพยานได้ว่าการตายเกิดขึ้นจากความพยายาม พวกเจ้าต่างหาก…” ฉือฉางเหมเสียงเย็น “ที่ควรจะเรียกว่าตัวขยะ!”

ตัวขยะ!

ถูกหยามตรงๆ เช่นนี้ เหล่าผู้ช่วยได้แต่กำหมัดแน่นไม่กล้าตอกกลับ

“ดูสิ แม้แต่จะต่อคำข้ากลับก็ไม่กล้า แล้วพวกเจ้าจะมีประโยชน์อะไร”

ฉือฉางเหมยเสียงราบเรียบลงเรื่อยๆ คำพูดกลับยิ่งแฝงความถากถาง “ข้าผิดเองที่คาดการณ์ผิดพลาด เก็บพวกเจ้าเอาไว้เป็นผู้ช่วยตั้งแต่คราวแรก บางทีนี่อาจจะบอกได้ว่าข้า ฉือฉางเหมยก็แค่คนโง่ตาถั่วเท่านั้น”

ยิ่งนางพูดอย่างนี้ยิ่งทำให้เหล่าผู้ช่วยกระอักกระอ่วน

“เหมยจวิ้นจู่ แม้ภารกิจครั้งนี้จะล้มเหลว แต่เป้าหมายยังไม่ได้เข้ามาในนครต้องห้าม นั่นหมายความว่าพวกเรายังมีโอกาส” ในที่สุดก็มีคนทนไม่ไหว เอ่ยขึ้น “ข้ายินดีเป็นทัพหน้าสังหารเด็กคนนี้”

“ใช่แล้ว พวกเราก็ยินดี”

คนอื่นเริ่มว่าตาม เพื่อแสดงความภักดี

ฉือฉางเหมยเมินเฉย มองคนเหล่านั้นด้วยความเวทนา “พวกเจ้าแน่ใจหรือ”

“แน่นอน” ผู้ช่วยเหล่านั้นเอ่ยไม่ลังเล

ฉือฉางเหมยคล้ายนึกอะไรได้ จึงแค่นหัวเราะออกมา “เช่นนั้นข้าขอถามหน่อย ใครกล้ารับรองว่าจะสามารถสังหารเป้าหมายได้ด้วยความสามารถตัวเอง พวกเจ้าไม่ต้องรีบตอบก็ได้ เพราะข้าถามจริงจัง”

เหล่าผู้ช่วยพากันนิ่งไป ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรอีก

หลายวันมานี้พวกเขาจับตามองภารกิจของทัพหน้าอยู่ตลอด จะไม่ทราบได้อย่างไรว่าเป้าหมายเป็นตัวประหลาดฝีมือร้ายกาจ แม้แต่เรือรบวีรชนม่วงหกลำและผู้ฝึกตนยอดฝีมือสามพันคนร่วมมือกันก็ยังพ่ายแพ้ให้กับเด็กคนนี้ หากพวกเขาไปจะชนะได้อย่างไร

ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาเอะอะอยากไปเป็นทัพหน้าก็เพียงเพราะถูกฉือฉางเหมยดูแคลนจนเสียหน้า จึงเอ่ยออกไปด้วยความโมโห หากให้พวกเราไปสู้กับเป้าหมายจริงๆ เกรงว่าจะวิ่งหนีไวเสียยิ่งกว่ากระต่าย

ฉือฉางเหมยหยัดกายลุกด้ายท่าทีห่างเหิน “งานเลี้ยงฉลองไม่มีแล้ว ทุกท่านตามสบายเถิด” นางว่าพลางผลักประตูจากไป

คำพูดคล้ายไม่ได้ข่มขู่ แต่เหล่าผู้ช่วยต่างตระหนกกันได้แล้ว พวกเขาทราบดี ฉือฉางเหมยกำลังโกรธจริงๆ แล้ว ผลลัพธ์ที่จะตามมานั้นมีไม่น้อยแน่ๆ

ยามค่ำคืน ฉือฉางเหมยนั่งอยู่ในรถม้า มองไข่มุกตรงหน้าด้วยความสับสน

ไม่ขุกนั้นสะท้อนสงภาพหนึ่ง เป็นภาพเด็กหนุ่มท่ามกลางความมืดเงยหน้ายิ้มโบกมือให้กับท้องฟ้า

ฉือฉางเหมยมองเงียบๆ คล้ายสบตาอยู่กับเขา นางรู้มานานแล้วว่าเด็กหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลานี้คือหลินสวิน เพียงแต่เมื่อได้มองเขาอีกครั้งในยามนี้ กลับพบว่าเด็กหนุ่มคนนี้ช่างแปลกหน้าเหลือเกิน คล้ายไม่ใช่คนที่นางคุ้นเคยมาก่อน

เขาในยามนี้ดูยิ้มแย้ม เป็นรอยยิ้มที่พูดได้ว่าสว่างไสว แต่สำหรับฉือฉางเหมยแล้ว รอยยิ้มนี้ขัดตานัก โดยเฉพาะในตอนที่สบตากับนัยน์ตาสีดำล้ำลึกราบเรียบปานน้ำนิ่งไร้ซึ่งระลอกคลื่นคู่นั้น มันทำให้นางเดาอารมณ์ของเขาไม่ออก และพาให้เกิดความรู้สึกหวาดหวั่น

ปัง!

นางบีบไข่มุกนั้นแหลกละเอียดด้วยท่าทีเย็นชา แม้เจ้าจะมาถึงนครต้องห้าม ข้าก็จะไม่รามือเด็ดขาด!

“ท่านพ่อ ภารกิจล้มเหลวแล้วเจ้าค่ะ”

เมื่อกลับมาถึงตระกูล ฉือฉางเหมยก็ตรงมาที่ห้องหนังสือของฉือหลิงเซียว ผู้เป็นบิดา

ฉือฉางเหมยปลดความเข้มแข็งที่แบกไว้ ท่าทีที่เคยมีเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานเชื่อฟัง เมื่อเห็นบิดาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ

“อืม เล่ามาให้ละเอียดสิ”

ฉือหลิงเซียวพูด เขาเป็นชายร่างผอม สวมชุดโบราณท่าทางสุภาพเรียบร้อย เต็มไปด้วยกลิ่นอายของหนังสือ เขานั่งหลังเหยียดตรง สองไหล่ไม่ได้กว้างแต่กลับแข็งแกร่งดั่งภูเขาที่แบกฟ้าได้ทั้งผืน

ฝ่ายบุตรสาวใคร่ครวญสักพักจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา

ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉือหลิงเซียวยังคงเปิดอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะเงียบๆ จนกระทั่งฉือฉางเหมยเล่าจบ เขาถึงพยักหน้าเอ่ย “ไม่เลว ที่ควรทำพวกเราก็ทำแล้ว ไม่ว่าสำเร็จหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเรา”

ฉือฉางเหมยงงงัน ไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง อะไรคือไม่ว่าสำเร็จหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเรา

ภารกิจครั้งนี้ล้มเหลว สูญเสียกองกำลังมากมาย เหตุใดจึงไม่เกี่ยวกับเรา

“ท่านพ่อ นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ” ฉือฉางเหมยอดไม่ได้ถามขึ้น

ผู้เป็นบิดาปิดตำราในมือ “นับแต่รับปากสัญญาว่าจะไม่ส่งกำลังที่พลังสูงกว่าระดับผสานวิญญาณร่วมในภารกิจครั้งนี้ ผลลัพธ์ก็ถูกกำหนดไว้แล้ว หากชนะเด็กคนนี้ก็จะตาย หากแพ้แล้ว เด็กคนนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาในนครต้องห้าม”

ว่าถึงตรงนี้ฉือหลิงเซียวก็ผุดยิ้ม “หากเจ้าคิดถึงเบื้องหลังของคำสัญญาก็จะเข้าใจ เบื้องหลังมีคนอยากให้เด็กตระกูลหลินคนนี้กลับมา แต่ก็มีคนที่ไม่อยากให้เขากลับมาเช่นกัน จึงจัดภารกิจครั้งนี้ขึ้นมา”

ฉือฉางเหมยเคยใคร่ครวญปัญหานี้ แต่เมื่อได้รับคำอธิบายจากบิดาก็ตกตะลึง “ที่แท้ ที่แท้ไม่ใช่ตระกูลฉือต้องการจัดการหลินสวินคนนั้นหรอกหรือ”

“สถานะของเด็กคนนี้ซับซ้อนอยู่บ้าง เขาเกี่ยวพันกับเรื่องราวเมื่อสิบกว่าปีก่อน เดิมทีทุกคนคิดว่าเขาตายแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะกลับมาอีก…” ฉือหลิงเซียวพยักหน้าขณะเอ่ย

“ท่านพ่อ เขาเป็นใครกันแน่”

เด็กสาวถามด้วยความประหลาดใจ นางคิดไม่ถึงว่าเพียงแค่สถานะของหลินสวิน จะสร้างความวุ่นวายได้ถึงเพียงนี้

แม้แต่ตระกูลฉืออย่างพวกเขายังเป็นได้เพียงตัวประกอบ แล้วอำนาจของตัวละครหลักหลังม่านจะยิ่งใหญ่เพียงใดกัน

“เมื่อเด็กคนนี้มาถึงนครต้องห้ามเจ้าก็จะรู้เอง”

ฉือหลิงเซียวเอ่ย “เหมยเอ๋อร์ เรื่องนี้เจ้าทำได้ดีมาก แม้จะล้มเหลว แต่ภารกิจก็ผ่านลุล่วงด้วยดี ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพ่อเถอะ”

แม้ออกมาจากห้องหนังสือแล้ว ฉือฉางเหมยก็ยังคงงุนงง เดิมทีนางคิดว่าหากภารกิจล้มเหลว คงจะถูกท่านพ่อลงโทษอย่างหนัก ใครจะคิดว่าความล้มเหลวก็นับเป็นการลุล่วงภารกิจอย่างหนึ่ง

นี่มันอะไรกัน

ฉือฉางเหมยเพิ่งเคยรู้สึกถึงความไม่กระจ่างเป็นครั้งแรก แต่ไม่นาน นางก็ลงความเห็นกับตัวเองว่า หากรู้สถานะที่แท้จริงของหลินสวินแล้ว ก็จะได้รับคำตอบที่ตัวเองต้องการ

“หลินสวิน เจ้าเป็นใครกันแน่”

นางหอบความสงสัยออกจากตระกูลไป เพื่อไปสืบเรื่องราวเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่เกิดขึ้นในนครต้องห้าม

ปราสาทรัตติกาล

ชายชราเดินเข้ามาในโถงโล่งมืดมิด น้อมกายทำความเคารพ “คุณหนู ภารกิจของตระกูลฉือล้มเหลวแล้วขอรับ”

“เด็กคนนี้มีชีวิตอยู่ได้ ดูแล้วก็คงมีสิทธิ์ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ผู้เฒ่าที่หอดูดาวหลวงมีท่าทีอย่างไรบ้าง” เสียงของราชินีแห่งรัตติกาลดังกังวานขึ้นท่ามกลางความมืด

ฝ่ายชายชรามีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย สักพักจึงเอ่ยตอบ “เขาคล้ายว่าจะคาดเดาผลลัพธ์ได้อยู่แล้ว จึงพูดออกมาเพียงไม่กี่คำเท่านั้น”

“คำไหนบ้าง”

“ความวุ่นวายกำลังจะบังเกิด”

“ตาเฒ่านี่ชอบมีลับลมคมใน ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเมื่อเด็กหลินสวินมาถึงแล้ว เขาจะสร้างความวุ่นวายอะไรให้นครต้องห้ามบ้าง”

ณ หอดูดาวหลวง

ชายชราผู้ถูกขนานนามว่าราชครูนั่งมองวัฏจักรดวงดาวอยู่เพียงลำพัง ดวงตานั้นมีแววบริสุทธิ์สดใสคล้ายนัยน์ตาของเด็กเล็ก

ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถึงรำพึงขึ้นด้วยความพอใจ “ปิดบังมาสิบกว่าปี ใครจะคิดว่าหลังจากถูกควักชีพจรวิญญาณหุบเหวกลืนกินออกไปแล้วเด็กคนนี้ยังมีโอกาสกลับมาในนครต้องห้ามอีก โลกนี้ไม่แน่นอนจริงๆ”