บทที่ 41 ต่างคนต่างพูด Ink Stone_Romance
ฟ้าหลังฝน ท้องฟ้าสีครามสุกสกาว ก้อนเมฆพลบค่ำส่องแสงสว่างไสว
“พรุ่งนี้เป็นวันดี” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าวขณะมองออกไปข้างนอก
อาหารมื้อค่ำยังขึ้นโต๊ะไม่เสร็จ วันแสนวุ่นวายสิ้นสุดลงแล้ว บัดนี้เป็นช่วงที่สุขกายสบายใจที่สุด
“ท่านแม่เจ้าคะ”
เสียงของแม่นางเฉิงหกดังมาจากข้างนอก
ฮูหยินใหญ่เฉิงเอื้อมมือไปแตะหน้าผาก ลูกๆ ก็เหมือนหนี้สิน ชีวิตนี้สะบัดอย่างไรก็ไม่หมด
“ท่านป้าเจ้าคะ” เสียงของแม่นางเฉิงเจ็ดดังจากข้างหลัง
หญิงสาวทั้งสองนางถอดรองเท้าเกี๊ยะ แล้วนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าประกบซ้ายขวาฮูหยินใหญ่เฉิง
“จ้ะ” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม แล้วมองไปยังลูกสาวทั้งสอง ช่างงดงามเหมือนดอกไม้อะไรเช่นนี้
“ท่านป้าเจ้าคะ” แม่นางเฉิงสี่กับแม่นางเฉิงห้าที่ตามมาทีหลังถอดรองเท้าขึ้นมาอย่างเงียบๆ แล้วนั่งคุกเข่าลงเพื่อแสดงความเคารพอยู่ด้านข้าง
“เอาล่ะ พวกเจ้าพี่น้องสามสี่คนหิวกันหรือไม่” ฮูหยินใหญ่เฉิงถามด้วยรอยยิ้ม
“ท่านแม่เจ้าคะ ยังไม่กินตอนนี้เจ้าค่ะ” แม่นางเฉิงหกกล่าว
“ท่านป้าเจ้าคะ พวกเราอยากจัดงานเลี้ยงดอกเบญจมาศเจ้าค่ะ” แม่นางเฉิงเจ็ดชิงพูดก่อน
เมื่อถูกแม่นางเฉิงเจ็ดแย่งพูดไปก่อน แม่นางเฉิงหกจึงเบิกตาจ้องมองนาง
“หยุดพูดได้แล้ว เจ้าพูดไม่รู้เรื่อง ไปนั่งฟังข้างๆ ไป” นางพูดพร้อมดึงแขนท่านแม่ของนาง “ท่านแม่ พวกเราอยากจัดงานเลี้ยงดอกเบญจมาศ แล้วเชิญพวกแม่นางต่งมาเล่นที่บ้าน แข่งวาดภาพและจัดดอกไม้ด้วยเจ้าค่ะ”
“ท่านป้าเจ้าคะ แล้วก็ตกปลาด้วยเจ้าค่ะ ข้าชอบตกปลา อยากเล่นตกปลาเจ้าค่ะ” แม่นางเฉิงเจ็ดกล่าวต่อ
“ดี แม่นางเฉิงเจ็ดแข่งตกปลาคงได้ที่หนึ่งเป็นแน่” ฮูหยินใหญ่เฉิงยิ้มกล่าว พร้อมกับเอื้อมมือไปลูบหัวไหล่ของแม่นางเจ็ด
“ไม่อยากตกปลาเจ้าค่ะ” แม่นางเฉิงหกไม่เห็นด้วย “สระบัวของเราเล็กจะตายไป หากจัดตกปลา ก็สู้ของบ้านคนอื่นไม่ได้ ข้าไม่อยากถูกพวกนางหัวเราะเยาะเจ้าค่ะ”
แม่นางเฉิงเจ็ดเรียนรู้ช้า เพิ่งจะอ่านหนังสือออกได้ไม่นาน ทั้งยังไม่ชำนาญศิลปะการเขียนพู่กัน หรือแม้แต่การวาดภาพและจัดดอกไม้ หากจัดงานเลี้ยงดอกเบญจมาศ มีแต่แข่งวาดภาพกับจัดดอกไม้ นางคงไม่มีโอกาสแสดงความสามารถที่มีอยู่ได้ นางจึงไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เหล่าลูกสาวถกเถียงกันวุ่นวายจนฮูหยินใหญ่เฉิงเริ่มทนไม่ไหว เรือนที่เงียบสนิทเต็มไปด้วยเสียงทะเลาะกัน ฮูหยินใหญ่เฉิงรู้สึกเหมือนได้ยินแต่เสียงดังอื้ออึงอยู่เต็มสองหู ทันใดนั้นนางรีบเรียกหาแม่บ้าน ให้มารับใช้บรรดาเหล่าลูกสาวและช่วยจัดเตรียมงาน จนในที่สุดก็เกลี้ยกล่อมให้ทุกคนออกไปได้
เสียงดังจากเรือนอีกหลังลอยเข้ามาเป็นระยะๆ แต่ก็ดีกว่าเดิมมาก ในระหว่างที่เหล่าพี่สาวน้องสาวทะเลาะกันหรือในยามที่หัวเราะอย่างมีความสุข บรรยากาศนั้นสุดแสนสนุกสนาน เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
อย่างนี้สิถึงเรียกว่า ”บ้าน” ดั่งสำนวนที่ว่า “มีความสุขร่วมกันสมัครสมาน”
ฮูหยินใหญ่เฉิงถอนหายใจอย่างสบายใจ
นางควรเชื่อฟังคำของแม่สามีว่าควรส่งคนบ้านั้นไปวัดเต๋าตั้งแต่แรก ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องเกิดเรื่องวุ่นวายอย่างเช่นก่อน
เมื่อพูดถึงเหตุรำคาญใจ ฮูหยินใหญ่เฉิงก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง
เรื่องสินสอดใช้เวลาตกลงกันอยู่หลายวัน ถึงตอนนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เดิมทีตระกูลโจวยอมถอยหนึ่งก้าว แต่เรือนรองนั้นดันเข้ามาแส่ แถมยังมาคอยบงการ เดิมทีก็แบ่งกันเสร็จสรรพแล้วแท้ เลยต้องมานั่งแบ่งใหม่อีก คนของตระกูโจวจึงย้ายเข้าไปอยู่ในร้าน ทำให้กิจการที่ดีอยู่นั้นยอดขายตกฮวบในชั่วพริบตา
“ใครก็ได้เข้ามานี่หน่อย” ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห นางจึงตะโกนเรียกเรียกคนให้เข้ามา
แม่นมที่อยู่ด้านนอกเดินเข้ามา
“เดือนหน้านอกจากเรือนของเหล่าฮูหยิน รายจ่ายของห้องครัวทั้งหมดให้ลดลงกึ่งหนึ่ง” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว
แม่นมอ้าปากค้าง แต่ไม่กล้าพูดอะไรมาก นอกจากขานตอบว่า “ได้เจ้าค่ะ”
“ลดครึ่งหนึ่งก็ลดครึ่งหนึ่ง” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยพลางหัวเราะหลังจากได้ยินข่าวนี้ “เหตุใดต้องติดร่างแหไปด้วย พวกนางกินเนื้อสัตว์ แต่พวกเราแม้แต่น้ำแกงยังไม่มีปัญญาหาดื่มเลย”
“ใช่เจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่ตกลงยกจวนนอกเมืองหลวงให้แก่ตระกูลโจวได้อย่างไรกัน เหตุใดถึงไม่ลองคิดทบทวนให้ดีเสียก่อน จวนเหล่านั้นสร้างผลกำไรเป็นกอบเป็นกำเลยนะเจ้าคะ” แม่นมที่อยู่ด้านข้างกระซิบ
“แน่นอนว่านางไม่ต้องการเสียร้านทั้งสองไปหรอก เพราะถือครองมานานหลายปี คุ้นเคยกับทั้งคนและเงิน หากเสียร้านทั้งสองไป ก็เท่ากับกรีดเนื้อของนางไปด้วยเช่นกัน” ฮูหยินรองเฉิงยิ้มเยาะกล่าว “ ร้านหนึ่งถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ถึงข้าจะแย่งมาได้ ก็สู้คนของนางไม่ได้หรอก มีก็เหมือนไม่มี เอาจวนนอกเมืองหลวงไปยังจะดีเสียกว่า”
“ใช่เจ้าค่ะ” แม่นมยิ้มพลางโน้มตัวเข้าไปกระซิบ “คนในครอบครัวข้าทำนาเก่งเป็นที่หนึ่งเลยเจ้าค่ะ ถึงจะไม่มีหัวด้านการค้า แต่ก็ทำนาเก่งเจ้าค่ะ”
“อืม” ฮูหยินรองเฉิงกล่าว
แม่นมประจบสอพลอ
“ฮูหยินใหญ่ไม่สนใจจวนนั่นหรอก สามีข้าไปดูมาเมื่อหลายวันก่อน ที่ผืนงามเช่นนั้น กลับปล่อยรกร้าง น่าเสียดายยิ่งนัก” นางกล่าว “ปิดพวกข้ามาตั้งหลายปี ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรเลย ไม่ลองคิดดูบ้างว่า นางบ้าผู้นั้นเป็นคนของเรือนรอง จะยึดสินสอดไว้เป็นของตัวเองตลอดชีวิตเลยหรือ”
“อย่างน้อยก็ควรให้เป็นสินสอดแก่ลูกสาวคนอื่นบ้าง” ฮูหยินรองเฉิงกล่าวอย่างไม่พอใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห “ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าต้องได้มันมาครอบครอง มีแต่นางคนเดียวที่มีลูกสาวหรือไร”
“ใช่เจ้าค่ะ หากนับจริงๆ แล้ว คนบ้านั้นมีศักดิ์เป็นพี่สาวแท้ๆ ของแม่นางเจ็ด แต่กับพวกนางแล้ว มีศักดิ์เป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องเจ้าค่ะ” แม่นมกล่าว
หากเปรียบเทียบกับความวุ่นวายภายในบ้านแล้ว เขาเสวียนเมี่ยวที่ตั้งอยู่นอกเมืองกลับเงียบสงบและอิสระกว่ามาก
เป็นเพราะเมื่อวานฝนตก พื้นจึงเปียกชื้น สาวใช้หักกิ่งไม้ลงมาแล้วขลิบใบออก ก่อนจะค่อยๆ ใช้มือลูบที่ก้านอีกสองรอบอย่างระมัดระวัง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีเสี้ยนตำมือ ถึงจะส่งให้แก่เฉิงเจียวเหนียง
แม้ว่าเฉิงเจียวเหนียงจะยังคงสวมมี่หลีอยู่ แต่ก็สามารถเปิดผ้าคลุมขึ้นเพื่อสัมผัสกับสายลมของช่วงฤดูใบไม้ร่วงได้บ้างแล้ว
นางยื่นมือออกมารับกิ่งไม้ แล้วนั่งบนก้อนหินที่อยู่ด้านข้าง
สาวใช้มองอย่างประหม่า
มือข้างหนึ่งของเฉิงเจียวเหนียงจับแขนเสื้อ อีกข้างหนึ่งถือกิ่งไม้ แล้วค่อยๆ เขียนตัวหนังสือลงบนพื้น แต่น่าเสียดายยิ่งนักที่มือของนางนั้นแสนอ่อนแรงจนกิ่งไม้ในมือสั่น รอยขีดเขียนที่อยู่บนดินชุ่มเลยบิดเบี้ยวไปมา ดูไม่ออกว่าเขียนคำว่าอะไร
เฉิงเจียวเหนียงวางกิ่งไม้ลงแล้วนั่งหลังตรง
“นายหญิงเจ้าคะ ฝึกเขียนต้องใช้เวลาหลายวันนะเจ้าคะ” สาวใช้พูดปลอบ “ข้าไปซื้อกระดาษกับพู่กันให้นายหญิงนะเจ้าคะ พวกเราค่อยๆ ฝึกกัน”
ณ บัดนี้ สำหรับนางแล้วกระดาษกับพู่กันไม่มีประโยชน์แต่อย่างได้
“ไม่ต้อง” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวแล้วลุกขึ้นยืน
เขาเสวียนเมี่ยวมีทิวทัศน์ที่สวยงามมาก วัดเต๋าถูกสร้างขึ้นตามแนวเขา หากเดินออกจากประตูจะพบถนนที่ตัดวนรอบวัดเต๋า แม้เส้นทางจะไม่ยาวนั้น แต่ก็มีความชันเล็กน้อย การเดินวนหนึ่งรอบของที่นี่จึงเดินลำบากกว่าที่รอบลานบ้านตระกูลเฉิงนัก
สมใจของเฉิงเจียวเหนียงมาก ยามเมื่อนางค้นพบที่แห่งนี้ก็ได้ลองเดินวนไปรอบหนึ่งแล้ว และบัดนี้การเดินได้กลายเป็นสิ่งที่นางต้องทำเป็นประจำทุกวัน
นางยกเท้าก้าวเดิน สาวใช้ก็รีบเดินตาม
แม้ว่ามือจะขยับเองได้ไม่มากนัก แต่อย่างน้อยไม่จำเป็นต้องช่วยประคองเดินแล้ว และถึงแม้ว่าจะยังคงเคลื่อนตัวได้ช้าอยู่ แต่เมื่อคำนวณดูแล้ว ในระยะเวลาเพียงหกเดือนกว่า แต่กลับฟื้นตัวได้เร็วเช่นนี้ ก็ถือว่าไม่ช้าแล้ว เชื่อว่าเมื่อวันตรุษจีนมาถึง น่าจะเดินเหินได้อย่างคล่องแคล่ว
เมื่อเดินครบหนึ่งรอบ เฉิงเจียวเหนียงและสาวใช้ก็เดินกลับเข้าประตูวัด เจ้าอาวาสกำลังคุยกับใครสักคนบริเวณลานหน้าวัด บนพื้นมีตะกร้าหวายวางอยู่สองใบ ใบหนึ่งว่างเปล่า อีกใบหนึ่งเหลือของอยู่เพียงครึ่งหนึ่ง
“นายหญิงกลับมาแล้วหรือ” เจ้าอาวาสเอ่ยถาม มือหนึ่งชี้ไปที่ของที่อยู่ในตะกร้าหวาย “ที่บ้านส่งข้าวสารกับผักมาให้ท่าน ให้เขาแบกไปส่งท่านนะ”
เฉิงเจียวเหนียงเดินผ่านไป ซึ่งเจ้าอาวาสก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะกำลังยืนคุยอยู่กับสาวใช้
สาวใช้ตอบรับพร้อมกับเดินไปดู แต่กลับพบข้าวสารเพียงหนึ่งถุงกับผักอีกไม่กี่มัด นางจึงขมวดคิ้วขึ้นมา
“ของจำนวนแค่นี้ไม่ถูกนะ” นางกล่าว “เหตุใดถึงน้อยเพียงนี้ แถมยังไม่มีปลา เนื้อสัตว์กับผลไม้อบแห้งด้วย”
เจ้าอาวาสยิ้มอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร ส่วนบ่าวชายเบ้ปาก
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ทางบ้านท่านให้มาแค่นี้” เขากล่าว
“ปกติไม่ได้มีแค่นี้นะ” สาวใช้กล่าว
“หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็กลับบ้านไปถามเถอะ” บ่าวกล่าวอย่างไม่เกรงใจ ยกตะกร้าหวายใบที่มีของอยู่ขึ้น แล้วเทลงกับพื้น จากนั้นจึงสะพายตะกร้าเปล่าสองใบเดินจากไป
สาวใช้โมโหจนสั่นไปทั้งตัว นางชี้หน้าบ่าวที่เดินไกลออกไปผู้นั้น โดยพูดอะไรไม่ออก
“โถ่ แล้วจะทำเช่นไรดี” เจ้าอาวาสที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจเอ่ย
สาวใช้กัดฟันแน่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโน้มตัวลงเก็บของที่ถูกเทลงพื้น
“ไม่ต้องเก็บแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว โดยไม่รู้ว่านางเห็นเหตุการณ์นี้ตั้งแต่เมื่อใด ก่อนนางจะกลับหลังเดินต่อ
สาวใช้ที่กำลังก้มเก็บของอยู่นั้นตะลึงไปชั่วครู่ ปราดตามองข้าวสารและผักที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นอยู่เพียงครู่ แล้วจึงหันหลังเดินตามเฉิงเจียวเหนียงไป
คนบ้านี่พูดได้จริงๆ แล้วยังโกรธเป็นอีกด้วย
ทว่าโกรธไม่รู้เวล่ำเวลาเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่เป็นคนบ้า เจ้าอาวาสเบ้ปากใส่
…………………………………………………………..