ส่วนที่ 3 ตัวแทนคนรัก ตอนที่ 10 ตัวแทนคนรัก (10)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

เมื่อซูหว่านกลับไปถึงอะพาร์ตเมนต์ของเธอ เธอเห็นรถมาเซราติที่เธอคุ้นเคย 

 

 

ซูรุ่ยที่กำลังพิงอยู่ข้างรถและขาอันเรียวๆ ยืนไขว่ห้างอย่างสบายๆ ครึ่งตัวบนของเขาขี่อยู่บนรถสีดำ เขาเห็นร่างของซูหว่าน จึงหันไปเล็กน้อย แล้วนัยน์ตาสีดำก็มองไปยังใบหน้าของซูหว่าน 

 

 

ในความลึกของแววตาที่มองไม่เห็นก้นบึ้งเปี่ยมไปด้วยความน่ากลัวและอันตรายซ่อนเร้นอยู่ 

 

 

ในคืนนี้ซูรุ่ยนั้นสวมเสื้อโค้ตสีดำ สีที่ราวกับหมึกเข้มข้น มันทำให้เขาดูเคร่งขรึมและเกรี้ยวกราดมากขึ้น 

 

 

ในขณะที่ซูรุ่ยจ้องมอง ซูหว่านก็ค่อยๆ เดินเข้าไปหาเขาทีละก้าว“รอฉันอยู่เหรอ” 

 

 

เธอยักคิ้วพร้อมถามด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ 

 

 

“วันนี้คุณไปหาเซียวจิ่งมั่วมาเหรอ” 

 

 

ซูรุ่ยไม่ได้ตอบคำถามของซูหว่าน แต่เขากลับย้อนถามเธอด้วยใบหน้าที่อึมครึมว่า 

 

 

“คุณให้คนมาติดตามฉันเหรอ” 

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเขาซูหว่านก็ทำตาแพรวพราว และทำปากเหมือนคราวจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม แล้วมองไปยังซูรุ่ยที่อยู่ตรงหน้า “มันน่าทุกข์ใจจริงๆ คุณไม่ใช่ว่าจะ…ตกหลุมรักฉันเข้าแล้วใช่ไหม” 

 

 

“ฉันไม่ได้ตกหลุมรักคุณ” 

 

 

ร่างของซูรุ่ยโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย พออยู่ตรงหน้าของซูหว่านเขาก้มลงมอง และจ้องมองไปนัยน์ตาของซูหว่าน “ฉันก็แค่…อยาก…จะ…ขึ้น…คุณ” 

 

 

ตั้งแต่เธอจากไป ทั้งโลกมืดมิดไปหมด เขาเพิ่งเดินออกจากความมืดมิดนั้นได้ ตอนแรกคิดว่าจิตใจตัวเองจะเย็นชาไปแล้ว 

 

 

จนกระทั่งถูกสวีเช่อเรียกรวมตัวที่ศูนย์ซ่อมแซมหลัก หลังจากรู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอแล้ว วินาทีนั้นซูรุ่ยก็ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเองที่หายไปนาน 

 

 

“เหอะ” 

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของซูรุ่ย ซูหว่านยิ้มแบบเฉยเมย “คุณมีความฝันมีจุดมุ่งหมายนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่คุณต้องรู้ว่าความฝันกับความเป็นจริงมันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว” 

 

 

ซูรุ่ยไม่โกรธเมื่อได้ยินคำพูดเยาะเย้ยเช่นนี้ของซูหว่าน เขายังคงรักษาท่าทางเช่นเดิมไว้ ดวงตาของเขายังคงจับจ้องไว้ที่เธอ 

 

 

จากที่ผ่านอะไรหลายต่อหลายอย่างนับมากมาย ปัจจุบันนี้ซูรุ่ยไม่ใช่แม่คนที่มีรังสีอาฆาตเกรี้ยวโกรธเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ภายนอกของเขาดูเป็นผู้ใหญ่และสง่างามมากขึ้น และจิตใจของเขาตอนนี้ก็แข็งแกร่งและเย็นชามากยิ่งขึ้น 

 

 

ถ้าหากว่าในโลกนี้ซูหว่านเป็นปมรักแรกของเซียวจิ่งมั่วละก็ 

 

 

ถ้างั้นในโลกของซูรุ่ย ซูหว่านที่จากไปอย่างไม่แยแส ก็จะเป็นปมตายจากก้นบึ้งหัวใจของเขาเช่นกัน 

 

 

ตั้งแต่ที่พบเธอ เขาก็ได้ลิขิตไว้แล้วและยากที่จะหนีพ้นแล้ว 

 

 

… 

 

 

ถูกซูรุ่ยจ้องมอง ทำให้ซูหว่านรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว “จะขึ้นไปนั่งพักสักหน่อยไหม บังเอิญว่าฉันมีเรื่องที่จะคุยกับคุณพอดี” 

 

 

เมื่อเห็นว่าซูหว่านเป็นฝ่ายเชื้อเชิญซูรุ่ยก็รีบพยักหน้าทันที 

 

 

ทั้งสองคนเดินตามเข้าไปในอะพาร์ตเมนต์ติดๆ กัน อะพาร์ตเมนต์ของซูหว่านเป็นห้องพักสองห้องนอนและหนึ่งห้องนั่งเล่น ก่อนที่ย้ายเข้าก็เป็นห้องที่ได้รับการตกแต่งอย่างดี เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องซูหว่านแทบไม่ได้แตะต้องอะไรเลย เพราะว่าเธอไม่ได้อยากอยู่ในโลกนี้นานสักเท่าใด 

 

 

“ฉันไปเปลี่ยนผ้าก่อน ส่วนคุณก็ตามสบาย” 

 

 

เปลี่ยนใส่รองเท้าแตะ แล้วซูหว่านยังพูดทิ้งท้ายไว้ให้กับซูรุ่ยแล้วเธอก็หันกลับไปที่ห้องของเธอเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า 

 

 

แม้ว่าชายคนหนึ่งยังพูดจาห้วนๆ ว่าอยากจะขึ้นเธอ แต่ ‘ขึ้น’ และ ‘บังคับ’ มันช่างเป็นวิธีที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้นสำหรับซูรุ่ย ซูหว่านยังไว้เนื้อเชื่อใจเขามาก เธอไม่ต้องกังวลว่าเขาจะบังคับตัวเธอให้ทำเรื่องอะไร 

 

 

เมื่อซูหว่านเปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อบ้านแล้วเดินออกมา ซูรุ่ยก็ได้ถอดเสื้อโค้ตของเขาออกแล้วพับแขนเสื้อขึ้น จากนั้นก็ไปในห้องครัว 

 

 

“คุณจะทำอะไร” 

 

 

ซูหว่านมองไปที่ซูรุ่ยที่ยุ่งอยู่ในห้องครัวด้วยความอยากรู้อยากเห็น 

 

 

“ฉันหิวแล้ว อยากทำอะไรกิน” 

 

 

ซูรุ่ยทำเหมือนกับว่าที่นี่เป็นที่ของเขา เขาพลางตอบซูหว่านและพลางเปิดเตาแก๊สไปพลาง 

 

 

ห้องครัวของซูหว่านนั้นสะอาดมาก เพราะโดยปกติแล้วเธอไม่อยู่บ้านทำอาหารเลย ดังนั้นภาชนะเครื่องครัวในบ้านจึงดูใหม่หมด นอกจากเบียร์และเครื่องดื่มที่อยู่ในตู้เย็นแล้วมีเพียงแต่บะหมี่แห้งและไข่ไม่กี่ฟอง ของพวกนี้เธอซื้อมันที่ซูเปอร์มาร์เก็ตในช่วงวันหยุดสัปดาห์ที่แล้ว 

 

 

“คุณจะกินอีกไหม” 

 

 

ซูรุ่ยตีไข่ไปพลางและเดินมุ่งไปที่ห้องรับแขก 

 

 

“ฉันกินอิ่มแล้วไม่ต้องทำเผื่อฉัน” 

 

 

ซูหว่านนั่งลงบนโซฟาและเปิดทีวีในช่วงเวลานี้เป็นเวลาละครเรื่องแรกที่ออกอากาศในช่วงกลางคืน 

 

 

เมื่อได้ยินคำตอบของซูหว่าน ซูรุ่ยที่อยู่ในครัวก็ไม่ได้ตอบอะไรอีกและซูหว่านก็นั่งสบายๆ อยู่บนโซฟาดูละครทีวี เมื่อซูรุ่ยออกมาจากห้องครัวพร้อมกับบะหมี่ พระเอกในละครทีวีที่พยายามอธิบายให้นางเอกเข้าใจถึงความเข้าใจผิดบางอย่าง… 

 

 

“คุณฟังฉันอธิบายก่อน ฟังฉันอธิบายก่อนสิ! เรื่องราวมันไม่ได้เป็นแบบที่คุณคิด!” 

 

 

“ฉันไม่ฟัง ฉันไม่ฟัง ฉันไม่ฟัง!…” 

 

 

เห็นซูหว่านดูมันอย่างเพลิดเพลิน ซูรุ่ยเลยอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “ผู้ชายคนนั้นโง่รึเปล่า” 

 

 

“ฮะ!” 

 

 

ซูหว่านหันไปมองซูรุ่ยที่นั่งลงข้างเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน และพูดว่า“คุณพูดอะไร” 

 

 

“ในทีวีตอนนี้คือชิงเย่ว์เห็นกับตาว่าเจิ้งหงกำลังกอดอยู่กับผู้หญิงอีกคนด้วยกัน เธอเลยหนีออกจากบ้านด้วยความโกรธ ความจริงแล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นน้องสาวที่หายไปของเจิ้งหง เมื่อกี้เขาที่พูดจาไร้สาระบอกไปว่าเธอเป็นน้องสาวของฉันจะยังดีกว่า แค่ห้าคำนี้ก็แก้ปัญหาได้แล้วไม่ใช่เหรอ” 

 

 

“เขาจะพูดตรงๆ แล้ว ละครในทีวีจะแสดงอะไรกันละ จะให้พระรองออกโรงยังไงกัน จะสื่ออะไรให้กับผู้ชมกันแน่” 

 

 

ซูหว่านทนไม่ไหวเลยตอบกลับซูรุ่ยไป เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน ซูรุ่ยกลับขมวดคิ้วอีกครั้ง และพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “หรือว่าถ้าความรักไม่ได้ผ่านการเข้าใจผิดกัน มันไม่ใช่รักแท้เหรอ ผู้หญิงที่ไม่ได้ถูกชายอื่นแย่งก็จะไม่ใช่เป็นผู้หญิงที่ดีนั้นเหรอ” 

 

 

เป็นครั้งแรกที่ซูหว่านได้เห็นซูรุ่ยดูจริงจังมากขนาดนี้ 

 

 

จริง ๆ แล้วมันก็เป็นแค่ละครน้ำเน่าเรื่องหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่เหรอ มันต้องขนาดนี้ด้วยเหรอ 

 

 

จู่ๆ ซูหว่านก็รู้สึกอยากจะหัวเราะ 

 

 

“ตกลงว่าคุณยังจะกินบะหมี่อีกไหม” 

 

 

เธอกลั้นหัวเราะ ซูหว่านมองไปยังชามบะหมี่แห้งที่อยู่ตรงหน้า ซูรุ่ยเห็นเศษเล็กๆ ที่กำลังจะอืดเป็นก้อนเดียวกันอยู่แล้ว ซูหว่านยักคิ้วและมองไปทางซูรุ่ย 

 

 

“นี่คือบะหมี่ที่คุณทำเหรอ” 

 

 

“อือ” 

 

 

ยากที่เห็นซูรุ่ยแสดงสีหน้าความลำบากใจเช่นนี้ “ใช้เวลานานไปหน่อยแต่ว่า…ไข่ดาวสุกแล้ว”พูดไปพูดมาเขาก็อดไม่ได้ที่จะหยิบตะเกียบแล้วหนีบไข่ดาวในชามพร้อมยั่วมันต่อหน้าซูหว่าน 

 

 

“นี่กำลังอวดอะไรอยู่” 

 

 

เดิมทีที่เห็นร่างของเขากำลังยุ่งอยู่ในครัวซูหว่านก็ยังคงแปลกใจอยู่ ว่าแล้วว่าเธอไม่ควรจะคาดหวังซูรุ่ยมากเกินไป 

 

 

ผู้ชายคนนี้กลายเป็นพ่อบ้านที่ดีได้ยังไงกัน 

 

 

มือของเขาที่เอาไว้ถือมีดถือปืน จะมาเป็นมือที่ตอกไข่หั่นมันฝรั่งไม่ได้อย่างแน่นอน 

 

 

เธอนึกขึ้นได้ว่าเธอยังมีอะไรบางอย่างที่ต้องขอจากเขา เธอจึงถอนหายใจแล้วกดตะเกียบลงบังคับให้เขาวางชามก๋วยเตี๋ยวลง 

 

 

“ช่างเถอะ ช่างเถอะ คนที่มาเป็นแขก แต่ดันต้องมากินไข่ดาวแบบนี้นะเหรอ คุณจะกินใช่ไหม ให้ฉันทำให้เถอะ” 

 

 

ซูหว่านพูดพลางแล้วก็เดินเข้าในห้องครัว ทำให้ซูรุ่ยปากที่เม้มอยู่ก็แอบยิ้มขึ้นมาแต่ว่าเขายังไม่ทันยิ้ม ก็เห็นซูหว่านเดินไปที่เคาร์เตอร์ห้องครัว และเปิดนามบัตรแล้วโทรออกด้วยความคล่องแคล่ว 

 

 

“ใช่ร้านอาหารตระกูลจางไหมคะ ฉันจะสั่งอาหาร!” 

 

 

“สั่งอาหาร!” 

 

 

“สั่งอาหาร!” 

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของซูรุ่ยหายไปในพริบตา 

 

 

หรือว่าเธอควรไปห้องครัวแล้วทำอาหารเอง 

 

 

ในนิยายก็เขียนกันไว้แบบนี้ทั้งนั้นแหละ! 

 

 

สรุปว่าช่วงนี้นักรบอย่างคุณซูจะดูละครนิยายดราม่าน้ำเน่าล้างสมองไปกี่เรื่องกันแน่ 

 

 

“คุณโง่ขนาดนี้ ซูหว่านของคุณจะรู้บ้างไหม”