บทที่ 54 กองทัพหนูศิลา
หรือนี่อาจจะเป็นกรรมที่ก่อนหน้านี้เขารู้สึกภาคภูมิใจ สามารถสังหารเม่นอสูรโดย กองทัพโครงกระดูกของเขา ไม่คาดคิดเลยว่าในไม่ช้าจะถึงคราวของเขา
เนื่องจากหนูศิลาเหล่านี้ ผุดออกมาจากพื้นดิน และสกัดกั้นทางหนีของหลินเว่ยไปจนหมด หากว่าไร้ปีกก็ยากที่จะหลีกหนีได้พ้น
เอาล่ะ ถ้าเจ้าอยากกินเนื้อข้า…. ก็ขึ้นอยู่กับว่าฟันของเจ้าแข็งแกร่งพอหรือไม่? เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถหลบหนีได้ ใบหน้าของหลินเว่ยก็พลันดุร้าย หลังจากถ่มน้ำลายลงบนพื้น
หลินเว่ยก็คำรามอย่างดุเดือด
“ฟิ้ว!”
“ฟิ้ว!”
“ ………….. ”
กองทัพของหนูศิลาก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาสั้น ๆ มันพุ่งเข้ามาใกล้หลายร้อยเมตร
กองทัพหนูศิลาหน่วยกล้าตาย ล้วนมีความแข็งแกร่งขั้นศูนย์ แม้ว่าจะมีจำนวนมาก แต่หลินเว่ยนั้นไม่คิดอะไร เขาส่งสัตว์โครงกระดูกทั้งสิบสองตัวออกไป พร้อมทั้งกิ้งก่าเพลิง โครงกระดูกตัวอื่น ๆ ใช้มือเท้าและปากเพื่อโจมตี หนูศิลาพ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบ
เนื่องจากพลังงานของเหล่าโครงกระดูกนั้นมีจำกัด และการฟื้นตัวนั้นช้ามาก หากหลินเว่ยต้องการจัดการพวกหนูศิลาให้สิ้นซาก จึงต้องรีบเผด็จศึกโดยเร็ว
การต่อสู้นั้นเต็มไปด้วยความดุเดือด แน่นอนคำว่า “โศกนาฏกรรม” นั้นถูกนำไปใช้กับกองทัพหนูศิลาได้โดยธรรมชาติ โครงกระดูกเหล่านี้ถูกอัญเชิญมาจากซากศพของสัตว์อสูรขั้นสามและขั้นสี่ แม้ว่าพวกมันจะไม่มีเลือดเนื้อ
แต่พวกมันนั้นมีกระดูกที่แข็งแกร่งกว่ายามที่มีชีวิต เมื่อกลายเป็นโครงกระดูก มันจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป
จนถึงตอนนี้ไม่ว่าหนูศิลาจะรุมทึ้งอย่างไร ก็ไม่หลงเหลือแม้แต่ร่องรอยแม้แต่น้อย แต่เลือดของหนูศิลานั้นอาบทั่วตัวของเหล่าโครงกระดูกเต็มไปหมด ในจังหวะที่เลือดนั้นเกือบจะแห้งกรัง ก็ถูกย้อมไปด้วยเลือดสดอีกครั้ง
การต่อสู้นี้เกิดขึ้นเป็นเวลานาน แต่หลินเว่ยนั้นไม่รู้สึกกังวลใจเหมือนในครั้งแรก ตอนนี้เขานั่งอยู่บนโครงกระดูกด้านหลังของกิ้งก่าไฟ ในขณะที่เฝ้าดูโครงกระดูกที่ต่อสู้อยู่กับกองทัพหนูศิลาด้วยความสนใจ
ระยะเวลาผ่านมาประมาณครึ่งชั่วโมง ซากศพของกองทัพหนูศิลานั้นค่อย ๆ สูงขึ้น ภายในใจหลินเว่ยนั้นบ่นอุบว่า โครงกระดูกที่เขาสามารถอัญเชิญออกมาได้นั้น น้อยเกินไป ทำให้สังหารหนูศิลาเป็นไปได้อย่างเชื่องช้า
จากนั้นเมื่อเขาเห็นกองซากศพหนูศิลา จิตใจของเขาก็สว่างวาบด้วยความคิดว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่วัสดุจากสัตว์อสูรหรือ?
สาเหตุที่เขาพึ่งจะค้นเจอ คือ เนื่องจากปกติธรรมดาแล้ว โครงกระดูกของเขานั้น มักจะได้ต่อสู้กับสัตว์อสูรที่มีความแข็งแกร่ง และถูกจำกัดของความแข็งแกร่งทางด้านพลังจิตของเขา และเขามักจะใช้ทักษะการฟื้นคืนชีพสัตว์อสูรด้วยขั้นพลังที่สูงอยู่เสมอ
แต่ตอนนี้ข้อจำกัดในเรื่องนี้ถูกทำลายลงไป เนื่องจากความแข็งแกร่งของเขานั้นเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้นหลินเว่ยจึงมีการก่อตั้งกองทัพโครงกระดูกที่ประกอบด้วยหนูศิลา ในช่วงเวลาที่ดีในตอนนี้
ในตอนแรก หลินเว่ยได้เรียกกองทัพขนาดใหญ่ ที่มีโครงกระดูกหนูศิลาจำนวน 50,000 ตัว โดยจะถูกสั่งการโดยเหล่าผู้นำหนูศิลา
ความจริงแล้วหลินเว่ยนั้นต้องการที่จะเพิ่มจำนวนของกองทัพหนูศิลา แต่ทว่า นี่คือข้อจำกัดของเขา ที่สามารถอัญเชิญ โครงกระดูก ได้ถึง 50,000 ตน ระดับขั้น ศูนย์ ตามความแข็งแกร่งทางจิตใจของหลินเว่ย ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ เพื่อไม่ให้สภาพแวดล้อมในตอนนี้นั้นสยดสยองมากเกินไป หลินเว่ยเก็บซากศพของหนูศิลาเข้าไปเก็บไว้ในพื้นที่มิติทั้งหมด อย่างไรก็ตามพื้นที่ตรงนั้นกว้างใหญ่มาก แม้จะใส่เมืองเฮยสุ่ยลงไป ก็นับว่าเป็นส่วนเล็กของพื้นที่มิติของหลินเว่ย
สำหรับเรื่องความปลอดภัย หลินเว่ยไม่ต้องกังวล อย่างน้อยที่นี่ก็ปลอดภัยกว่ากระเป๋ามิติเป็น 100 เท่า
แม้ว่าจะเป็น สัตว์อสูร ขั้นศูนย์ แต่ก็ไม่สามารถประเมินคุณค่าของพวกมันได้ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนูศิลา 50,000 ถือได้ว่าได้วัสดุเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นหลินเว่ยจึงมุ่งมั่นในการสังหารหนูศิลาอย่างต่อเนื่อง ในตอนนี้ทักษะต่างๆ ของโครงกระดูกหนูศิลา หลินเว่ยนั้นได้ทำการทดสอบอย่างละเอียด แม้ว่าธรรมชาติของหนูศิลาจะมีชีวิตไม่ยืนยาวและอ่อนแอและไร้ประโยชน์
อย่างไรก็ตามสำหรับหนูศิลาร่างเล็ก ๆ ที่มีเลือดเนื้อ พวกมันเป็นเพียงเหยื่อเพื่อให้เหล่ากองทัพโครงกระดูกหนูศิลาได้ทดสอบความสามารถเท่านั้น
หนามดินจากโครงกระดูกหนูศิลานับหมื่นโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน และแทงทะลุร่างกายของหนูศิลาเหล่านี้ ในไม่ช้ากองทัพหนูศิลาก็ถูกโจมตีด้วยโครงกระดูกหนูศิลา แม้แต่หนูศิลาขั้นสอง ก็ถูกโจมตีจนต้องสิ้นชีวิต
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ ด้วยพลังการโจมตีของกองทัพโครงกระดูกหนูศิลา แม้ว่าโครงกระดูกเหล่านี้ จะไม่มีพลังการต่อสู้ที่ยืนหยัดได้นาน แต่พลังของพวกมันก็แข็งแกร่งมาก
พวกมันไม่ต้องการช่วงเวลาในการเปิดใช้ทักษะของร่าง แต่สามารถเรียกใช้งานได้ทันที
ดังนั้นเบื้องหน้าของหลินเว่ย คือโครงทัพโครงกระดูกที่เปิดใช้ทักษะ หนามดิน มากกว่า 500,000 ต้น โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน และพุ่งฟาดฟันทั้งต้นไม้ใบไม้ที่อยู่ในบริเวณนั้น
การโจมตีเพียงอย่างเดียวนี้ ได้กำจัดหนูศิลานับแสนตัว และสกัดกั้นการโจมตีของกองทัพหนูศิลา อย่างไรก็ตาม มันไม่สามารถคงอยู่ได้นาน เมื่อเวลาผ่านไปพลังงานข้างต้นก็ค่อย ๆ สลายไป และกลายเป็นเศษดินขนาดใหญ่
และกระจัดกระจายอยู่บนพื้น
กองทัพโครงกระดูกหนูศิลา 50,000 ที่ไร้พลังงาน ในความคิดของหลินเว่ยนั้น พวกมันจะกลายเป็นขยะ ที่จะสามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้
ไม่สำคัญว่าพลังงานจะหมดไปหรือไม่ ไม่สำคัญว่าฟันจะหัก ถ้าพบว่าฟันหัก ก็ยังคงมีกรงเล็บที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้อยู่ ไม่ว่ามีโครงกระดูกที่ล้มลงอยู่เท่าไรก็ไม่น่าเสียดาย เพียงแต่สัตว์เหล่านี้ไม่มีแก่นคริสตัลขั้นสูงมากมาย
แม้จะเป็นเพียงแก่นคริสตัลขั้นศูนย์ ก็สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้เสมอ
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดเกี่ยวกับโครงกระดูกหนูศิลาคือหนามดินของพวกมัน อย่างไรก็ตามหลังจากความพยายามของหลินเว่ย พวกเขาก็กลายเป็นลูกน้องคนใหม่ของหลินเว่ย อย่างน้อยพวกมันก็สามารถฆ่าหนูศิลา ในจำนวนเท่ากันได้
อย่างไรก็ตามในกองทัพหนูศิลา นั้นร่อยหรอลงไป และโครงกระดูกของหนูศิลา 50,000 นั้นหมดสิ้นพลัง เหลือเพียงขั้นศูนย์จำนวน 10,000 ตัว
เมื่อกองทัพหนูศิลาและโครงกระดูกถูกทำลายลงไป ทุกอย่างก็เงียบสงบ เนื่องจากความแข็งแกร่งทางจิตของหลินเว่ยนั้น สามารถฟื้นตัวเพียงสามส่วนในสิบส่วน เขาจึงไม่สามารถเรียกกองทัพโครงกระดูกหนูศิลาจำนวนมากขนาดนี้ออกมาได้อีก
หากสามารถฟื้นฟูได้เพียงเล็กน้อย หลินเว่ยจะสามารถเรียกออกได้เพียงไม่กี่ตัว ดังนั้นจะต้องรอให้พลังฟื้นตัวเต็มที่และอัญเชิญมันออกมาอีกครั้ง
ด้วยวิธีนี้ กิ้งก่าเพลิงซึ่งเป็นนักล่ากลายมาเป็นผู้สังหารสัตว์อสูรตนอื่น ๆ ได้ในปัจจุบัน
การต่อสู้ดำเนินไปทั้งวันทั้งคืน ในช่วงกลางของการต่อสู้ หลินเว่ยทำเนื้อย่างตรงจุดที่เขาสังหารหมู่สัตว์อสูร และตอนนี้ปากของเขาเต็มไปด้วยคราบน้ำมันจากเนื้อย่าง
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของเขานั้นได้เปลี่ยนจากขั้นศูนย์เป็น สัตว์อสูรขั้นสามและขั้นสี่ อย่างไรก็ตามหนูศิลาส่วนใหญ่ ที่วิ่งเข้าหาเขา ยังคงเป็นความแข็งแกร่งของระดับขั้นสองและเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ มีบางส่วนที่เป็นขั้นสาม
และมีขั้นสี่บางส่วน สำหรับจำนวนของหนูศิลาขั้นศูนย์และขั้นหนึ่ง หลังจากความพยายามของหลินเว่ย พวกมันนั้นเหลือเพียงน้อยนิด