บทที่ 40 สุราอื่นก็แค่ขยะหากเทียบกับสุราข้า

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“สุราน้ำอัญมณีทิพย์เป็นแค่น้ำล้างมือรึ!” ทันทีที่ประโยคนั้นออกจากปากปู้ฟาง บรรยากาศภายในร้านก็พลันหยุดนิ่ง

สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางและเซียวเสี่ยวหลงจ้องปู้ฟางไม่วางตา ทั้งสามเป็นผู้รักการดื่มสุราเป็นชีวิตจิตใจ และสุราน้ำอัญมณีทิพย์ก็เป็นสุรารสเลิศที่สุดที่พวกเขาเคยลิ้มลองมา ทว่าปู้ฟางกลับบอกว่า… เป็นน้ำล้างมือ

“ฮ่าๆ! นายท่านตัวเหม็น ท่านพูดได้หล่อเป็นบ้า!” โอวหยางเสี่ยวอี้พูดพร้อมปรบมือชอบใจ นางชื่นชอบความมั่นใจในตัวเองขั้นสุดของปู้ฟางเป็นอันมาก

“จึ๊ หมอนี่มันก็แค่พวกบ้านนอกไม่เคยเข้ากรุง เคยดื่มสุราน้ำอัญมณีทิพย์หรือเปล่าเถอะ ก็แค่พูดมั่วซั่วไม่ได้ความ” เจ้ารู่เก๋อเย้ยอย่างเดียดฉันท์ก่อนเม้มปากแน่น เจ้าของร้านอาหารเล็กๆ อย่างปู้ฟางจะไปเข้าใจความซับซ้อนของสุราอันดับหนึ่งในจักรวรรดิวายุแผ่วได้อย่างไรกัน นั่นมันสุราที่จักรพรรดิเลือกด้วยมือของตนเองจากสุราหลายหมื่นชนิดเชียวนะ

ปู้ฟางขมวดคิ้วมองหน้าเจ้ารู้เก๋อ เขาคุ้นเคยกับพฤติกรรมของหมอนี่เป็นอย่างดี เพราะชายหนุ่มในชุดขาวตรงหน้าเคยพยายามติดสินบนเขาหลายต่อหลายครั้งแล้ว

“หากเทียบกับสุราข้า… สุราอื่นๆ ก็เป็นแค่ขยะ”

ปู้ฟางพูดด้วยความมั่นใจสูงเสียดฟ้า เขาเชื่อมั่นในสุราหัวใจหยกเยือกแข็งอย่างเต็มเปี่ยม

“เถ้าแก่ปู้ ท่านมีสุราขายแล้วรึ” เซียวเสี่ยวหลงตาเป็นประกาย ใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น

ปู้ฟางชี้มือไปที่รายการอาหารเบื้องหลังตนโดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม

ทุกคนเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อทันทีแล้วหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง…

“ซื้ดดด~”

เสียงนั้นเป็นเสียงสูดลมเข้าปากของเจ้ารู่เก๋อ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เหยียบเข้ามาในร้าน และเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นรายการอาหารของร้านกับตาตนเอง แม้เขาจะได้ยินเรื่องราคาแพงแสนแพงของร้านนี้มามาก แต่ก็ยังต้องสูดลมหายใจเข้าลึกเมื่อได้มาเห็นกับตา

โอวหยางเสี่ยวอี้กลอกตาใส่ทันที ไอ้หมอนี่มันบ้านนอกเข้ากรุงแท้ๆ… ต้องตกใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ

“สุราหัวใจหยกเยือกแข็ง เหยือกละสิบห้าผลึก” เซียวเสี่ยวหลงอ่านเสียงเบา

“อาหารฝีมือเถ้าแก่ปู้นี่แพงเหมือนเดิมเลยจริงๆ “ เซียวเยียนอวี่อุทานด้วยเสียงไพเราะ ราคาเหยือกละสิบห้าผลึกนั้นแพงกว่าสุราน้ำอัญมณีทิพย์ที่ราคาเพียงห้าร้อยเหรียญทองอยู่มากโข

แค่เทียบราคาของสุราทั้งสองชนิด สุราน้ำอัญมณีทิพย์ก็ดูเป็นเพียง… น้ำล้างมือจริงๆ เสียด้วย

“เหยือกละสิบห้าผลึกรึ เป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร แน่ใจรึว่าสุราของเจ้ามันสมราคาน่ะ” เจ้ารู่เก๋อไม่อยากเชื่อสายตาตนเองแม้แต่น้อย สุราน้ำอัญมณีทิพย์ราคาเหยือกละห้าร้อยเหรียญก็จัดว่าแพงหูฉี่จนไม่อยากจะจ่ายแล้ว แต่สิบห้าผลึกนี่… ต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ !

“เถ้าแก่ปู้! ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงอะไรแล้ว เอามาเลยเหยือกหนึ่ง! ต้องขอบคุณการมองการณ์ไกลของข้าที่ทำนายเอาไว้ไม่ผิดว่าสุราของเถ้าแก่ปู้ต้องราคาไม่ธรรมดาแน่ ข้าจึงเอาผลึกมาเยอะสุดๆ” เซียวเสี่ยวหลงพูดกับปู้ฟางด้วยท่าทางตื่นเต้น

“เถ้าแก่ปู้ เราสามคนขอเหยือกหนึ่งเช่นกัน! หากปลาดองเหล้าอร่อยถึงเพียงนั้น สุราเหยือกนี้ก็ต้องเลิศล้ำสุดยอดเช่นเดียวกัน!” โอวหยางเจินพูดอย่างไม่คิดอะไรมาก

เจ้ารู่เก๋อเลิกคิ้วมองเซียวเสี่ยวหลงและสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางด้วยความประหลาดใจ เจ้าพวกนี้ยอมจ่ายเงินซื้อสุราราคาแพงนี้จริงๆ เสียด้วย… หรือว่าสุรานี้จะยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือจริงๆ

ชายหนุ่มตัดสินใจได้ทันที เขากัดฟันพูด “ข้าขอเหยือกหนึ่งด้วยแล้วกัน!”

“หึ! มาดูกันว่าสุราจากร้านรูหนูนี่จะสมราคาสิบห้าผลึกหรือไม่!” เจ้ารู่เก๋อคิด

“โทษที วันหนึ่งเรามีสุราหัวใจหยกเยือกแข็งขายเพียงสามเหยือกเท่านั้น หากอยากดื่มก็มาใหม่พรุ่งนี้แล้วกัน” ปู้ฟางเหลือบตามองเจ้ารู่เก๋ออย่างไร้ความรู้สึกพร้อมเอ่ยเสียงเรียบ

เจ้ารู่เก๋อชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธก่อนคิด “ไอ้หมอนี่ปฏิเสธข้าอีกแล้ว! มันแค้นอะไรข้ารึ”

“เจ้าไม่ได้พูดเองรึว่ามีขายวันละสามเหยือก เซียวเสี่ยวหลงกับพวกโอวหยางสั่งกันคนละเหยือก ก็รวมเป็นสองเหยือก ไม่ได้แปลว่าเหลือเหยือกหนึ่งที่จะขายให้ข้าได้รึ นี่เจ้าดูแคลนข้าหรืออย่างไร”

เจ้ารู่เก๋อเดือดดาล

เมื่อต้องรองรับอารมณ์เดือดดาลถึงขีดสุดของเจ้ารู่เก๋อ ปู้ฟางก็เป็นอันต้องผงะไปเล็กน้อย แต่ใบหน้าของเขายังตายด้านเหมือนเดิมขณะตอบ “เหยือกสุดท้ายมีคนจองไว้แล้ว”

“จองแล้วรึ ข้ออ้างชัดๆ… ต้องเป็นข้ออ้างอย่างแน่นอน!” เจ้ารู่เก๋อคิด เขามองใบหน้าตายด้านของปู้ฟาง รู้สึกอยากโยนรองเท้าไปประทับตราบนนั้นเหลือเกิน ใบหน้ายียวนกวนประสาทเช่นนั้นต้องโดนเสียบ้าง!

“เช่นนั้นก็บอกข้ามา ใครกันที่จองสุราเหยือกที่สามไว้ ข้าจะไปเอาเงินฟาดหัวมันจนกว่ามันจะยอมยกให้ข้า!” เจ้ารู่เก๋อพูดด้วยสีหน้าถมึงทึง

“จะทำอะไรก็เรื่องของเจ้า ข้าไม่สน ตราบใดที่เจ้าไม่ก่อเรื่องในร้านข้า” ปู้ฟางพูดเสียงเรียบ จากนั้นก็เดินกลับเข้าครัวไป แต่เมื่อเดินไปถึงปากประตูครัว เขาก็หันกลับมาถามด้วยความสงสัย “เจ้าไม่สั่งอาหารอย่างอื่นรึ แค่มาดื่มอย่างเดียวหรืออย่างไร”

“ข้าเอาขนมจีบทองคำ” เซียวเยียนอวี่เอ่ยเสียงเบา

เซียวเสี่ยงหลงยิ้มกริ่มก่อนสั่งข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุง สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางสั่งปลาดองเหล้าหนึ่งจานตามปกติ เนื่องจากเป็นอาหารจานเดียวที่พวกเขารับรสได้

“แล้วเจ้าล่ะ” ปู้ฟางหันไปมองเจ้ารู่เก๋อ

ชายหนุ่มหรี่ตา “ข้าเอาซี่โครงเปรี้ยวหวาน! หากต้องกินข้าก็จะกินของที่แพงที่สุดในร้าน!”

คนอื่นประหลาดใจเมื่อได้ยิน เนื่องจากเพิ่งเห็นว่ามีอาหารรายการใหม่เพิ่มเข้ามา ก่อนหน้านี้พวกเขามัวแต่สนใจสุราหัวใจหยกเยือกแข็งจนไม่ได้มอง

“ซี่โครงเปรี้ยวหวานรึ อืม ได้” ปู้ฟางพยักหน้าแล้วเดินเข้าครัวไป

ซี่โครงเปรี้ยวหวานนั้นมีสนนราคาอยู่ที่ห้าสิบผลึก จัดเป็นอาหารราคาแพงที่สุดในร้านขณะนี้

“เจ้ารู่เก๋อ เอาเงินมาพอหรือเปล่า” โอวหยางเสี่ยวอี้อดถามไม่ได้ แม้แต่องค์หญิงน้อยแห่งตระกูลโอวหยางยังผงะเมื่อได้เห็นอาหารราคาห้าสิบผลึก

“ข้ารวยล้นฟ้าถึงเพียงนี้ ห้าสิบผลึกขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก อย่าลืมที่เราพนันกันไว้เล่า เยียนอวี่ รอไปชมจันทร์บนเรือกับข้าได้เลย” เจ้ารู่เก๋อยิ้มด้วยความมั่นใจ ในฐานะบุตรชายของเสนาบดีฝ่ายซ้าย เจ้ารู่เก๋อมีกิจการมากมายในนครหลวง ห้าสิบผลึกถือเป็นเงินขี้ประติ๋วสำหรับเขาจริงๆ

อันที่จริงแล้ว เมื่อผู้ฝึกตนบรรลุปราณระดับห้าขั้นราชันยุทธการ ผลึกที่ต้องใช้ในการฝึกปราณก็มีหน่วยหลักพันตลอด การบรรลุขั้นปราณต้องรวบรวมผลึกให้ได้มากหลายหมื่นผลึกเลยทีเดียว

ด้วยเหตุนี้ผลึกจึงถือเป็นของดาษดื่นเสียเหลือเกินสำหรับผู้ฝึกตนชั้นสูง แม้เจ้ารู่เก๋อจะไม่ได้มีปราณสูงถึงเพียงนั้น แต่ก็มีกิจการมากมายที่เขานั่งแท่นเป็นเจ้าของอยู่ แถมกิจการเหล่านั้นยังมีผู้ฝึกตนเป็นกลุ่มลูกค้าหลักอีกด้วย เขาจึงมีผลึกไหลเข้ามืออย่างไม่ขาดสาย

ชายหนุ่มในชุดขาวยิ้มเผล่ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ เขาหยิบเหยือกไพลินที่บรรจุสุราน้ำอัญมณีทิพย์ออกมา ทั้งยังหยิบจอกส่วนตัวหลายจอกออกมารินอีกด้วย เขาแจกจ่ายจอกสุราให้เซียวเยียนอวี่และคนอื่นๆ ก่อนเอ่ยชวน “มานั่งด้วยกันเร็ว เรามาเริ่มชิมสุราน้ำอัญมณีทิพย์กันก่อนดีกว่า”

การที่สุราน้ำอัญมณีทิพย์ได้รับเลือกจากจักรพรรดิให้เป็นสุราประจำราชวงศ์ และจัดเป็นสุราอันดับหนึ่งในจักรวรรดิวายุแผ่วนั้นแน่นอนว่าย่อมมีเหตุผลของมัน ทันทีที่ชายหนุ่มรินสุราลงจอก กลิ่นหอมเข้มก็อบอวลไปในอากาศ

เซียวเสี่ยวหลงและสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางแทบอดรนทนไม่ไหว

แต่ตอนที่พวกเขากำลังจะดื่มสุราน้ำอัญมณีทิพย์นั่นเอง ร่างหนึ่งก็เยื้องย่างเข้าร้านมา ทุกย่างก้าวของร่างนั้นเปรียบเสมือนมีมนต์ประหลาดที่สะกดสายตาของทุกคนไว้

สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ร่างตรงปากทางเข้า

ชายผู้นั้นสวมชุดคลุมสีดำ สะพายกระบี่ยาวห่อด้วยเศษผ้าไว้บนหลัง ทั้งยังสวมหมวกไม้ไผ่ติดผ้าคลุมสีดำบดบังใบหน้า ร่างของเขาสูงโปร่ง บรรยากาศที่แผ่ออกมาช่างแสนลึกลับ

ทันทีที่ชายผู้นี้เดินเข้าร้านมา อากาศภายในร้านก็พลันเย็นลงเล็กน้อย

กล้ามเนื้อของสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางกระตุก ดวงตาของพวกเขาจ้องไปที่ชายปริศนาในหมวกไม้ไผ่อย่างตื่นตัว รู้สึกได้ถึงบรรยากาศน่าขนหัวลุกที่แผ่ออกจากอีกฝ่าย

ไอนี้ทำให้พลังปราณเที่ยงแท้ภายในกายของพวกเขาพลันปั่นป่วน… ราวกับเป็นกลไกป้องกันตนเองของร่างกายในยามวิกฤต

เซียวเยียนอวี่และเซียวเสี่ยวหลงชะงักไปชั่วครู่ สายตาจับจ้องอยู่ที่ชายปริศนาไม่วางตาเช่นกัน ทั้งคู่รู้สึกเหมือนว่าสายตาภายใต้ผ้าคลุมสีดำนั้นจ้องมาที่พวกเขาอยู่

“เจ้าเป็นใครกัน!” เจ้ารู่เก๋อมุ่นคิ้วก่อนถามเสียงเย็นชา เขารู้สึกได้ว่าชายผู้นี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันในนครหลวง ผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนไม่น้อยจากหลายสำนักพากันซ่อนตัวอยู่เพื่อรอวันลงมือ หรือว่า… ชายผู้นี้จะเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนจากสำนักเหล่านั้น

“ข้ารึ ข้าเป็นแค่ชายที่มาหาข้าวกินเท่านั้น” เสียงของเขาแหบห้าวเหมือนกระดาษทราย ชายปริศนาเดินตรงไปนั่งลงที่โต๊ะใกล้ทางเข้า ก่อนวางกระบี่ยาวในเศษผ้าลงบนโต๊ะ

เศษผ้านั้นเสื่อมสภาพจนสีจืดจางไป ทั้งยังแข็งโป๊กเนื่องจากถูกซักมานับครั้งไม่ถ้วน

“ท่าน… จะสั่งอะไรรึ” โอวหยางเสี่ยวอี้ถามอย่างเคอะเขิน นางกลัวรังสีที่ชายผู้นี้ปล่อยออกมา

“ข้าจองสุราหัวใจหยกเยือกแข็งไว้เหยือกหนึ่งกับเถ้าแก่ปู้เมื่อวาน วันนี้ข้ามารับของที่จองไว้” ชายในชุดดำยังคงพูดด้วยเสียงแหบกร้าน

“มารับสุราที่จองไว้รึ!”

ทุกคนประหลาดใจไปชั่วขณะ จากนั้นก็หันไปมองเจ้ารู่เก๋อด้วยสายตาประหลาด ก่อนหน้านี้หมอนี่เคยประกาศไว้ว่าจะเอาเงินฟาดหัวใครก็ตามที่จองสุราหัวใจหยกเยือกแข็งเอาไว้เพื่อแย่งมาดื่มเอง

เจ้ารู่เก๋อชะงัก จากนั้นมุมปากของเขาก็พลันยกขึ้น เขาเดินมานั่งลงตรงข้ามชายในชุดดำด้วยท่าทางสง่างาม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจในตัวเอง “ขายสุราหัวใจหยกเยือกแข็งให้ข้าเสีย ข้ายอมจ่ายสามเท่า”

“ข้าไม่ขาย” ชายในชุดดำตอบอย่างไร้อารมณ์

เจ้ารู่เก๋อมุ่นคิ้วแล้วเพิ่มราคา “ห้าเท่า”

“ข้าบอกว่าไม่ขายไง”

“เจ้าไม่รู้รึว่าข้าเป็นใคร เจ้ากล้าทำให้ข้าโกรธรึ” เจ้ารู่เก๋อข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา ตัวเขาเองก็โกรธเช่นกันเมื่อข้อเสนอของตนโดนปัดตกไปถึงสองครั้งสองครา

ท้ายที่สุดชายผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเจ้ารู่เก๋อ น้ำเสียงแหบแห้งของเขาดังลั่นน่ากลัวเหมือนสายฟ้าฟาด

“ต่อให้เสนาบดีฝ่ายซ้ายมาอยู่ที่นี่ตรงนี้ก็ยังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้า… สำคัญตัวผิดไปไกลนัก”

………………………………