เฉียนเพ่ยอิงได้ยินเสียงซ่งฝูหลิงเรียกแต่นางก็ไม่สนใจเพราะเหนื่อยล้ามาก ตอนกลางวันทำเต็นท์ ตอนกลางคืนนอนอยู่บนรถเข็นที่เอียงลาดมาครึ่งคืน
นางไม่เคยตกอยู่ในสภาพลำบากยากแค้นอย่างนี้มาก่อน
เฉียนเพ่ยอิงพลิกตัว นางเผลอหลับไปนานแล้วและยังบ่นพึมพำในใจ นี่เด็กอะไรกัน มีเรื่องอะไรก็จะร้องหาแต่แม่ กระหายน้ำ ง่วงนอนและหิว เรียกแม่ทุกวัน แม้แต่ฝันยังจะผลักนาง ทำไมไม่ผลักพ่อของนางนะ
ม่านหน้าต่างถูกคนดึงออก
ลมพัดฝนที่ตกอยู่ด้านนอกเข้ามา
ท่านย่าหม่าตะโกนด้วยความโมโห “ข้าตะโกนเรียกจะครึ่งวันแล้ว ทำไมถึงไม่มีเสียงตอบรับสักคน!”
ตะโกนเสร็จก็หายวับไป
นางลื่นไถลตกลงไปอีกครั้ง
ท่านย่าหม่าตอนนี้อยู่ในสภาพกระเซอะกระเซิง อายุมากขนาดนี้ แข้งขาแขนก็ไม่ค่อยดี การปีนต้นไม้ต้องใช้เรี่ยวแรงเยอะอยู่แล้ว นี่ต้องปีนต้นไม้ในวันที่ฝนตกยิ่งเป็นเรื่องยากสำหรับหญิงสูงวัย
เฉียนเพ่ยอิงหันไปมองช่องหน้าต่างที่ว่างเปล่า สายฝนสาดโดนใบหน้าของนางทำให้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
แม่เจ้า มีคนมาจริงๆ บุตรสาวไม่ได้ฟังผิดไป
ซ่งฝูเซิงโดนลมเย็นพัดผ่านหลังคอก็รู้สึกเย็นวาบ เขาซุกตัวลงในผ้าห่มก่อนจะหรี่ตามอง กล่าวด้วยน้ำเสียงสะลึมสะลือ “ใครกัน ใครพูด?”
ซ่งฝูหลิงชี้ไปที่ประตู “ท่านย่าข้าโผล่มาแล้ว ครู่เดียวก็หายไป คงตกลงไปแล้ว ข้าบอกแล้วว่าได้ยินเสียงคนเรียกพวกเราให้ไปกินเนื้อ”
พูดตามตรง เมื่อสักครู่ซ่งฝูเซิงไม่เชื่อเรื่องนี้
ถ้าบุตรสาวพูดเพียงแค่ครึ่งประโยคด้านหน้า อืม มันก็ปกติดี มาแล้วก็มาสิ
แต่ครึ่งประโยคหลัง ฟังดูไม่น่าจะใช่เรื่องที่ท่านแม่ในยุคโบราณของเขาจะทำได้ นางยังเคยอยากเก็บผักดองไว้จนขึ้นรา มีหรือจะเรียกเขาไปกินเนื้อสัตว์?
เฉียนเพ่ยอิงมีปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็ว รีบดึงม่านให้ปิดแน่นสนิท ไม่ให้ฝนกับลมพัดเข้ามาจนทำให้สัมภาระเปียกชื้น
ท่านย่าหม่านั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ต้องใช้แรงมากกว่าจะลุกขึ้นยืนได้ นางสวมเสื้อซัวอี ยืนแหงนหน้ามอง เห็นม่านถูกปิดไปอีกรอบ “…”
ยังดีที่เฉียนเพ่ยอิงเพียงแค่ปิดม่าน ไม่ลืมแม่สามีในยุคโบราณ ปิดม่านเรียบร้อยแล้วก็รีบโยนเสื้อผ้าให้ซ่งฝูเซิง “รีบหน่อย สวมใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วรีบลงไปดู แม่ของท่านมาแล้วจริงๆ ฝนตกหนักขนาดนี้ อย่าให้นางตัวเปียกชื้น ข้าเห็นใบหน้าของนางมีน้ำไหลลงมา”
ซ่งฝูเซิงรับเสื้อผ้ากับกางเกงที่ภรรยาส่งมาให้ และใช้เท้าเตะเฉียนหมี่โซ่วที่กำลังนอนหลับสนิท “ตื่นได้แล้ว”
เฉียนเพ่ยอิงก็รีบสวมเสื้อผ้าของตนเองให้เรียบร้อย และดึงกระเป๋าที่มีเสื้อผ้ากับกางเกงออกมา นางดึงเสื้อขนสัตว์จากข้างในมาสองชุด
ส่งให้ซ่งฝูหลิงชุดหนึ่ง อีกชุดหนึ่งสวมใส่บนร่างของเฉียนหมี่โซ่ว
เฉียนหมี่โซ่วสวมเสื้อขนสัตว์ของพี่สาวจนเหมือนเป็นกระโปรงตัวเล็กๆ มือเล็กของเขาแอบลูบไล้เนื้อผ้าฝ้ายโมดอล[1]ที่อ่อนนุ่ม เขาเอ่ยขึ้น “ท่านป้า ข้าไม่เคยใส่ชุดแบบนี้ มันแปลกดีจัง แต่ใส่ไม่สบายตัวเลย มันยาวเกินไป”
เฉียนเพ่ยอิงโอบกอดเฉียนหมี่โซ่วเพื่อใส่กางเกงให้เขา “ถึงจะรู้สึกไม่สบายตัวก็ต้องใส่ไว้ ฝนในฤดูใบไม้ร่วงทำให้อากาศเย็น”
……
ซ่งฝูเซิงสวมเสื้อซัวอี ตะโกนเรียกท่ามกลางสายฝน “ท่านแม่ ท่านเดินช้าๆ หน่อย ข้าหาถุงมาให้ท่านสวมหน้า ท่านแม่? ระวังลื่นล้ม”
ท่านย่าหม่าโมโหมาก ไม่สนใจเขา
เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น จนนางสะดุดล้มหน้าคะมำลงไปในแอ่งน้ำ
“โอ้ย ตายแล้ว เพียงครู่เดียวก็หกล้มหน้าคะมำแล้วนั่น”
ซ่งฝูเซิงวิ่งมาพยุง “ข้าก็บอกท่านแล้วให้ช้าหน่อย ท่านก็ไม่ฟังข้า”
ซ่งฝูหลิงสวมหน้ากากเดินตามมาข้างหลัง ต่อให้เดินโต้ลมแบบนี้ฝนก็ไม่สาดโดนหน้า บนหัวสวมงอบและสวมใส่เสื้อซัวอี
ด้านหลังนูนใหญ่ นั่นเป็นเพราะซ่งฝูหลิงสะพายกระเป๋าเป้ไว้ใต้เสื้อซัวอี ด้านในใส่สิ่งของสำคัญจึงไม่สามารถทิ้งให้ห่างจากตัวได้ ไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น พวกเขาสามคนผลัดกันแบกกระเป๋านี้ ไม่กล้าวางทิ้งไว้ในเต็นท์ เดินไปที่ไหนก็แบกไปที่นั่น
เฉียนเพ่ยอิง มือหนึ่งกางร่ม มือหนึ่งอุ้มเฉียนหมี่โซ่ว
เฉียนหมี่โซ่วสวมหน้ากากไว้บนศีรษะ ในอ้อมกอดยังกอดก้อนข้าวเหนียวที่ใช้ถุงพลาสติกสีดำห่ออีกชั้นหนึ่งไว้ ก้อนข้าวเหนียวนั้นคือชีวิตของเขา ไม่สามารถอยู่ห่างจากกายแม้เพียงครู่เดียว
รู้สึกว่าท่านป้าอุ้มเขาและต้องถือร่มไปด้วยช่างลำบากนัก เฉียนหมี่โซ่วจึงนำก้อนข้าวเหนียววางไว้ตรงกลางระหว่างเขากับเฉียนเพ่ยอิง ยื่นมือเล็กมาเพื่อช่วยป้ากางร่ม เพียงพริบตาเดียวมือน้อยๆ กับชายแขนเสื้อของเขาก็ถูกน้ำฝนจนเปียกชื้น
พวกเขาเดินฝ่าสายฝนกลับไปในถ้ำอย่างทุลักทุเล เพิ่งโผล่หน้าเข้ามาก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น