บทที่ 13.3 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน (3)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

ในขณะนั้นเอง เฟิงหยูที่กำลังยืนอยู่ด้านข้างก็โปรยยิ้มออกมา จากนั้นก็ขยับริมฝีปากพูด “ตาแก่ฮูเหยียน เงินทองเป็นแค่ของภายนอก รับมาแล้วก็ย่อมต้องจ่ายออกไป เจ้ายังไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้อีกหรือ? จ้าวมณีสวรรค์นั้นไม่ได้พบเจอได้ง่ายๆ หากเจ้าพลาดโอกาสครั้งนี้แล้ว เจ้าย่อมไม่มีวันเจอโอกาสดีๆ เช่นนี้อีกตลอดชั่วชีวิตของเจ้า เวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ เจ้าค้าขายได้เงินทองมากมายมหาศาลมาเพื่ออะไรรึ? ใจของเจ้ามีความสุขหรือไม่? เงินทองสำคัญกว่าความฝันทั้งชีวิตของเจ้างั้นรึ?”

โจวเหว่ยชิงมองเฟิงหยูอย่างประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดเลยว่าเฟิงหยู ผู้ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้พิทักษ์ของฮูเหยียนเอ้าป๋อ จะพูดอะไรที่ไม่ใช่ธุระของตนออกมาเช่นนี้

คิ้วของฮูเหยียนเอ้าป๋อขมวดเข้าหากันเป็นปม ทันใดนั้นแสงสีเงินก็สว่างวาบขึ้นมา จากนั้นร่างกายของเขาก็หายไปจากห้องอย่างฉับพลัน ก่อนโจวเหว่ยชิงจะได้ทันขยับตัวทำอะไร แสงสีเงินนั้นก็ส่องแสงจ้าขึ้นมากะทันหันอีกครั้ง คราวนี้ชายชราร่างท้วมก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เรียบร้อยแล้ว ในมือของเขายังมีกล่องไม้สีดำ 2 กล่อง ชายชราส่งแต่ละกล่องให้กับโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์

“เจ้าทั้งคู่ไปที่ห้องข้างๆ เพื่อเริ่มหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ นี่คือธนูราชันย์สำหรับเจ้า ส่วนนี่ก็คือรองเท้าวายุประสานสำหรับแม่นางน้อย ให้เวลาข้าคิดสักครู่เถอะ ตาแก่เฟิงหยู เจ้านำพวกเขาไปสิ”

เฟิงหยูตอบกลับด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “ฮ่าๆๆ เด็กน้อยทั้งสอง ตามข้ามานี่เร็ว” เมื่อพูดจบ เขาก็เดินนำออกไป

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์รับกล่องที่มีน้ำหนักเบาพวกนั้นมา ก่อนจะเดินตามเฟิงหยูไป ตอนนี้มือของซ่าง กวนปิงเอ๋อร์ถูกโจวเหว่ยชิงจับไว้ แต่เธอก็ไม่ได้พยายามจะแกะมือของเขาออก เธอยังคงงุนงงและสับสนอยู่มาก สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ช่างราวกับเป็นความฝันตื่นหนึ่ง เมื่อครู่ พวกเขายังไม่แม้แต่จะมีเงินพอซื้อม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์พวกนั้น แต่ตอนนี้ทั้งคู่กลับได้รับกล่องคัมภีร์นั่นมาคนละกล่อง และแน่นอนว่าพวกเขาไม่เสียเงินแม้แต่แดงเดียว

เฟิงหยูนำพวกเข้ามายังห้องข้างๆ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เด็กน้อยทั้งสอง อย่าได้กังวลที่จะต้องแยกจากกันเลย เจ้าทั้งคู่เข้าไปคนละห้อง ขณะที่พวกเจ้ากำลังผสานกับศาสตรามณียุทธ์ พลังของพวกเจ้าจะได้ไม่ปะทะกัน”

ทันใดนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันที จากนั้นเธอก็รีบสะบัดมือออกจากการกอบกุมของโจวเหว่ยชิง ดวงหน้าของเธอขึ้นสีแดงซ่าน

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างอิดออด “ภรรยา เจ้าต้องระวังให้ดีนะ ตกลงไหม?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์แอบเหยียบเท้าเขาเต็มแรง ก่อนจะหันหลังวิ่งเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง เมื่อประตูปิดลง เธอก็เก็บซ่อนสีหน้าดีอกดีใจเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ใบหน้างดงามยิ้มแย้มจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้าง สีหน้าของเธอดูเบ่งบานราวกับดอกไม้ เธอกอดกล่องไม้ไว้ในอ้อมกอดแน่น หากเทียบกับศรติดตามไร้เสียงที่เป็นศาสตรามณียุทธ์ชิ้นแรกของเธอแล้ว รองเท้าวายุประสานที่สามารถเพิ่มระดับมณีธาตุได้นั้นแข็งแกร่งและดีกว่าหลายเท่านัก ดังนั้น แม้ว่าเธอจะถูกโจวเหว่ยชิงเอาเปรียบโดยการเรียกว่าภรรยา เธอก็ไม่ได้โกรธเขาขนาดนั้น

เมื่อมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์เดินจากไปแล้ว เฟิงหยูก็หันกลับมามองโจวเหว่ยชิงด้วยรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า เขากล่าวว่า “เจ้าอายุยังน้อย แต่กลับรู้วิธีจะคว้าโอกาสนี้ไว้เป็นอย่างดี เด็กน้อย เจ้ามีอนาคตไกลแน่นอน”

โจวเหว่ยชิงแสดงท่าทางที่ใช้ทำมาหากินบ่อยๆ อีกครั้ง สีหน้าของเด็กหนุ่มกลายเป็นซื่อๆ ไร้เดียงสา เขายิ้มและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสชมข้ามากเกินไปแล้ว ข้าต้องขอบคุณท่านที่ช่วยพูดแทนข้าก่อนหน้านี้ด้วย นั่นช่วยข้าได้มากเลยทีเดียว”

เฟิงหยูหัวเราะอย่างมีความสุข เขาตอบ “ไม่เป็นไรๆ ข้าทนกับตาแก่นี่มาพักหนึ่งแล้ว หากข้าไม่ได้สัญญาบางอย่างกับเขาไว้ ข้าก็คงไม่อยู่ที่นี่เพื่อปกป้องตาแก่ขี้เหนียวอย่างเขาหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าจะหลอมรวมเข้ากับศาสตรามณียุทธ์ใช่หรือไม่ เข้ามาเถอะ ข้าจะสอนวิธีหลอมรวมกับคัมภีร์พวกนี้เอง”

โจวเหว่ยชิงเข้าไปในห้องพร้อมๆ กับเฟิงหยู เมื่อเปรียบเทียบกับห้องที่หรูหราก่อนหน้านี้ ห้องนี้ดูเหมือนจะเป็นห้องว่างๆ ไม่มีอะไรเลย

เฟิงหยูกล่าว “เฮ้อ ช่วยไม่ได้ ตาแก่ฮูเหยียนนั่นขี้เหนียวเกินไปน่ะสิ เอาล่ะ นั่งลงเถอะ”

โจวเหว่ยชิงนั่งลงบนพื้นและเฟิงหยูก็นั่งลงตรงข้ามกับเขา จากนั้นชายหนุ่มก็หยิบกล่องไม้ไปจากมือของโจวเหว่ยชิง

ในขณะที่เขาเปิดฝากล่อง โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่าม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์นั้นไม่ได้มีเพียงแผ่นเดียว แต่มีหลายแผ่นมากจนหนาเป็นตั้งๆ กระดาษแผ่นบนสุดมีลวดลายรูปแบบที่ซับซ้อนอย่างยิ่งปรากฏอยู่ เขาสามารถมองเห็นตรงกลางของรูปแบบเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน มันมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับธนูราชันย์ในภาพที่เด็กหนุ่มเห็นก่อนหน้านี้

“ทำไมเยอะขนาดนี้!” โจวเหว่ยชิงถามด้วยความแปลกใจ

เฟิงหยูกล่าวตอบ “เจ้าไม่ได้ยินที่ตาแก่ฮูเหยียนบอกก่อนหน้านี้เหรอ ด้วยฝีมือระดับปรมาจารย์ของเขา อัตราความสำเร็จในการหลอมรวมเข้ากับผู้ใช้คือ 1 ใน 100  หรือพูดให้ชัดก็คือ มาตรฐานที่สำคัญที่สุดของปรมาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ก็คือ ใน 100 แผ่น จะต้องมีสักแผ่นที่สำเร็จแน่นอน แต่ถ้าหากเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับล่างๆ นั่นก็อาจจะพูดยากหน่อย แม้ว่าอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์จะสามารถกอบโกยเงินได้มหาศาล แต่อาชีพนี้ก็ยากที่จะฝึกฝนนัก แม้กระทั่งจ้าวมณีที่หายากอย่างจ้าวมณีทักษะธาตุมิติ พวกเขาก็ยังต้องพยายามอย่างหนัก อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่มีอัตราความสำเร็จต่ำก็จะมีคนอุดหนุนน้อย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์เพียงไม่กี่คน”

ในขณะที่เอ่ย เขาก็หยิบม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์แผ่นบนสุดขึ้นมาและส่งมอบให้กับโจวเหว่ยชิง

ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็สามารถเพ่งสายตาสำรวจม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ได้อย่างใกล้ชิด เขาพบว่าแผ่นกระดาษนั้นทำมาจากหนังชนิดพิเศษ และลายเส้นที่ปรากฏอยู่บนกระดาษแผ่นนี้ก็มีสีสันสดใส มีชีวิตชีวาราวกับว่าเป็นของจริง แม้ว่าเด็กหนุ่มจะมีมณีสวรรค์เพียงชุดเดียว แต่เขาก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงานที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษภายในม้วนคัมภีร์เล็กๆ นี้

“เจ้าสามารถทดลองหลอมรวมกับศาสตรามณียุทธ์ได้วันละหนึ่งครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็จะใช้ปราณสวรรค์ของเจ้ามากกว่าครึ่ง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องตกใจหากหลังจากนี้จะมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น ตอนนี้ให้เจ้าเริ่มชักนำพลังปราณสวรรค์ของเจ้าไปยังมณียุทธ์ จากนั้นวางมือขวาลงบนคัมภีร์แล้วพยายามสัมผัสถึงมันให้ได้ เจ้าไม่ต้องทำอย่างอื่นอีก มณียุทธ์ของเจ้าจะเริ่มแลกเปลี่ยนพลังกับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เองตามธรรมชาติ กระบวนการทั้งหมดนี้จะถูกทำผ่านการ กระตุ้นจากพลังปราณสวรรค์ของเจ้า”

“ขอบคุณขอรับท่านอาวุโส” แม้ว่าโจวเหว่ยชิงตะเป็นคนเจ้าเล่ห์ แต่เขาไม่ใช่คนที่ไม่รู้วิธีแยกแยะผิดชอบชั่วดี ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงรู้สึกชื่นชมจ้าวมณียุทธ์ระดับเทวะขั้นสูงที่จิตใจดีอย่างเฟิงหยูมาก

โจวเหว่ยชิงค่อยๆ เริ่มชักนำปราณสวรรค์จากจุดตันเถียนขึ้นไป เมื่อปราณสวรรค์ไหลผ่านจุดตาย ณ กระดูกไหปลาร้าบนไหล่ขวาของเขา อัตราการดูดกลืนที่หลุมดำนั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทันที จุดตายไท่หยวนที่ข้อมือขวาพลันปลดปล่อยมณียุทธ์หยกน้ำแข็งออกมา และภายใต้การหลอมรวมเข้ากับปราณสวรรค์ มณียุทธ์ของเขาก็ปล่อยละอองหมอกเย็นยะเยือกสายหนึ่งออกมาทันที จากนั้นความแข็งแกร่งที่เคยคุ้นก็แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย โจวเหว่ยชิงไม่กล้าหยุดชะงักนาน เขายกแขนขวาขึ้นด้วยมือซ้าย จากนั้นก็นำฝ่ามือขวากดทาบลงบนม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์

เมื่อมองดูมณียุทธ์หยกน้ำแข็งบริสุทธิ์ของโจวเหว่ยชิง ดวงตาของเฟิงหยูก็อดไม่ได้ที่จะเผยความอิจฉาออกมา

ในขณะที่ฝ่ามือของเขาสัมผัสกับม้วนกระดาษ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดมหาศาลจากม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ ทันใดนั้นปราณสวรรค์ของเขาก็ไหลทะลักออกมาจากร่างกายราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก ลวดลายบนม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เปล่งแสงสว่างออกมาอย่างฉับพลัน จากนั้นความรู้สึกแปลกประหลาดก็แผ่กระจายไปทั่วร่างกายของโจวเหว่ยชิง ราวกับว่าพลังที่แปลกประหลาดนั้นกำลังกลืนกินพลังปราณสวรรค์ไปด้วยขณะที่พวกมันเคลือบคลานไปทั่วร่างกาย

ไม่กี่อึดใจต่อมา ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ก็หายวับไปกับตา มันเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นแสงสว่างสายหนึ่งลอยวนล้อมรอบข้อมือขวาของโจวเหว่ยชิงเอาไว้ และในจิตใต้สำนึกของโจวเว่ยชิงก็ปรากฏภาพคันธนูยาวคันหนึ่งขึ้นมาทันที มันมีลักษณะคล้ายคลึงกับภาพที่เขาเห็นบนโต๊ะสี่เหลี่ยมก่อนหน้านี้ทุกประการ ความรู้สึกอันรุนแรงเข้มข้นค่อยๆ เกิดขึ้นภายในร่างกาย จากนั้นมันก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปยังมณียุทธ์หยกน้ำแข็งที่อยู่บริเวณมือขวา

มณีคู่ของจ้าวมณีสวรรค์มักจะต้องอยู่ด้วยกันเสมอ ในขณะที่มณียุทธ์ของเขากำลังถูกใช้งาน มณีธาตุอย่างไพฑูรย์ตาแมวสองสีก็ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นบนข้อมือซ้ายของโจวเหว่ยชิงที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ สิ่งที่ทำให้โจวเหว่ยชิงตกใจที่สุดก็คือ เมื่อเขาเริ่มใช้มณียุทธ์หลอมรวมเข้ากับศาสตรามณียุทธ์ จู่ๆ วงล้อทั้ง 6 สีก็เริ่มหมุนด้วยความเร็วสูงสุดอย่างไม่คาดคิด ขณะที่กงล้อกำลังหมุนอยู่นั้น ทั้งส่วนสีดำและส่วนสีเทาก็ส่องประกายแวววาวออกมา ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันยังดูดซับพลังปราณสวรรค์จากร่างกายออกไปด้วย นั่นทำให้ร่างกายของเขาต้องสูญเสียปราณสวรรค์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

……………………………………………………………..