ตอนที่ 61 จับที่แขนของผมไว้

เมื่อนักข่าวหันกลับมา พวกเขาต่างก็ถูกพบเลยว่า จิ่งเป่ยเฉินกับอันโหรวตอนนี้กำลังเดินออกมาเดินพรมแดง และมายืนอยู่ข้างหน้าสถานที่จัดงาน

“จับที่แขนของผมไว้” จิ่งเป่ยเฉินชะงักฝ่าเท้าก่อนจะงอข้อศอกขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาของเขาพลันเปล่งประกายสีดำที่ร้อนแรงออกมา

อันโหรวตกใจหนึ่งเฮือก ก่อนจะเหยียดมือที่คล้ายดั่งใบรากบัวหยกออกมาอย่างสง่างามและวางมันลงไปสอดตรงกับโค้งที่ว่าง พร้อมกับเผยรอยยิ้มใบบนหน้า เพียงแต่ว่า ใบหน้าที่เปรียบดั่งภูเขาน้ำแข็งของจิ่งเป่ยเฉินกลับพลันละลายลงเล็กน้อย ไม่นานเขาก็ยื่นบัตรเชิญไปให้กับผู้ดูแลที่อยู่ด้านข้างประตู เมื่อพวกเขาได้รับเสร็จ ก็รีบไปข้างหน้าและผลักประตูห้องประชุมให้แก่จิ่งเป่ยเฉิน

ทันใดนั้นเอง สายตาของทุกผู้คนก็ล้วนแล้วแต่จับจ้องไปยัง ผู้ที่งดงามและดูน่าทึ่งมากที่สุด

ในหมู่ของพวกเขาแล้ว นอกจากสกุลจิ่งและผู้อำนวยการหลี่ที่กำลังพูดคุยเจรจราด้านความร่วมมือกับโอวหยางลี่

“โหรวโหรว?”

ชายในชุดสูทจงใจแต่งตาให้กับอันโหร่ว ทำให้ดวงตาของเธอนั้นดูสดใสและสว่างมากขึ้น เธอ……คล้ายมากนัก คล้ายกับอันโหรว

โอวหยางลี่ที่กำลังจับมือแก้วไวน์ ก็พลันมือสั่นเล็กน้อย สีหน้าของเขานั้นแทบไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก แต่ก็เดินออกไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว ไม่นานก็เกือบจะเข้าใกล้แต่ก็ถูกเหอเหมียวที่อยู่เคียงข้างรั้งเขาเอาไว้

“พี่ชายโอวหยาง คุณเป็นอะไรไปเหรอคะ?” เหอเหมียวไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก ด้วยการจับจ้องไปยังโอวหยางลี่ และเมื่อเธอมองไปที่ประตูหลังก็เห็นอันโหรว ไม่นานดวงตาของเธอก็พลันเปลี่ยนไปโดยทันที

ทำไมเป็นหญิงชราคนนี้อีกแล้ว?

โอวหยางลี่ฟื้นสติกลับมาได้ จากนั้นก็มองเข้าไปใกล้ๆก็รู้ว่าเป็นอันอีหาน ดวงตาที่เปล่งแสงก็พลันหรี่ลงโดยทันที

เหอะ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้ทำตัวไร้สาระแบบนี้ โหรวโหรวโกรธเขาจะตาย ไม่มีทางมีหน้ามาพบกับเขาได้หรอก

อันโหรวไม่ได้รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย ในมือหยิบรับแชมเปญจากบริกร ท่วงท้าสง่างามที่ดั่งปลาที่แหวกว่ายอยู่บ่อน้ำ

สิ่งนี้เอง ก็ทำให้จิ่งเป่ยเฉินรู้สึกพึงพอใจมากนัก

“เห็นชายที่อยู่ข้างๆโอวหยางลี่รึเปล่า?” จิ่งเป่ยเฉินโน้มตัวลงไปกระซิบที่ข้างหูของเธอ เมื่อพูดจบก็เม้มปากที่ดูสมบูรณ์มากนัก และเอ่ยขึ้นต่อไปว่า “ชายคนนั้นมีชื่อว่าหลี่เฉิง เหมือนดั่งกระดูกสันหลังของสกุลเห่อ อีกอย่างข้างกายของหลี่เฉิงนั้นก็คล้ายๆกัน พวกคนเก่าแก่ของสกุลเห่อล้วนแล้วแต่ติดตามพวกคนเก่าๆแก่อย่างพวกเขา เพียงแต่ว่าตราบใดที่สกุลจิ่งสนใจ มีหรือที่สกุลเห่อจะต้านทานไหวได้”

“อย่างที่ว่า คุณจะพาฉันไปเป็นนักการทูตหรือยังไง?” อันโหรวหันศีรษะของเธอ พลางมองตากะพริบ เมื่อได้ฟังสิ่งที่เขาพูด เธอก็เข้าใจได้โดยทันที

“ผมจะให้คุณ….พิสูจน์โอกาสของตัวเอง” จิ่งเป่ยเฉินหัวเราะเบาๆ แต่ดวงตาของเขานั้นจับจ้องและไม่สนใจดวงตาของเธอเลยแม้แต่น้อย

จริงๆแล้ว เมื่อเขามองดูรูปร่างของเธอเขาก็หนักใจเช่นกัน

เสียงในใจของเขานั้นมันบอกกับเขามาว่า คนๆนี้คือโหรวโหรว โหรวโหรวที่เป็นของเขา

ทั้งสองคนดูใกล้ชนิดสนิทสนมกันมาก ฉากกระซิบที่ดูคลุมเครือเช่นนี้ถูกโอวหยางลี่จ้องมองอยู่ตลอด มันทำให้เขารู้สึกอัดอัดและไม่ชอบใจมากนัก

แม้ว่าจะเตือนตัวเองอยู่ในใจ ว่าคนๆนั้นไม่ใช่อันโหรว แต่ทว่าโอวหยางลี่ก็กลับทนไม่ไหว อารมณ์ของเขานั้นกลับถูกเธอกระชากและไม่คงที่มันรู้สึกไม่ไหวเสียจนอยากจะแยกพวกเขาที่อยู่ข้างหน้าให้พ้นๆซะไป

เหอเหมียวเหลือบมองไปยังแก้วไวน์ที่กำลังถูกกดอย่างหนักแน่นอยู่ในมือของโอวหยางลี่ หัวใจเธอก็พลันรู้สึกวูบวาบขึ้นเล็กน้อย

เธอไม่เคยเห็นโอวหยางลี่แสดงท่าทีเช่นนี้มาก่อนเลย มันเหมือนกับว่าของรักที่ถูกตรงหน้ากับถูกปล้นไป ความเป็นศัตรูเปิดเผยอย่างท่วมท้น มันปกปิดอารมณ์ที่แสนอบอุ่นของเขาไปอย่างสิ้นเชิง

“พี่โอวหยาง พี่……” เหอเหมียวยื่นมือไปดึงเสื้อผ้าของโอวหยางลี่และคิดจะทำตัวเหมือนเด็กน้อย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกผลักออกไปด้วยความแรงก่อนที่เขาจะพูดว่า “อา…….”

เหอเหมียวควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่ช้าเธอล้มลงกับพื้นทันที รองเท้าส้นสูงกว่าสิบเซนติเมตรทำให้เท้าของเธอนั้นทรมานและน้ำตาก็ไหลรินเข้าตา

โอวหยางลี่เริ่มที่จะหนวกหู ก่อนจะวางแก้วไวน์ของตนไปที่ถาดของพนักงานเสิร์ฟที่ถือแก้วไวน์แดง แล้วเดินไปยังจิ่งเป่ยเฉิน

“ประธานจิ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าคุรจะมางานเต้นรำที่แสนน่าเบื่อแบบนี้ด้วย” โอวหยางลี่เผยริมปากที่กระตุกเล็กน้อย ดวงตาของเขานั้นเปลี่ยนเป็นท่าทีที่เย็นชา

เขายื่นแก้วไวน์ไปให้และเลิกคิ้วขึ้น

จิ่งเป่ยเฉินรับมันไว้อย่างราบรื่น ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็ส่งมันไปให้อันโหรว “เมื่อครู่คุณไม่ดื่มอะไรเลย?! ดื่มซะสิ”

“คุณ……” อันโหรวกัดฟันเล็กน้อย ก่อนจะมองไปยังแก้วไวน์ตรงหน้าของเธอ เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นเธอก็หยิบมันขึ้นมา และเงยหน้าขึ้นก่อนจะดื่มมัน แต่ก็พยายามพูดเล็กน้อย “ขอบคุณนะคะ ประธานจิ่งที่กรุณาให้ฉันแบบนี้”

โอวหยางลี่ใบหน้ากับมืดมนลงทันที มือที่ล้วงอยู่ในกระเป่ากลับกำหมัดแน่นมากขึ้น ดวงตาฉายแววตาสีแดง

การกระทำของจิ่งเป่ยเฉินมันเหมือนกับการดูถูกเหยียดหยามเขามากนัก

แต่ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาในห้างสรรพสินค้า โอวหยางลี่ได้กำจัดความไร้สาระในวัยเด็กไปจนหมดสิ้น แม้ว่าเขาจะโกรธมาก แต่ก็ยังคงแสดงความสงบนิ่งบนใบหน้าของตนเอาไว้

………

ตอนที่ 62 คนธรรมดาไม่อาจขึ้นเวทีใหญ่ได้หรอก

“ประธานจิ่ง เพื่อนผู้หญิงของคุณ ใช่คนจากแผนกวางแผนชื่ออันอีหานรึเปล่า? ครั้งที่แล้ว พวกเราได้เห็นเธออยู่เลยนะ”โอวหยางลี่เดินเข้าไปใกล้ๆ มองไปที่อันอีหาน เมื่อเห็นดวงตาคู่นั้นเขาก็ยิ่งสั่นไหวมากขึ้น

….

เขากลัวจำผิดไป

อันโหรวเห็นว่ามีคนเรียกชื่อของเธอ ทันใดนั้นก็พยักหน้าก้มหัวยอมรับ “คุณชายโอวหยางความจำดีจังนะคะ แม้กระทั่งคนที่ไม่สมควรรู้จักเช่นฉันก็ยังจำได้ชัดเจนถึงเพียงนี้”

“คนที่ประธานจิ่งพามาด้วย ก็ย่อมไม่ธรรมดาอย่างที่คิดหรอก แน่นอนผมต้องจำไว้ ไม่มีทางที่จะลืมเลือน” โอวหยางลี่ยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับคุณชาย คำพูดแค่ละคำนั้นดูเหมือนกับคนเจ้าเล่ห์ก็มิปาน

“คุณชายโอวหยางก็ยกย่องเกินไปแล้วค่ะ!” อันโหรวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปมาสองสามรอบ “คุณชายโอวหยางมางานเต้นรำในวันนี้ แน่นอนว่าคุณภรรยาของสกุลเหลียวคงต้องมาด้วยใช่ไหมค่ะ”

เธอพูดอย่างตกใจเพราะเห็นเหอเหมียวยืนอยู่ข้างหลังของโอวหยางลี่ เมื่อเห็นเช่นนั้นเธอก็รู้สึกค่อนข้างโกรธนิดหน่อย

การเอ่ยวาจาเช่นนี้ แน่นอนย่อมทำให้เกิดความอับอายทั้งสองคนแน่ๆ

โอวหยางลี่ขมวดคิ้วขึ้น เขารู้สึกเสมอว่าอันอีหานคนนี้พยายามปฏิบัติกับเขาเหมือนเช่นวันที่ไปสกุลเหอจริงๆ เธอจงใจใช้คำพูดที่ทำให้เขาดูอับอาย และมักจะพยายามพูดถึงเหลียวเว่ยอยู่ตลอด

เหมือนกับว่าเธอนั้น…..รู้จักเขาดีมาก

“วันนี้ภรรยาผมเขาไม่ค่อยสบาย เลยมาร่วมงานไม่ได้”

ทันทีที่โอวหยางลี่พูดออกไป ที่ด้านหน้าเหอเหมียวก็ได้รีบเดินเข้ามาก่อนจะโอบไปที่แขนของเขา แต่นั้นไม่นานเท่าไหร่ เขาก็พยายามเขย่าและสบัดแขนออกอย่างไม่เต็มใจ จนทำให้เหอเหมียวต้องเอ่ยพูดออกมา “พี่โอวหยาง นี่คุณหมายความว่ายังไงเหรอค่ะ คุณไม่ใช่บอกว่า มีแต่ฉันเท่านั้นที่จะเป็นคู่งานเต้นรำของคุณได้?”

“เหอเหมียว อย่ามาสร้างปัญหา!” ความอดทนของโอวหยางลี่เริ่มเก็บไม่อยู่ ใบหน้าของเขานั้นพลันมืดดำดิ่งลง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแสใครทั้งสิ้น

จิ่งเป่ยเฉินเหลือบมองไปยังโอวหยางลี่ ก่อนจะเอ่ยยิ้มอย่างสบายๆไปว่า “คนธรรมดาไม่อาจขึ้นเวทีใหญ่ได้หรอก”

การเยาะเย้ยด้วยน้ำเสียงเช่นนี้เมื่อได้ยิน เขานั้นไม่ได้กำลังเยาะเย้ยเหอเหมียว แต่กลับเป็นโอวหยางลี่ต่างหาก

เมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้ การพาผู้หญิงที่ไม่มีมารยาทอ่อนน้อมถ่อมตนมา มันก็เหมือนทำให้ผู้คนเยาะเย้ยยังงั้นเหรอ?

ใบหน้าของโอวหยางลี่พลันตึงเครียด ดวงตาสีเข้มของเขาเผยแววตาที่ดูเป็นศัตรู จิ่งเป่ยเฉินไม่ได้เหลือบสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะพาอันโหรวเดินผ่านไป

“พี่โอวหยาง คุณเป็นอะไรไปน่ะ? หนูกลัว…..” เหอเหมียวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จิ่งเป่ยเฉินเอ่ยคำพูดนั้นมาเธอก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจ ซึ่งสิ่งที่เธอมันเหมือนกับยั่วยุโอวหยางลี่ ไม่ช้าเขาก็ระเบิดอารมร์ออกไป

“ออกไป!”

โอวหยางลี่ยกมือของเธอออก สายตาของเขาหันไปมองเธอก็ดูน่าเบื่อมากนัก

อันโหรวที่ตอนนี้กำลังพูดคุยกับหลี่เฉิง ในมือของเธอมีแก้วไวน์หนึ่งแก้ว เขาเอ่ยพูดกับหลี่เฉิงไปว่า “ผู้อำนวยการหลี่ ฉันเคารพคุณนะ?”

หลี่เฉิงเข้าใจจุดประสงค์ของจิ่งเป่ยเฉินในวันนี้ดี แม้ว่าจะรู้แต่ก็ไม่เอ่ยพูดอะไรมาก ก่อนจะหยิบแก้วไวน์ของอันโหรวและเอ่ยหัวเราะเสียงดัง “คุณหนูอันมาๆ ดื่มกัน ฉันชอบ!”

“ฉันขอชนให้คุณนะคะ ผู้อำนวยการหลี่” อันโหรวยิ้มและเงยหน้าขึ้น ก่อนจะดื่มไวน์แดงที่อยู่ในแก้วจนหมด

เมื่อดื่มเสร็จ ก็ได้เวลาคุยธุระจริงจังกันเสียที

“หลี่ต่ง คุณเป็นถึงผู้ที่ควบคุมสกุลเห่อ พวกเราสกุลจิ่งอยากจะรับสกุลเห่อเข้ามาอยู่ด้วย คุณน่าจะทราบเรื่องนี้มานานแล้วใช่ไหมค่ะ” อันโหรวเอ่ยขึ้นแบบตรงๆราวกับมีดพร้อมเฉือน ที่ไม่ยอมปล่อยให้ผู้คนล่าถอยแต่อย่างใด

คำพูดที่ดูโหดเหี้ยม แต่ร่างกายกลับเผยความงดงามทางปัญญา

จิ่งเป่ยเฉินจับจ้องไปที่อันอีหาน ไม่รู้ว่าตัวว่าริมฝีปากของเขานั้นคดงอ วันนี้พาเธอมาด้วย นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดจริงๆ

“พูดอย่างตรงไปตรงมา สกุลเหอก็เหมือนกับอูฐที่กำลังรอวันตาย ไม่ว่าจะล้มละลายหรือไม่แต่อย่างใด พวกเราสกุลจิ่งเองก็พร้อมบดขยี้พวกสกุลเห่ออย่างสมบูรณ์ได้ ” อันโหรวฉายแววตาที่คม ถ้าหากมีเลือดที่สามารถไหลออกมาได้ ก็ต้องบอกได้เลยว่าเธอนั้นหั่นไปหลายส่วน

เธอเผยริมฝีปากขึ้นและน้อยก่อนจะโยนผลไม้เข้าปาก “ฉันรู้ว่าผู้อำนวยการหลี่เฝ้าดูการเติบโตของสกุลเห่อมาโดยตลอด แต่ยามนี้มันยังไม่ร่วงหล่น กลับต้องถูกเด็ดหัก แต่คุณควรเข้าด้วยนะคะ ว่าประโยชน์ที่ดีเช่นนี้ไม่ได้มาบ่อยๆ”

หลี่เฉิงไม่ได้คิดเลยว่าคำพูดของอันโหรวจะดูเฉียบคมขนาดนี้ แต่ละประโยคที่เอ่ยมาล้วนตรงจุดของทั้งสิ้น คิดไม่ถึงเลยว่าคำพูดพูดนี้จะไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ

“คำพูดของคุณหนูอันกล่าวไม่ผิด แต่ว่าผมเองไม่ได้เป็นแค่ประธานของสกุลเห่อแน่นอนไม่อาจตัดสินใจว่าบริษัทจิ่งหรือครอบครองสกุลเห่อได้หรือไม่นี่สิ” หลี่เฉิงพูดพร้อมกับส่ายหัวไปมาด้วยท่าทีที่หงุดหงิดเล็กน้อย

อันโหรวเห็นหลี่เฉิงรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย อันโหรวที่จะก้าวถึงชัยชนะ แต่ก็ถูกเสียงขัดเอาไว้เสียก่อน….

“ผู้อำนวยการหลี่ ผมออกไปสักพักนึง คุณกำลังพูดคุยกับประธานจิ่งอยู่เหรอ?”

โอวหยางลี่เอ่ยอย่างธรรมชตาติ เผยมุมปากที่ยกขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปหาพวกเขาอย่างช้าๆ

หลี่เฉิงเมื่อเห็นโอวหยางลี่ ภายในใจเขาก็รู้สึกเข้าใจได้โดยทันที

สกุลโอวหยางและสกุลจิ่งต่างก็แย่งชิงไปมาระหว่างสกุลเห่อ เขารู้เรื่องนี้มาสักพักนึงแล้ว แต่สองคนนี้เป็นสองตระกูลใหญ่ แน่นอนหากคิดจะฮุบสกุลเห่อที่เหมือนปลาซิ่วปลาสร้อยพวกเขาก็ต้องแย่งชิงด้วยกำลังเงินทั้งนั้น