ตอนที่ 56 เลี้ยงลูกแกะ

ซูตานหงเคยคุยเรื่องซื้อห้องชุดกับจี้เจี้ยนอวิ๋น ซึ่งมีแค่หงเจี่ยเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ กับคนอื่นนั้นเธอไม่ได้พูดอะไร ต่อให้บอกกับคนอื่นก็จะบอกในอนาคตข้างหน้า

“งั้นเธอก็พักผ่อนให้ดีเถอะ แม่จะส่งใบแสดงความจำนงนี้ให้กับหัวหน้าหมู่บ้านเอง” คุณแม่จี้บอก

“ค่ะแม่” ซูตานหงพยักหน้า

หลังจากคุณแม่จี้กลับไปแล้ว ซูตานหงมองไปที่นาฬิกาและเตรียมตัวเข้าห้องครัวเพื่อเตรียมอาหาร

มื้อกลางวันนี้เธอจะต้องกินคนเดียว และเธอก็ได้ลงมือทำเกี๊ยวหมู

เดิมทีเธอจะไม่ค่อยกินเนื้อหมู แต่เดี๋ยวนี้กลับอดไม่ได้ ตั้งแต่เธอตั้งท้อง ความต้องการเนื้อสัตว์ก็เพิ่มมากขึ้นอย่างมาก ไม่ใช่พียงแค่เนื้อหมูเท่านั้น ยังมีเนื้อสัตว์อื่น ๆ และปลา ไข่ก็เช่นกัน

หลังจากกินเกี๊ยวเสร็จซูหงก็ทำอาหารให้กับต้าเฮย

ซึ่งมันก็ได้รับอาหารวันละสองมื้อเช่นเดียวกับสุนัขทั้งสามในสวนผลไม้ คือมื้อเช้าและมื้อเย็น

แต่ถึงจะเป็นอาหารเพียงสองมื้อต่อวัน คุณแม่จี้ก็ยังรู้สึกทุกข์ใจทุกครั้งที่เห็น

สุนัขทั้ง 4 ตัวกินอาหารในปริมาณมาก ทั้งปลาตัวใหญ่และเนื้อ และพวกมันก็กินดีอยู่ดีกว่าคนบางคนเสียอีกจนนางเห็นแล้วปวดใจ แต่เมื่อเห็นสภาพร่างกายภายนอกและประสิทธิภาพในการพิทักษ์สถานที่แล้วนางก็ต้องเอ่ยชมด้วยความรู้สึกซับซ้อน

คุณแม่จี้คิดว่าที่สุนัขทั้งสี่นี้ดูเปี่ยมพลังเพราะได้กินอาหารอย่างดี พวกมันไม่ได้มีความเป็นอยู่ในระดับเดียวกับสุนัขตัวอื่นในหมู่บ้านเลย

หลังกินอาหารกลางวันเสร็จ ซูตานหงก็ลงมือเย็บถุงเท้าให้กับเจ้าตัวน้อย ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งจำเป็น เพราะฤดูหนาวใกล้จะมาถึงแล้ว

หลังจากนั้นเธอก็งีบสักครู่หนึ่งและไม่กล้าที่จะนอนนาน หลังจากนอนหลับไปประมาณ 1 ชั่วโมงเธอก็ตื่นขึ้นมาและทำกิจกรรมอื่น ๆ ต่อ และเดินไปที่สวนหลังบ้านเพื่อเก็บผักสมุนไพร เป็นเพราะได้รับการรดน้ำด้วยน้ำพุวิเศษนี่เอง พวกมันจึงเจริญเติบโตดีเป็นพิเศษและมีสรรพคุณเฉพาะตัวสูง

ซูตานหงเก็บสมุนไพรแล้วก็ไปที่บ้านของแม่สามี

คุณแม่จี้กำลังซ่อมคอกแกะอยู่ ซึ่งนี่เป็นคอกเดิมที่เคยมี เพราะในอดีตตระกูลจี้เคยเลี้ยงแกะไว้ แต่ตอนนี้ไม่ได้เลี้ยงแล้ว

“แม่ทำอะไรกับคอกแกะอยู่เหรอคะ?” ซูตานหงถาม

“แม่จะไปจับลูกแกะมาเลี้ยงสัก 2 ตัวน่ะ ตานหง เธอคิดว่าดีไหมล่ะ?” คุณแม่จี้ยิ้มให้เมื่อเห็นเธอมาหา

“ดีค่ะ” ซูตานหงได้ยินแล้วก็เห็นด้วย แกะนั้นเลี้ยงง่ายมาก ต้องบอกว่าบนภูเขาตอนนี้มีหญ้าขึ้นอยู่เป็นจำนวนมากที่ใช้เลี้ยงแกะได้ ถึงอย่างไรคุณพ่อจี้ก็ต้องขึ้นเขาทุกวันอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินของพวกมันทั้ง 2 ตัวเลยหากว่าคุณพ่อจี้ต้อนขึ้นไปบนภูเขาทุกวัน

แต่เพื่อไม่ให้ลูกแกะขับถ่ายเรี่ยราด จึงจำเป็นจะต้องให้เสี่ยวไป๋คอยจับตาดูสักหน่อย

ทว่าเธอก็ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ออกไป ไม่อย่างนั้นแม่สามีคงจะหาว่าเธอหน้าซื่อใจคด แต่เธอเป็นคนที่ค่อนข้างรักความสะอาด เมื่อคิดถึงตอนเดินเหยียบอุจจาระแกะแล้วเธอก็ทนไม่ได้จริง ๆ

แม้ว่าอุจจาระแกะจะไม่เหม็นมากก็ตาม

คุณแม่จี้ดีใจอย่างมากเมื่อเธอตอบตกลง หลังมองเธอโยนสมุนไพรลงไปในเล้าไก่แล้วบรรดาไก่ก็มารุมจิกกินในทันทีราวกับเห็นอาหารอันโอชะแล้ว นางก็เอ่ยขึ้น “แม่ก็เก็บผักที่สวนตัวเองแล้วโยนให้พวกมันกินเหมือนกัน แต่พวกมันก็ไม่ชอบ พอเธอเป็นคนให้พวกมันกลับแย่งกันกินอย่างที่เห็น”

“มันเป็นผักสมุนไพรที่ปลูกในสวนหลังบ้านของพวกเรานี่คะ ที่ดินของเราอุดมสมบูรณ์อย่างมาก ผักทุกอย่างเติบโตได้อย่างแข็งแรงแทบทุกต้นเลยค่ะ” ซูตานหงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“นั่นก็จริงนะ ผักที่เธอปลูกทั้งอวบน้ำ รสสัมผัสนุ่มนวล และหวานอร่อยโดยไม่ต้องใส่ปุ๋ยเลยล่ะ” คุณแม่จี้เอ่ย

ที่สวนหลังบ้านของซูตานหงมีผักที่คุณแม่จี้มาปลูกไว้ เธอเองก็เคยเห็นว่าก่อนหน้านี้คุณแม่จี้มาใส่ปุ๋ยไว้เหมือนกัน แต่ซูตานหงก็แกล้งทำเป็นไม่สบายและไม่ได้เป็นคนทำเรื่องนี้ เพราะนางใส่ปุ๋ยทั้งสวนด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งมันมีกลิ่นเหม็นรุนแรงมาก

คุณแม่จี้เองก็ช่วยไม่ได้ จึงไม่ใส่ปุ๋ยให้เธออีก ใครจะรู้ว่าในตอนที่ผักโตขึ้นแล้วเด็ดมากินมันจะอร่อยจนน่าประหลาดใจขนาดนี้

หลังจากนั้นคุณแม่จี้ก็เดาว่าเซียนจิ้งจอกนี่คงไม่ชอบกลิ่นเหม็นของปุ๋ย นางจึงไม่ได้ใส่ปุ๋ยอีก ต่อให้ไม่ใส่ปุ๋ยมันก็มีรสชาติดี ซึ่งนั่นดีกว่ามาก

“แม่มีเงินพอที่จะซื้อแกะไหมคะ?” ซูตานหงถาม

“พอสิ แม่ยังพอมีอยู่บ้าง” คุณแม่ยิ้ม

คุณแม่จี้ไม่คิดว่าสะใภ้ที่สามของนางจะเป็นคนดีเช่นนี้ ซึ่งเธอจะไม่ขอเลยหากว่านางไม่ได้ให้ แตกต่างจากทางบ้านใหญ่หรือบ้านรองและบ้านสี่มาก ถ้าพวกเขาได้ยินเรื่องนี้จะรีบซ่อนตัวในทันที แต่ถ้าแกะโตเมื่อใด พวกเขาก็จะมากินด้วย

คุณแม่จี้ไม่ได้เอ่ยอะไร เรื่องนี้นางรู้ดีอยู่ในใจแล้ว

“ถ้างั้นแม่ก็เลี้ยงเพิ่มอีก 2 ตัวสิคะ ถึงตอนนั้นจะได้ต้อนขึ้นภูเขาไปง่าย ๆ ฉันจะกลับไปหยิบเงินมาให้นะคะ” ซูตานหงบอก

“ได้สิ” คุณแม่จี้ก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน นางจึงตอบตกลง

หลังดูไก่แล้ว ซูตานหงก็สนทนากับคุณแม่จี้ต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะกลับบ้านไป

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่โมงครึ่งแล้ว เธอจึงปรุงเนื้อหมูสามชั้นไว้ 2 ชิ้น เมื่อสุกได้ที่ก็หยิบไปชิ้นหนึ่งพร้อมกับเงินค่าลูกแกะ

“เธอไม่ต้องเอาเงินมาเยอะขนาดนี้หรอก” คุณแม่จี้รับหมูสามชั้นไว้แล้ว เมื่อนางเห็นเงินจำนนวน 20 หยวน นางก็ส่ายหน้าทันที

เงิน 20 หยวน ซื้อแกะได้ 4 ตัวเลยล่ะ

“คุณแม่รับไปซื้อเถอะค่ะ ถ้ามีปัญหากับพี่สะใภ้ทั้งหลาย ก็ให้บอกไปว่าฉันเลี้ยงแกะให้แม่นะคะ” ซูตานหงยิ้ม

คุณแม่จี้ลังเล แต่ก็รับเงินไว้และเอ่ยขึ้น “ตกลง งั้นแม่จะรับไว้นะ  แม่ยังมีเงินเหลืออยู่ ถ้าเธอขาดมือเมื่อไหร่ก็มาบอกได้นะ”

“ขอบคุณค่ะคุณแม่” ซูตานหงตอบด้วยรอยยิ้ม

ซูตานหงกับคุณแม่จี้ต่างหอบหิ้วไหผักกาดดองเล็ก ๆ พวกมันพร้อมที่จะกินกับเนื้อแล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นชอบกินอาหารจากนี้ นางเองก็ชอบกินเช่นกัน

จี้เจี้ยนอวิ๋นกลับมาถึงบ้านในตอนหกโมงเย็น

“คุณไปไหนมาไหนทั้งวันเลย เหนื่อยไหมคะ” ซูตานหงถามพลางยื่นน้ำอุ่นให้เขาดื่ม

“ผมไม่เหนื่อยเลย เพียงแต่มันมีฝนปรอย ๆ ลงมาเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับตอนที่ผมไปทำภารกิจ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูดและดื่มน้ำวิเศษอุ่น ๆ ไปอึกหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาตาฝาดไปเองหรือไม่ แต่เขารู้สึกว่าตอนนี้สภาพร่างกายของเขาดีขึ้นเรื่อย ๆ

แน่นอนว่าภรรยาของเขาชอบดูแลเอาใจใส่คนอื่น เขาได้กลิ่นอาหารแล้วก็ไม่รู้ว่าเธอทำของอร่อยอะไรอีก ซึ่งมันมีกลิ่นหอมน่ารับประทานอย่างมาก

“ภรรยา ผมทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ผมซื้อห้องชุดสองห้องไปในราคา 6,400 หยวน” จี้เจี้ยนอวิ๋นหยิบเอกสารทั้งหมดออกมาจากกระเป๋าเอกสาร มันมีใบรับรองอสังหาริมทรัพย์สองใบ ใบเสร็จรับเงินและอื่น ๆ ซึ่งถือว่าการซื้อขายเสร็จสมบูรณ์

ซูตานหงหยิบมาอ่านอย่างพอใจอย่างมาก ห้องชุดแห่งนี้มีสภาพใกล้เคียงกับห้องชุดครั้งก่อนที่เธอซื้อเอาไว้ในเมืองเจียงสุ่ย ซึ่งเป็นห้อง 108 ตารางเมตรเหมือนกัน เพียงแต่ว่าที่แห่งใหม่นั้นถูุกกว่าเดิมถึง 1,000 กว่าหยวน

แต่นั่นก็ไม่เป็นไร ราคาห้องชุดของเมืองในมหาวิทยาลัยตอนนี้สูงกว่าในตัวเมืองเจียงสุ่ยนัก ถ้าไม่ใช่เพราะหงเจี่ยแล้ว คงจะซื้อห้องชุดไม่ได้ในราคาถูกแบบนี้หรอก

“พี่หงซื้อกี่ไปชุดคะ” ซูตานหงถามขึ้น

“หล่อนก็ซื้อไปสองชุดเหมือนกัน” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบกลับทันที

ห้องชุดทั้งสองนั้นไม่ได้อยู่ที่อาคารเดียวกัน มันอยู่ที่ตึกหมายเลข 11 กับ 12 เพียงแต่ว่ามันเป็นชั้นเดียวกันเท่านั้น

มันแตกต่างจากที่เธอซื้อในเมืองเจียงสุ่ยก่อนหน้านี้ ซูตานหงซื้อห้องชั้นที่ 7 เอาไว้ และเธอก็ชอบห้องตรงชั้น 7 มาก

 แม้ว่าชั้น 7 จะดีมาก แต่ว่าตอนนี้มันแย่หน่อยตรงที่ไม่มีลิฟต์ มีแค่บันไดเท่านั้น และผู้คนต้องเดินขึ้นบันไดกัน

ดังนั้นครั้งนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงเลือกซื้อมาในราคาที่ต่ำลงไปอีก เขาเลือกซื้อห้องชุดทั้งสองที่อยู่บนชั้น 5 ซึ่งชั้น 5 ถือว่ายังยอมรับได้อยู่

………………………………………