ตอนที่ 109 ที่มาของเงิน / ตอนที่ 110 ธนาคารไท่เฟิง

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 109 ที่มาของเงิน 

 

 

หญิงชราถอนใจ ตั้งสติ พ่นคำกล่าวที่คิดมาในใจอย่างดีแล้วก่อนหน้านี้ออกมา “เรียนใต้เท้า แน่นอนว่ามีหลักฐาน ก่อนหน้านี้สกุลไป๋ของพวกข้าเพิ่งทำเงินหายไปสามสิบตำลึง ส่วนหญิงชั่วช้าไป๋จื่อและจ้าวหลาน…” เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาดุดันขององครักษ์จินมองมา นางก็รีบแก้คำพูดทันที “ต่อมาพวกนางซื้อที่ดินสร้างบ้าน โลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ อีกอย่างวันก่อนพวกนางเพิ่งแยกบ้านกับพวกข้า พวกนางจากไปโดยที่ไม่มีเงินติดตัวสักแดง เพิ่งผ่านมาวันเดียว ก็มีเงินซื่อที่ดินสร้างบ้านอย่างนั้นหรือ พูดเช่นนี้ผู้ใดจะเชื่อ!” 

 

 

เมิ่งหนานถามไป๋จื่อ “เจ้าจะว่าอย่างไร” 

 

 

“ข้าไม่เคยพูดว่าเงินซื้อที่ดินสร้างบ้านเป็นของข้าและท่านแม่ เงินนี้พวกข้ายืมมาจากท่านลุงหู ไม่เชื่อพวกท่านถามท่านลุงหูดูก็ได้เจ้าค่ะ” ไป๋จื่อกล่าว 

 

 

เมื่อหลิวซื่อได้ยินดังนั้น นางก็ร้องขึ้นทันที “เป็นไปไม่ได้ สถานการณ์ที่บ้านของหูจ่างหลินเป็นอย่างไร มีใครบ้างไม่รู้ ถึงแม้จะหาเงินพวกนี้มาได้ ก็ต้องใช้รักษาหูเฟิงจนเกลี้ยง จะยังมีเงินให้พวกเจ้ายืมซื้อที่สร้างบ้านได้อย่างไร” 

 

 

ไป๋จื่อแค่นหัวเราะ “ดูท่าหลิวกว้าหัวไม่เพียงเป็นคนสกุลไป๋ แม้กระทั่งเป็นคนสกุลหูเสียด้วย ท่านลุงหูมีเงินทั้งหมดเท่าไรเจ้าล้วนรู้ดี ช่างมีความสามารถเสียจริงๆ” 

 

 

เหตุใดหลิวซื่อจะฟังเจตนาถากถางในคำพูดนี้ไม่ออก นางพลันโกรธจนหน้าแดง แต่กลับไม่กล้าเปิดปากต่อว่าต่อหน้าใต้เท้าเมิ่ง ทำได้เพียงถลึงตามองเด็กสาว 

 

 

หูจ่างหลินกล่าวต่อ “หลิวกว้าหัว เจ้าพูดจาอะไรย่อมต้องชัดเจน พวกเจ้าสกุลไป๋มีความสามารถหาเงินได้ แล้วพวกข้าสกุลหูจะต้องยากจนไปทั้งชีวิตเลยหรือ” 

 

 

“ดี ในเมื่อพวกเจ้าบอกว่าเงินนี่เป็นของสกุลไป๋ เช่นนั้นเจ้าก็พูดสิ ว่าได้เงินนี้มาจากที่ใด เป็นคนหมู่บ้านเดียวกันแท้ๆ อาศัยการทำไร่ทำนาเลี้ยงชีพ สกุลใดหาเงินได้เท่าไรต่อปี มีใครบ้างไม่รู้ หากเจ้าบอกไม่ได้ว่าได้เงินนี้มาอย่างไร เช่นนั้นก็เท่ากับว่าขโมยของพวกข้าสกุลไป๋” หญิงชรากล่าว 

 

 

อย่าว่าแต่องครักษ์จินและเจ้าพนักงานสองคนที่ติดตามมาด้วย แม้แต่เมิ่งหนานที่แต่ไหนแต่ไรใจเย็น ล้วนอยากหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ สตรีนางนี้ช่างหน้าด้านเสียเหลือเกิน คำพูดเหล่านั้นไร้หลักการและเหตุผลอย่างชัดเจน ทว่านางพูดออกมาจากปากแล้ว ราวกับมีเหตุผลจริงตามนั้นก็ไม่ปาน 

 

 

ไป๋จื่อกลับไม่โต้ตอบมาก คนสกุลไป๋ก็มีนิสัยเช่นนี้ หน้าหนาเสียยิ่งกว่ากำแพงเมือง พูดจาอะไรล้วนเห็นตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ชอบพูดจาด้วยเหตุผล กลับดำเป็นขาวตามใจชอบ 

 

 

“เจ้าหมายความว่า เงินสามสิบตำลึงนี้ของเจ้ามีที่มาชัดเจนกระมัง ในเมื่อพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นเจ้าพูดก่อนดีกว่า ว่าเงินสามสิบตำลึงนี้ของพวกเจ้าได้มาอย่างไร ทุกคนล้วนทำไร่ทำนา คนอื่นหาเงินมาทั้งชีวิตเกรงว่าจะยังหาเงินไม่ได้มากเท่านี้ แม้คนสกุลไป๋ของพวกเจ้าจะอาศัยอยู่ร่วมกันหลายคน ทว่าก็ทำงานอยู่ไม่กี่คน ทั้งยังส่งเสียลูกหลานเข้าเรียนอยู่หนึ่งคน ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าเงินสามสิบตำลึงนี้ของพวกเจ้า แท้จริงแล้วได้มาได้อย่างไร” ไป๋จื่อถาม 

 

 

หญิงชราพลันตะลึงลาน จากนั้นก็ดึงสติกลับมา “สกุลหูของพวกเจ้าเทียบกับพวกข้าสกุลไป๋ได้หรือ พวกข้ามีที่ดินมาก คนก็มาก จะหาเงินย่อมเป็นเรื่องง่าย เจ้าพูดไร้สาระให้น้อยๆ หน่อย ตอนนี้ข้ากำลังถามหูจ่างหลินว่าได้เงินมาอย่างไร” 

 

 

จ้าวหลานที่อดกลั้นอยู่ข้างๆ เดินออกมา นางพูดกับหญิงชราว่า “ในเมื่อท่านมีเงินมากขนาดนั้น เหตุใดยังต้องขายจื่อเอ๋อร์ เพื่อแลกเป็นเงินมาให้ต้าเป่าไปแต่งภรรยาด้วย ในเมื่อท่านมีเงินมากขนาดนั้น เหตุใดตอนที่ท่านพ่อตาและเจ้าสามได้รับบาดเจ็บ ท่านถึงไม่ยอมนำเงินออกมารักษาพวกเขา ทั้งยังมองพวกเขาเจ็บจนตายไปอีก” 

 

 

“เรื่องผ่านมานานแล้ว จะขุดคุ้ยขึ้นมาให้ได้อะไร ข้าว่าพวกเจ้าไม่ยอมบอกที่มาของเงิน จึงจงใจชักแม่น้ำทั้งห้าอยู่ตรงนี้” หญิงชรากล่าวพร้อมใบหน้าซีดขาว 

 

 

เมื่อฟังถึงตรงนี้ หากเมิ่งหนานฟังเหตุผลใดไม่ออกอีก เช่นนั้นเขาก็เป็นข้าราชการไปโดยเปล่าประโยชน์แล้ว 

 

 

………. 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 110 ธนาคารไท่เฟิง 

 

 

เขาตะคอกใส่หญิงชราสกุลไป๋ “หุบปากให้หมด เจ้า พูดมาสิ แท้จริงแล้วสามสิบตำลึงนี้ได้มาอย่างไร หนึ่งปีที่นาเก็บเกี่ยวได้เท่าไร ค่าใช้จ่ายในบ้านเท่าไร หนึ่งปีหาเงินได้เท่าไร และได้เงินทั้งหมดนี้ในระยะเวลานานเท่าไร พูดมาให้ชัดเจน” 

 

 

ในใจของหญิงชรารู้สึกร้อนรนนัก แม้นางจะเป็นผู้ดูแลเงินภายในบ้าน แต่กลับไม่เคยคิดบัญชีมาก่อน รู้เพียงหลังจากเก็บเกี่ยวทุกปี จะเก็บเสบียงไว้กินในบ้านจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือขายได้สองสามตำลึง หักค่าใช้จ่ายในบ้านและค่าเรียนหนังสือของเสี่ยวเฟิงไป ก็แทบจะไม่เหลือสักแดง ไหนเลยจะเก็บเงินได้ 

 

 

ในหีบใบเล็กๆ นั้นของนางเก็บเงินมากว่าค่อนชีวิต ทว่าก็เก็บได้แค่ไม่กี่ตำลึงเท่านั้น ครั้งก่อนให้จ้าวหลานรักษาบาดแผล ก็เสียเงินไปมากถึงสองตำลึง เงินในหีบตอนนี้เหลือน้อยจนเห็นก้นแล้ว 

 

 

หลิวซื่อเห็นหญิงชราอ้าปากแต่พูดไม่ออก ในใจรู้สึกร้อนรนเช่นกัน จึงรีบดึงแขนเสื้อของสามีที่อยู่ข้างๆ ให้เขารีบพูดไกล่เกลี่ย 

 

 

ถึงอย่างไรเจ้าใหญ่ก็เป็นบุรุษ ทั้งยังเป็นบุตรชายคนโตของตระกูล แม้เห็นข้าราชการแล้วจะรู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ควรทนมองมารดาถูกบีบคั้นจนพูดไม่ออก เช่นนั้นเขาก็เป็นแค่เต่าหัวหดเท่านั้น 

 

 

เจ้าใหญ่กระแอมเสียงเบา แล้วพูดกับเมิ่งหนานว่า “ใต้เท้า บ้านของพวกข้าไม่ได้หาเงินสามสิบตำลึงมาในหนึ่งหรือสองวัน ต้องใช้เวลาสิบกว่าปีเต็มๆ ถึงจะเก็บสะสมได้มากเท่านี้ สกุลไป๋ของพวกข้ามีที่นาห้าหมู่ ที่ดินทรายสองหมู่ เสบียงอาหารของทุกปี นอกจากที่ต้องกินใช้เองแล้ว ก็ขายได้หลายตำลึง ทั้งครอบครัวกินอยู่อย่างประหยัด ถึงได้เก็บเงินเหล่านี้ได้อย่างยากลำบาก เดิมทีกะจะให้บุตรชายคนโตของข้าใช้แต่งงานขอรับ” 

 

 

เมิ่งหนานยังคงมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เพียงกล่าวเสียงเรียบ “พูดเช่นนี้ เงินสามสิบตำลึงนี่ก็เป็นสิ่งพวกเจ้าหามาได้ทีละเล็กละน้อยสินะ” 

 

 

“ใช่ขอรับ” เจ้าใหญ่รีบพยักหน้า 

 

 

“เช่นนั้นสามสิบตำลึงเงินของบ้านพวกเจ้าล่ะ เป็นตั๋วเงิน หรือว่าเงินย่อย หรือว่าจะเป็นพวงเงินเล่า” 

 

 

เจ้าใหญ่ตะลึงงัน ด้วยคิดไม่ถึงว่าใต้เท้าเมิ่งผู้นี้จะถามคำถามนี้ แล้วเขาควรจะตอบอย่างไรดี เขารีบส่งสายตาไปทางผู้เป็นแม่ ขอร้องให้นางช่วย 

 

 

เวลานี้หญิงชราใจเย็นลงแล้ว นางรู้ว่าเรื่องโกหกนี้ต้องลุล่วงไปด้วยดี ไม่เช่นนั้นหากผิดพลาดขึ้นมาก็จะเสียเรื่องไปกันใหญ่ 

 

 

นางกล่าวต่อว่า “มีทั้งหมด เงินย่อยก็มี พวงเงินก็มี แต่แท้จริงมีเท่าไร ข้าก็เลอะเลือนแล้ว ไม่เคยได้นับดูให้ดี” 

 

 

พวกชาวบ้านที่มุงอยู่นอกลานบ้านได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็พากันส่ายหน้า ทั้งยังมีคนวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบาด้วย 

 

 

“หญิงชราผู้นี้ช่างไร้เกียรตินัก คำพูดเช่นนี้ก็พูดออกมาได้ นิสัยรักเงินยิ่งชีพของนาง เงินที่หามาได้ล้วนนับเสียหนึ่งรอบทุกวัน จะไม่รู้หรือว่ามีพวงเงินอยู่เท่าไร” 

 

 

เมิ่งหนานหันไปมองไป๋จื่อ ก่อนจะถาม “พวกเจ้าเล่า พิสูจน์ที่มาของเงินสามสิบตำลึงนี้ได้หรือไม่” 

 

 

ไป๋จื่อยิ้มกล่าว “แน่นอนเจ้าค่ะ เงินนี้เป็นของท่านลุงหู เขาย่อมพิสูจน์ได้” 

 

 

เมื่อวานเย็นพวกเขาตกลงกันไว้แล้ว ย่อมรู้ว่าวันนี้ควรพูดอะไร ไม่ควรพูดอะไรต่อหน้าข้าราชการ 

 

 

ลุงหูก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง เขาพูดกับเมิ่งหนานว่า “ใต้เท้า ข้าขอพูดตามตรงไม่ปิดบัง บ้านข้ายากจน ก่อนหน้านี้หาเงินไม่ได้อยู่เสมอ ทว่าไม่นานนักก่อนหน้านี้ บุตรชายของข้า หูเฟิง เขาขุดเจอโสมต้นหนึ่งโดยบังเอิญขณะล่าสัตว์ ข้าจึงนำโสมนี้ฝากท่านหมอลู่ในหมู่บ้าน ขอให้เขาช่วยขายแลกเงินมาใช้จ่ายในครอบครัวเล็กน้อย” 

 

 

“โอ้ ขายได้เท่าไรเล่า” เมิ่งหนานเลิกคิ้ว 

 

 

“ขายได้ทั้งหมดสองร้อยตำลึงขอรับ เรื่องนี้ท่านหมอลู่เป็นพยานให้ได้” ลุงหูกล่าว 

 

 

สองร้อยตำลึง โสมต้นหนึ่งขายได้สองร้อยตำลึงเชียวหรือ