ฟ้าดินมีพลัง โดย ProjectZyphon

สตรีแต่งงานแล้วที่ก่อนหน้านี้ยังเป็นแม่ย่าลำธารของธารน้ำหลงซวีว่ายผ่านช่วงลำคลองหน้าร้านตีเหล็ก ตอนนี้นางไม่ใช่สตรีอ่อนแอที่ขลาดกลัวฝีมืออันร้ายกาจของคนผู้นั้นอีกแล้ว เพราะอย่างไรซะตอนนี้นอกจากนางจะมุมานะเพิ่มน้ำหนักกระแสน้ำให้แก่อริยะสำนักการทหารแล้ว บางครั้งก็ยังถูกแม่นางน้อยคนนั้นเรียกไปถามเรื่องราวยิบย่อยในอดีตของเมืองเล็กเป็นประจำ นานวันเข้านางจึงรู้สึกว่าเอวของตัวเองหนาขึ้นและหยัดได้ตรงแล้ว

ส่วนแม่นางซิ่วซิ่วที่มีนิสัยประหลาดในสายตาของสตรีแต่งงานแล้ว จากการพูดคุยกันของคนทั้งสอง สตรีแต่งงานแลวจึงรู้ว่านอกจากแม่นางซิ่วซิ่วต้องตีเหล็กทุกวันแล้ว ยังจะต้องคอยไปจับตามองการซ่อมแซมบ้านหลังเก่าที่อีกไม่นานก็จะเสร็จสมบูรณ์ด้วย นอกจากนั้นทุกสามวันห้าวันก็จะคอยไปทำความสะอาดบ้านสองสามหลัง อีกทั้งยังเอาแม่ไก่และลูกเจี๊ยบที่อยู่ในกรงย้ายมาเลี้ยงที่ร้านตีเหล็ก

อันที่จริงสตรีแต่งงานแล้วไม่เข้าใจความคิดของแม่นางผู้นี้เลย บุตรสาวโทนของอริยะสำนักการทหารคนหนึ่ง ทำไมใช้ชีวิตเหมือนบุตรสาวของชาวบ้านทั่วไป ไม่เพียงแต่น่าเบื่อไร้รสชาติ ยังไม่มีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ใดๆ อีกด้วย

ทว่านางก็ไม่กล้าบอกความคิดในใจให้หร่วนซิ่วฟัง

หลังจากนางได้กลายมาเป็นเทพลำคลองก็ยิ่งรู้ลึกซึ้งถึงความความร้ายกาจของมังกรเพลิงตัวนั้น

แต่ตอนนี้สตรีแต่งงานแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองมีที่พึ่งอย่างแท้จริงแล้ว! นางคิดว่าตนกับแม่นางซิ่วซิ่วเปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นมิตร และจะอย่างไรนางก็ถือว่าเป็นผู้ช่วยอริยะสำนักการทหารครึ่งตัว อีกทั้งน่าจะถือว่าเป็นลูกศิษย์ที่หยางเหล่าโถวจำชื่อไม่ได้ด้วยกระมัง?

เรื่องเหล่านี้ล้วนทำให้สตรีแต่งงานแล้วค่อนข้างลำพองใจ

อันที่จริงนางเองก็จำได้ แต่ค่อนข้างขี้ลืม พอแผลหายดีแล้วจึงมักจะลืมความเจ็บปวดบ่อยๆ

แต่นางก็ยินดีที่จะให้มันเป็นเช่นนี้

ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนหินหลังควายเพียงลำพังทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “กบใต้บ่อน้ำ บางครั้งได้เห็นพระจันทร์เต็มดวงก็ปลาบปลื้มลืมความกังวล”

เนิ่นนานต่อมาเด็กหนุ่มที่กลางหว่างคิ้วมีไฝแดงหนึ่งเม็ดเดินขึ้นมาบนก้อนหินช้าๆ นั่งยองลงข้างกายผู้เฒ่าแล้วถอนหายใจ

หยางเหล่าโถวถามยิ้มๆ “วันนี้อ่านตำราในโรงเรียนได้เยอะไหมล่ะ?”

ประโยคนี้ทำร้ายจิตใจของราชครู “หนุ่ม” ไม่น้อย เขาจึงโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

ผู้เฒ่าไม่ได้สาดเกลือลงบนบาดแผลของเขาต่อ เพราะอย่างไรซะคนทั้งสองก็เคยเป็นพันธมิตรกันในเวลาสั้นๆ มาก่อน “รูปปั้นดินร่างทองในหอเหวินฉางของตระกูลหยวนและศาลอู่เซิ่งของตระกูลเฉาต่างก็สร้างเสร็จแล้วกระมัง แต่ยังเลือกสถานที่ไม่ได้อย่างนั้นรึ? เจ้าไม่ช่วยลูกศิษย์ของตัวเองสักหน่อยเล่า อยากจะเห็นวิถีทางที่นำพาเขาไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานต้องขาดสะบั้นลงที่อำเภอหลงเฉวียนนี่จริงๆ น่ะหรือ?”

เด็กหนุ่มหล่อเหลาที่มีไฝสีชาดกล่าวด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว “หากเป็นเมื่อก่อนข้าย่อมต้องมีวิธีรับมือในภายหลัง แต่ตอนนี้เจ้าคิดว่าข้ายังมีความจำเป็นนั้นอีกหรือ?”

หยางเหล่าโถวพยักหน้ารับ “อเนจอนาถอยู่บ้างจริงๆ”

เด็กหนุ่มกล่าวอย่างหงุดหงิด “นี่ ตาเฒ่าหยาง ตอนนั้นเจ้าไม่ช่วยขอร้องแทนข้าก็ยังพอทำเนา แต่นี่เจ้ายังมีหน้ามากระแทกกระทั้นแดกดันข้าอีกรึ?!”

หยางเหล่าโถวไม่เห็นเป็นสำคัญ “คำพูดของอย่างมากก็ฟังแปร่งหูไปบ้าง ไม่ได้เรียกว่าถากถางแดกดันอะไร”

ผู้เฒ่าคิดแล้วก็พูดอีกว่า “จะให้ข้าแบกหน้าแก่ๆ นี่ไปขอร้องแทนเจ้า มีประโยชน์งั้นหรือ?”

เด็กหนุ่มพูดพึมพำ “แต่ก็น่าจะลุกขึ้นมากล่าวเพื่อความเป็นธรรม พูดอะไรสักหน่อยสิ”

เด็กหนุ่มเอนตัวไปด้านหลังนอนหงายลงบนหินสีดำที่เว้าโค้งไม่เรียบเนียน มองท้องฟ้ามืดดำยามค่ำคืนที่ไม่รู้ว่าสูงแค่ไหนแล้วพูดเหมือนคุยกับตัวเองว่า “เจ้าเองก็เคยเป็นพันธมิตรกับซ่งจ่างจิ้งเหมือนที่เคยเป็นกับข้าใช่หรือไม่?”

หยางเหล่าโถวคลี่ยิ้ม “เคยสิ แถมยังไม่ได้ปิดบังใครด้วย หาไม่แล้วหลี่เอ้อร์ก็ไม่มีทางต่อสู้กับซ่งจ่างจิ้งจนเกิดความเคลื่อนไหวรุนแรงขนาดนั้น แทนที่จะให้ฮ่องเต้ของพวกเจ้าเปลืองสมองคาดเดา ก็ไม่สู้เปิดเผยตรงๆ ให้เขาได้เห็นกับตาตัวเองจะได้ตัดสินใจเองดีกว่า แต่ข้าคาดว่าด้วยนิสัยพยศไม่ยอมลงให้ใครของซ่งจ่างจิ้ง ไปถึงเมืองหลวงแล้วย่อมต้องเล่าให้เขาฟังต่อหน้าอย่างไม่มีหมกเม็ดแน่นอน”

เด็กหนุ่มกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้าก็แค่โชคร้ายกว่าซ่งจ่างจิ้งเท่านั้น ข้าไม่ควรมาเยือนสถานที่เฮงซวยนี่เลย ยังจะเรียกว่าถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล มารดามันเถอะ นี่มันสถานที่แห่งหายนะของข้าชุยฉานชัดๆ!”

ผู้เฒ่ากล่าวกลั้วหัวเราะ “แต่สำหรับราชครูชุยฉานอีกครึ่งหนึ่งแล้ว กลับไม่แน่เสมอไป”

เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน พูดเดือดดาล “หยางเหล่าโถว ถ้าเจ้ายังจะพูดแบบนี้อีก ข้าจะขอสู้ตายกับเจ้าจริงๆ!”

หยางเหล่าโถวหันไปมองเด็กหนุ่มที่ต้องเผชิญกับหายนะครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็หยุดราดน้ำมันลงบนกองเพลิง “เจ้าตระหนักได้หรือไม่ว่า หลังจากถูกตัดขาดความเชื่อมโยงแล้ว เจ้าเปลี่ยนไปเยอะมาก?”

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วคลางแคลงใจ “จริงหรือ?”

ผู้เฒ่าพยักหน้าตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “จริงสิ นิสัยเริ่มเปลี่ยน จิตวิญญาณเริ่มมั่นคงขึ้น แม้ว่าตบะอาจจะมองข้ามไปได้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับราชครูชุยฉานคนก่อนหน้านี้ ในที่สุดเจ้าก็มีลักษณะเหมือนชุยฉานตอนหนุ่มขึ้นมาบ้างแล้ว”

เด็กหนุ่มหน้าเขียว ดวงตาแทบจะพ่นไฟออกมา

ผู้เฒ่ามองไปยังทิศไกล กล่าวด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน “ดูท่าการอ่านหนังสือพอจะมีประโยชน์อยู่บ้างจริงๆ”

ชุยฉานที่เดิมทีแค่มาพักพิงร่างกายอันล้ำค่าร่างนี้ ตอนนี้เหมือนผู้ลี้ภัยที่ต้องย้ายไปอยู่ห่างไกลแล้วลงหลักปักฐานที่นั่น

ชุยฉาน หนึ่งแยกเป็นสอง

ราชครูชุยฉานสูญเสียจิตวิญญาณไปส่วนหนึ่ง เรือนกายที่จิตวิญญาณของเด็กหนุ่มชุยฉานอาศัยอยู่เป็นทั้งสถานที่ตั้งตัว แล้วก็กรงขังแห่งหนึ่งด้วย

เด็กหนุ่มไม่อยากจะคุยเรื่องนี้ต่อเพราะกลัวว่าหากตัวเองทนไม่ได้จะกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเสียก่อน จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง “ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ไม่ได้รับปากว่าจะควบรวมลำธารหลงซวีกับลำคลองเถี่ยฝูให้เป็นแม่น้ำสายเดียวกัน จากนั้นก็ยกให้แม่ย่าลำคลองดูแลทั้งหมด แต่นี่แบ่งหนึ่งเป็นสอง แล้วเลื่อนตำแหน่งแยกเป็นของใครของมัน ขณะเดียวกันก็เลื่อนซ่งอวี้จางที่ ‘ป่วยตาย’ ขึ้นเป็นเทพภูเขาของเขาพั่วลั่วอย่างไม่มีลางบอกเหตุ แถมยังสั่งให้คนสร้างศีรษะทองคำส่งมาที่อำเภอหลงเฉวียนอย่างลับๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่าต้องการลงโทษซ่งจ่างจิ้งน้องชายตัวเองกับสตรีที่นอนเคียงหมอนคนละครึ่ง”

หยางเหล่าโถวมองไปยังเทือกเขาที่ทอดตัวสลับขึ้นลงไปทางทิศตะวันตกแล้วถามว่า “เจ้าชุยฉาน ราชครูชุยก็ต้องคาดเดาจิตใจฮ่องเต้เหมือนกันหรือ?”

เด็กหนุ่มอึ้งตะลึง ก่อนจะถอนหายใจยาว “หนึ่งก็เพราะติดอยู่ในกรงขังแห่งนี้มานาน ม้าผอมขนยาว คนจนปณิธานย่อมสั้น สองก็เพราะปณิธานของฮ่องเต้ท่านนั้นยิ่งใหญ่ยาวไกล ชอบใช้แผนการที่เปิดเผยตรงไปตรงมา ใครก็ไม่อาจดูหมิ่นได้ หากเปลี่ยนมาเป็นราชวงศ์อื่น ซ่งจ่างจิ้งคงช่วงชิงบัลลังก์มานานแล้ว ส่วนสตรีผู้นั้นไม่แน่ว่าก็คงได้ลิ้มรสชาติของการเป็นจักรพรรดิหญิงนานแล้วเช่นกัน”

“บุรพแจกันสมบัติทวีปเล็กก็จริง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทวีปอื่นไม่มี นั่นก็คือในประวัติศาสตร์แท้จริงที่สามารถตรวจสอบได้ จนถึงวันนี้ยังไม่เคยมีจักรพรรดิหญิงที่ครอบครองใต้หล้ามาก่อน ไม่รู้ว่ามีสตรีแต่งงานแล้วกี่มากน้อยที่หมายมั่นปั้นมืออยากจะลองเด็ดหัวเจ้าเหนือหัว แล้วฉวยโอกาสนี้สร้างชื่อเสียงนานนับพันปีให้แก่ตัวเอง ต่อให้จะเป็นชื่อเสียงฉาวโฉ่ก็น่าจะยังเต็มใจ”

“ไม่รู้ว่าต้าหลีจะข้ามผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้หรือไม่ ต่อให้ข้ามผ่านไปได้แล้วก็ไม่รู้อีกว่าต้องล้าหลังถดถอยไปอีกกี่ปี”

“แต่ว่า ใต้หล้านี้ก็มีแต่ข้าเท่านั้นที่รู้ว่าอาเหลียงคิดจะทำอะไร เดาได้ว่าเขาจะทำอะไร”

พูดมาถึงช่วงสุดท้าย สีหน้าของเด็กหนุ่มก็พลันเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา

หยางเหล่าโถวถาม “ชุยฉานในเมืองหลวงก็ไม่รู้รึ?”

เด็กหนุ่มถอนหายใจ สีหน้าซับซ้อน “ข้าคนนั้น น่าจะไม่รู้กระมัง”

เด็กหนุ่มขยี้ซีกหน้าตัวเองแรงๆ “อยู่ดีๆ สกุลเฉินจากเขตการปกครองหลงเหว่ยก็จะมาเปิดโรงเรียนที่นี่ สอนหนังสือให้กับเด็กเล็กทุกคนโดยไม่คิดค่าตอบแทน ทุ่มเงินจ้างอาจารย์สามคนมาสอน ทุกคนล้วนเป็นผู้มีความรู้กว้างขวาง อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับสกุลเฉิน เรื่องนี้จะมาจากคำสั่งของสกุลเฉินอิ่งอินหรือเปล่า? นี่จะเป็นแผนการที่สายบุ๋นลัทธิขงจื๊อของพวกเขามีต่อแจกันสมบัติทวีปหรือไม่?”

หยางเหล่าโถวหัวเราะร่า “ข้ารู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ แต่ไม่บอกเจ้าหรอก อย่างไรซะอีกไม่นานเจ้าก็จะต้องเก็บเสื่อไสหัวออกไปจากที่นี่แล้ว ข้าพูดคุยกับเจ้ามากมายขนาดนี้ก็นับว่าพยายามช่วยเหลือเจ้าอย่างถึงที่สุดแล้ว”

คราวนี้เด็กหนุ่มชุยฉานกลับไม่โกรธ “ไปสิดี”

หลังจากลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มก็พลันหน้าเปลี่ยนสี โกรธจนกระทืบเท้า ผรุสวาทเดือดดาล “ดีกะผีน่ะสิ! ต้องเอาตัวภาระที่เป็นปัญหาเทียมฟ้าไปด้วยสองคนก็ยังพอทำเนา ข้าจะทน! แต่จะให้ข้าไปเป็นลูกศิษย์ของเจ้าเด็กนั่น หมายความว่าอย่างไร?! ตาเฒ่าเจ้าคิดอะไรของเจ้า?! เป็นเพราะว่าไม่มีตบะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีฐานะตำแหน่งก็เลยถือโอกาสโยนความรู้ทิ้งไปพร้อมกันเลยใช่ไหม?! หากตอนนี้เจ้ากล้ามายืนอยู่ตรงหน้าข้า ข้ารับรองว่าจด่าเจ้าให้เละไม่เหลือชิ้นดี ตาเฒ่าเจ้ามันหน้าเหม็นไร้ยางอาย หัดมีความรับผิดชอบบ้างได้ไหม เป็นคนต้องมีใจเมตตา มีเหตุผลบ้างสิ…”

หยางเหล่าโถวชูนิ้วโป้ง จุ๊ปากชื่นชม “คนหนุ่มกล้าหาญ องอาจดุจวีรบุรุษ”

เด็กหนุ่มพลันหยุดด่า แล้วเอ่ยถามเสียงเบา “แต่ข้าไม่ได้พูดชื่อแซ่ ตาเฒ่าเคยมีความสามารถสะท้านฟ้าสะเทือนดินก็จริง แต่นั่นก็เป็นเรื่องตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ตอนนี้เขาเหลือฝีมืออยู่แค่นั้น คงไม่ถึงขั้นจะยังได้ยินคำพูดของข้าหรอกกระมัง?”

หยางเหล่าโถวลุกขึ้นยืน เก็บกระบอกยาสูบ ปัดก้นเตรียมจะเดินจากไป “นั่นก็ไม่แน่ เพราะอย่างไรซะเจ้าก็เคยเป็นลูกศิษย์คนแรกของเขา บางทีอาจจะเป็นข้อยกเว้นก็ได้”

เด็กหนุ่มชุยฉานหัวเราะแห้งๆ อยู่พักหนึ่งแล้วพูดปลอบตัวเองว่า “เป็นไปไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้”

และเวลานี้เองตำราเรียนของเด็กเล็กลัทธิขงจื๊อที่ธรรมดาที่สุดหลายเล่มก็ทยอยกันโผล่ออกจากความว่างเปล่ามาลอยอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม ไม่มีใครแตะต้อง แต่พวกมันกลับเปิดหน้าแรกช้าๆ ได้ด้วยตัวเอง

เด็กหนุ่มที่มีไฝแดงตรงหว่างคิ้วอึ้งงันเป็นไก่ไม้ สีหน้าเศร้าเสียใจดุจบิดาตาย

หยางเหล่าโถวเดินจากไปพร้อมลากเสียงยาว “เอ๊ะ ดูเหมือนว่ามีคนต้องอ่านหนังสืออีกแล้วแหะ”

เด็กหนุ่มที่สีหน้าทึ่มทื่อจัดอาภรณ์ให้เข้าที่ ยืดเอวตรง แล้วเริ่มแผดเสียงอ่านหนังสือดังสนั่น “ฟ้าดินมีพลังแห่งความชอบธรรม สรรพสิ่งปะปนกันหลากหลายรูปแบบ เบื้องล่างคือลำธารและขุนเขา เบื้องบนคือสุริยาและดวงดาว…”

เด็กหนุ่มพลันคืนสติ หันกลับไปมองแผ่นหลังของผู้เฒ่าคนนั้น “ท่านปู่เจ้าเถอะ! เจ้าจงใจเปิดเผยความลับ ถ่ายทอดคำพูดของข้าให้ตาเฒ่าใช่หรือไม่?! ตาแก่ชั่วช้า ใครเขารังแกคนอื่นอย่างเจ้าบ้าง ข้าก็แค่เปิดเผยตัวตนทุเรศๆ ของเจ้าเท่านั้น จะต้องจดจำความแค้นขนาดนี้เชียวหรือ…”

จู่ๆ ฝ่ามือของเด็กหนุ่มก็สั่นสะท้าน เจ็บจนสะดุ้งไปทั้งตัว เหมือนมีอาจารย์ผู้เข้มงวดยืนอยู่ข้างๆ แล้วคอยใช้ไม้บรรทัดตีมือนักเรียนจอมเกเร

เด็กหนุ่มจึงคำรามต่อไปว่า “ในโลกมนุษย์เรียกว่าพลังแห่งความซื่อตรงยิ่งใหญ่ มันเปี่ยมล้นอยู่ในฟ้าดินและจักรวาล ในยุคที่ชะตาแห่งแคว้นสงบสันติ มันจะอยู่ในรูปแบบของบรรยากาศอันเป็นมงคลและราชสำนักที่เปิดกว้าง…”

……

ทางฝ่ายหน้าประตูจุดพักม้าเจิ่นโถวเมืองหงจู๋ ทหารที่ดูแลจุดพักม้าซึ่งเพิ่งจะพูดจาหยาบคายใส่บัณฑิตเฒ่ายากจนคงจะรู้สึกว่าไม่ควรลงไม้ลงมือกับคนเฒ่าคนแก่ สุดท้ายจึงบริภาษไปพร้อมกับให้คำตอบผู้เฒ่า บอกว่าคนเหล่านั้นนั่งเรือจากไปตั้งแต่เมื่อตอนกลางวันแล้ว เรือลำนั้นเลียบแม่น้ำซิ่วฮวาไปทางทิศใต้

หลังจากทหารผู้ดูแลจุดพักม้าเห็นว่าผู้เฒ่าหมุนตัวจากไปก็ถ่มน้ำลายลงบนพื้นแรงๆ หนึ่งที ทำไปแล้วถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นหน้าประตูจุดพักม้าของตนจึงใช้ปลายเท้าลบทิ้งอย่างไม่สบอารมณ์

นับตั้งแต่ที่เด็กกลุ่มนั้นมาเยือนจุดพักม้าเจิ่นโถวก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน สุดท้ายยังทำให้ใต้เท้าผู้ดูแลจุดพักม้าที่มีเมตตาธรรมสูญเสียตำแหน่งขุนนาง ช่างเป็นกลุ่มดาวแห่งความโชคร้ายซะจริง

ผู้เฒ่าที่สะพายสัมภาระไว้ด้านหลังเดินอยู่บนถนน หลังจากไตร่ตรองอย่างละเอียดแล้วจึงตัดสินใจว่าจะหยุดเพียงเท่านี้ก่อน ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาย่อมพิสูจน์ใจคน

ผู้เฒ่ายื่นมือออกมาอย่างเงียบเชียบ ในมือข้างนั้นกำปิ่นหยกชิ้นหนึ่งเอาไว้ จากนั้นเขาก็เก็บมันใส่ชายแขนเสื้ออย่างง่ายๆ

เด็กกลุ่มนั้นลงใต้ไปยังต้าสุย แต่ซิ่วไฉเฒ่ากลับมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก

บนเส้นทางกว้างใหญ่ ต่างคนต่างเดินไปคนละฝั่ง

จะไปถึงจุดหมายปลายทางเดียวกันหรือไม่นั้น ไม่อาจรู้ ไม่อาจบอก

แต่เส้นทางที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า สุดท้ายแล้วก็ต้องเดินไปทีละก้าวด้วยตัวเอง

……

บนเรือใหญ่ลำหนึ่ง เนื่องจากมีลาสีขาวเกะกะขวางหูขวางตาอยู่ตัวหนึ่ง พวกเฉินผิงอันสี่คนจึงได้แต่ยืนอยู่ตรงหัวเรือ ไม่อาจนั่งสบายๆ อยู่ในห้องใต้ท้องเรือ

ยังดีที่คนทั้งสี่เคยชินกับชีวิตยากลำบากที่ต้องนอนกลางดินกินกลางทรายกันมานานแล้ว มีเพียงหลี่ไหวที่ค่อนข้างโมโหกับสายตาสุนัขมองคนต่ำของเจ้าของเรือเท่านั้น แต่เพียงไม่นานก็หัวเราะร่าเริงบอกให้หลินโส่วอีช่วยจูงลา เขาปีนขึ้นไปบนหลังมัน ทั้งนั่งเรือทั้งขี่ลาในเวลาเดียวกัน ทำเอาหลี่ไหวอารมณ์ดียิ้มกว้างหุบปากไม่ลง

ผู้โดยสารเรือใหญ่คนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงใช้สายตาเหมือนมองคนปัญญาอ่อนมองมาทางเด็กหนุ่มและเด็กๆ เหล่านี้

หลินโส่วอีกำเชือกไว้แน่น ลมแม่น้ำพัดโชยมาเป็นระลอก เส้นผมข้างขมับของเขาปลิวไสวเบาๆ เด็กหนุ่มลูบคลำไปตรงตำแหน่งหัวใจ ตรงนั้นมีกระดาษยันต์สีเหลือและตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ เก็บซ่อนไว้

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ด้านข้าง กำลังใช้มีดฝ่าฟืนผ่าไม้ไผ่ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว เขารับปากหลินโส่วอีกับหลี่ไหวว่าจะทำหีบหนังสือใบเล็กให้แก่คนทั้งสอง

แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่ต่อให้จะนั่งอยู่ก็ไม่ยอมปลดหีบหนังสือสีเขียวมรกตออกจากไหล่พลันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตะลึง “อาจารย์อาน้อย ปิ่นบนหัวของท่านหายไปแล้ว! ก่อนจะขึ้นเรือก็ยังอยู่นี่นา”

เฉินผิงอันตะลึงงัน ลูบไปบนมวยผมเหนือศีรษะด้วยความมึนงงเล็กน้อย แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เด็กหนุ่มคุ้นเคยกับเรื่องประหลาดทั้งหลายดีแล้ว แม้ในใจจะผิดหวังอย่างมาก แต่ก็ยังยิ้มได้ “ไม่เป็นไร ข้าจำตัวอักษรแปดตัวนั้นได้ วันหน้าจะทำให้ตัวเองชิ้นหนึ่งและสลักตัวอักษรแบบเดียวกัน”

หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับ

……

ซิ่วไฉเฒ่าที่เดินอยู่บนถนนเมืองหงจู๋ยิ้มอย่างรู้ใจ เอ่ยเบาๆ ว่า “ประเสริฐ”