บทที่ 43 พบเจอ Ink Stone_Romance

สาวใช้กวาดตามองไปรอบๆ ฝั่งเรือนของเจ้าอาวาส

“เซียนหญิงอาศัยอยู่ที่นี่มานานนับสิบกว่าปี คงจะลำบากมากสินะเจ้าคะ” นางกล่าว

เจ้าอาวาสเดินเข้ามา ในมือถือเนื้อไว้ชิ้นหนึ่ง

“ลำบากก็ลำบากอยู่หรอก แต่ในความทุกข์ยากก็มีความสุขแฝงอยู่”

สาวใช้อดทนต่อคำพูดที่น่ารังเกียจแล้วฉีกยิ้ม

“นี่เป็นของที่เหล่าประสกและสีกานำมาทำบุญ เจ้าเอาไปกินสิ แล้วฝากให้นายหญิงด้วย” เจ้าอาวาสกล่าว

ของทำบุญที่ไหนกัน ดูก็รู้ว่านี่เป็นวิธีหั่นของครัวจากที่บ้านที่หั่นเช่นนี้เป็นประจำ หญิงสาวนางนี้ยักยอกอาหารของพวกเราจริงๆ

สาวใช้ยื่นมือไปรับอย่างไม่เกรงใจ

“คงต้องรบกวนนักบวชเช่นท่านดูแลพวกเราแล้ว” นางกล่าวโดยฝืนยิ้ม

“แม้ว่าข้าออกบวชจะลำบากไปบ้าง แต่เมื่อเทียบกับพวกเจ้าแล้ว ถือว่ายังดีกว่ามาก” เจ้าอาวาสพูดด้วยความเห็นใจ

สาวใช้ไม่อยากเห็นท่าทีแสร้งเป็นคนดีของนางอีกต่อไป การมาครั้งนี้ถือเป็นการแสดงความเชื่อใจที่มีต่อหญิงนางนี้

“นี่ก็สายมากแล้ว ข้าต้องไปเดินเป็นเพื่อนนายหญิง มิเช่นนั้นนางจะถือโทษโกรธเอาได้” นางพูดพลางหันหลังเดินจากไป โดยลืมแสดงความเคารพ

“ช่างน่าสงสารเสียจริง เป็นคนดีแท้ๆ กลับต้องถูกบังคับให้มาปรนนิบัติรับใช้คนบ้า” เจ้าอาวาสกล่าว นางทำทีเหมือนว่าพูดกับตัวเอง แต่แท้จริงแล้วจงใจให้สาวใช้ได้ยิน จากนั้นก็พูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ “แม่นางปั้นฉิน หากมีสิ่งใดขาดเหลือ ก็ขอให้บอก”

สาวใช้โบกมือทำความเคารพอยู่ตรงประตูแล้วเดินจากไป

“นายหญิงพักเท้าสักหน่อยไหมเจ้าคะ ข้าเอาลูกอมส้มมาด้วยเจ้าค่ะ นายหญิงจะกินหรือไม่เจ้าคะ”

สาวใช้กล่าวพร้อมกับเอื้อมมือไปช่วยประคองเฉิงเจียวเหนียงเดินไปตามถนนบนภูเขา

เฉิงเจียวเหนียงหยุดเดินแล้วรับลูกอมที่หยิบออกมากจากถุงหอมก่อนจะนำเข้าปาก จากที่ตรงนี้สามารถมองเห็นเชิงเขาด้านล่างได้ ขณะนี้แม้ฟ้าจะใกล้สว่างแล้ว บนถนนภูเขาไม่มีผู้คนเดินผ่านเลยสักคน

“คนจะเริ่มเยอะในช่วงตอนกลางวัน แล้วก็มีพ่อค้ามาขายของป่ากับผลไม้ด้วยเจ้าค่ะ ส้มที่นายหญิงกิน ข้าก็ซื้อมาจากที่นั่น ราคาถูกด้วยเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า

“นายหญิงเจ้าคะ หากเจ้าอาวาสชวนข้าไปนั่งคุยอีก ข้าต้องไปหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้ถาม “ข้าเห็นนางหัวเราะแล้ว ข้ารู้สึกอึดอัดจริงๆ เจ้าค่ะ”

“ไปสิ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “แต่อย่าอยู่นานและห้ามกินของที่นางให้”

“ได้เจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบ

เสียงหัวเราะของผู้หญิงนางหนึ่งดังขึ้นจากด้านหน้า นายบ่าวทั้งสองมองไปทางต้นเสียง จึงได้พบกับเซียนหญิงสามรูปที่กำลังเดินลงจากภูเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พวกนางสะพายตะกร้าหวายมาด้วย เหล่านักบวชพูดคุยและหัวเราะไปด้วย แต่เมื่อเห็นว่าฝั่งตรงข้ามมีคนอยู่ก็หุบยิ้ม แล้วโค้งตัวลงเล็กน้อยเพื่อทักทาย

“คงเป็นเซียนหญิงของวัดเสวียนเมี่ยวใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงเชิงเขาเจ้าคะ” สาวใช้กระซิบข้างหูเฉิงเจียวเหนียง

เฉิงเจียวเหนียงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับวัดเสวียนเมี่ยวใหญ่จึงสนใจเป็นพิเศษ

สาวใช้กระซิบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟัง เฉิงเจียวเหนียงก็ครุ่นคิด

“วัดเสวียนเมี่ยวใหญ่ตั้งอยู่ตรงเชิงเขาหรือ” นางถามพร้อมกับมองลงไป

สาวใช้ประคองนางก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วชี้ให้นางดู

มองเห็นมุมหนึ่งของวัดที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้เขียวขจี

“ก็ไม่ใหญ่มากนี่” นางกล่าว

“ใหญ่กว่าวัดของเราเล็กน้อยเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว “ตอนนั้นเคยมีความคิดที่จะรวมวัดเต๋าทั้งสองแห่งเข้าด้วยกัน แต่ผู้หญิงนางนั้นกลับมายึดวัดไปเสียก่อนเ”

“อืม” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

“น่าเสียดายจริงๆ ” นางกล่าว

“ใช่เจ้าค่ะ แดนสวรรค์สำหรับเซียนทั้งหลาย ต้องมาตกต่ำก็เพราะหญิงนางนั้นเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวด้วยความโกรธปนเศร้าใจ

ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีคนตะโกนเรียก

“นายท่าน ท่านเป็นอะไรขอรับ”

“ช่วยด้วย! ใครก็ได้มาช่วยที! “

มีคนร้องให้ช่วยหรือ สาวใช้ตกใจ กลางวันแสกๆ เช่นนี้ คงจะไม่มีโจรขโมยหรอก

“ไปดูกัน” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว แล้วเดินนำหน้าไปก่อน ไม่เหมือนที่ผ่านมาที่ต้องพึ่งตา ปาก และเท้าของสาวใช้ความรู้สึกเช่นนี้ ช่างดีจริงๆ

สาวใช้รีบเดินตาม พวกนางลัดเลี้ยวไปตามถนนบนภูเขา ทำให้เสียงที่ได้ยินเสียงนั้นชัดเจนขึ้น

เซียนหญิงทั้งสามของวัดเสวียนเมี่ยวใหญ่กำลังล้อมเขาไว้ ชายชราผู้หนึ่งกำลังนอนเอนกายอยู่ข้างหิน ใบหน้าขาวซีด เขามีบ่าวติดตามมาด้วยเพียงคนเดียว บ่าวผู้นี้นั่งอยู่ข้างๆ และกำลังร้องไห้อยู่

“เกิดอะไรขึ้นหรือ”

“ไม่สบายใช่หรือไม่”

“ถูกงูกัดหรือ”

เซียนหญิงถามด้วยความกังวล

บ่าวพยายามแบกชายชราขึ้นอย่างสุดแรง

“หมอที่อยู่ใกล้ที่สุด อยู่ตรงไหนหรือ” เขาถาม

“โอ้ ไกลจากที่นี่มากนัก มีเฉพาะในเมืองเท่านั้น” เซียนหญิงพูดอย่างลนลานพร้อมกับช่วยพยุง

“ช้าก่อน!”

เสียงผู้หญิงลอยลงมากจากด้านบน ทุกคนต่างหยุดเดิน แล้วมองไปตามเสียงนั่น

ผู้หญิงสวมกระโปรงผ้าสีน้ำเงิน ในมือถือถุงหอมกำลังรีบเดินลงมา

“รีบพาไปหาหมอเถิด ก่อนจะสายเกินไป” นางกล่าว

เมื่อทุกคนได้สติ อยากจะพูด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร

“นายหญิงรู้วิชาแพทย์หรือไม่ขอรับ” บ่าวของชายชราถามด้วยเสียงสั่น

“ค่อยๆ ป้อนให้กินอันนี้” สาวใช้ไม่ตอบแต่กลับพูดเรื่องอื่นแทน “ให้เขานอนตะแคง ช่วยบีบนวดบริเวณหลัง แล้วใช้แรงบีบหูจนเลือดออก ซักพักก็จะหาย”

บ่าวและเซียนหญิงทั้งสามเฝ้าดูและฟังด้วยความงุนงง

แค่นี้หรือ

“แค่นี้อีกสักพักก็จะฟื้น ฟื้นแล้วอย่าเพิ่งรีบเดิน ให้นั่งพักก่อน และหาอะไรกินรองท้อง แล้วค่อยออกเดินทางจะดีที่สุด” สาวใช้กล่าว

หลังจากนางพูดจบก็ยัดถุงหอมใส่มือบ่าวผู้นั้นแล้วหันหลังเดินจากไป นางไม่รอให้ทุกคนได้สติก่อน แต่กลับเดินลัดเลี้ยวหายไปกับเส้นทางบนภูเขา

“นายหญิง” บ่าวตะโกนเรียก

“ข้าเพิ่งเคยเห็นนางทั้งสองคน อาจจะเป็นนายหญิงท่านใดสักท่านมาเที่ยวเล่นก็เป็นได้” เซียนหญิงรูปหนึ่งกล่าว

ทุกคนมองไปที่ถุงหอมในมือบ่าวผู้นั้น

จะกินดีหรือไม่

เมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดของชายชราที่คล้ายจะเป็นลม จึงกัดฟันเทของที่อยู่ในถุงหอมออกมา

ถั่วเคลือบน้ำตาลเมล็ดกลมลูกใหญ่กลิ้งหล่นลงมาทีละลูก

“นายใหญ่ข้าไม่เคยทำเรื่องผิดต่อฟ้าดิน คงไม่มีใครคิดร้ายกับท่านหรอก” บ่าวพูดพร้อมกับอ้าปากชายชราแล้วป้อนถั่วนั้น

ขณะเดียวกันสาวใช้และเฉิงเจียวเหนียงเดินถึงมาหน้าประตูวัดแล้ว

“นายหญิงเจ้าคะ กินลูกอมนั่นแล้วจะช่วยชีวิตเขาได้จริงหรือเจ้าคะ” นางอดไม่ไหวที่จะถาม

“ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต จะเรียกว่าช่วยชีวิตได้อย่างไรเล่า” นางกล่าว “แค่ป่วยเล็กน้อยเอง”

“แล้วลูกอมใช่ยาหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้ถามด้วยความงวยงง

“หมั่นโถวใช่ยาหรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงย้อนถามนาง

“ไม่ใช่สิเจ้าคะ” สาวใช้ส่ายหัวตอบ

“หิวจวนจะตาย มันก็คือยาช่วยชีวิตทั้งนั้น” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

“นายหญิงหลอกข้าหรือเจ้าคะ” สาวใช้ยิ้มกล่าวแล้วประคองเฉิงเจียวเหนียงเดินเข้าประตู “นายหญิงก็บอกข้าตามตรงว่าชายชราผู้นั้นหิว ไม่ได้ป่วยไม่ได้หรือเจ้าคะ”

“ไม่สิ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “หิวก็เป็นอาการป่วยชนิดหนึ่ง”

สาวใช้หัวเราะออกมา นางปล่อยผ่านหัวข้อสนทนานี้ไปแล้วมองไปยังฟืนซึ่งกองอยู่ด้านหลังประตู

“ฟืนของเราใช้หมดแล้ว พอดีเลยเจ้าค่ะ ข้าเอากลับไปสักหน่อย” นางพูดพลางก้มลงไปเก็บฟืน

“แม่สาวน้อยจะขนฟืนหรือ เจ้าไม่มีแรงยกหรอก ให้ข้าช่วยขนเถอะ”

เสียงหัวเราะแห้งของผู้ชายดังมาจากลานหน้าเรือน

สาวใช้สะดุ้งแล้วหันไปมอง นายหญิงก็หันกลับไปมองเช่นกัน

บัดนี้ผ้าคลุมที่ปิดหน้านางไว้ได้เปิดขึ้น ดังนั้นจึงเห็นใบหน้าของนางได้อย่างชัด

ใบหน้าช่างงดงามอะไรเช่นนี้!

ทันใดนั้น หาบที่ชายผู้นั้นแบกอยู่ก็ร่วงตกลงกระทบกับพื้น จนเกิดเสียงดังโครมคราม เขาจ้องมองไปที่เฉิงเจียวเหนียงโดยไม่ละสายตา

สาวใช้จำได้ว่าเขาคือชายที่นางพบเมื่อหลายวันก่อนตรงลานบ้านฝั่งเจ้าอาวาส แม้ว่านางจะยังเด็ก แต่นางนั้นเติบโตมาในครอบครัวตระกูลใหญ่ จึงโตเร็วกว่าคนปกติทั่วไป รู้ว่าชายผู้นี้กับเจ้าอาวาสมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกัน คนพวกนี้ไร้ศีลธรรมยิ่งนัก วันนั้นมองนางตามอำเภอใจโดยไม่เกรงกลัว พอมาวันนี้เขาก็ใช้สายตาเช่นนั้นมองนายหญิงอีก

สาวใช้หันหลังแล้วรีบเดินไปปิดผ้าคลุมหน้าของนายหญิงลง นางไม่สนใจฟืนแล้ว จากนั้นจึงรีบประคองนายหญิงเดินอ้อมเข้าลานบ้านอีกฝั่งของตนอีกหนึ่ง ก่อนจะปิดประตูลง

……………………………………………………………..