บทที่ 51 จะตายก็ไปตายที่อื่น

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

แม้ซินหรูจะไม่จำเป็นต้องมีนางกำนัลมาปรนนิบัติโดยเฉพาะ ทว่านางไม่ต้องอาศัยอยู่ร่วมห้องเดียวกับนางกำนัลเช่นกัน นางถูกจัดให้พักอยู่ห้องข้างติดกับห้องของหลินชิงเวย อาหารการกินรวมไปถึงเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ล้วนเหมือนกับหลินชิงเวย

หลินชิงเวยกลับห้องไปอาบน้ำ นางยังไม่อาจลงไปแช่ในถังอาบน้ำได้ทั้งหมด จึงให้ปี้หลิงใช้ผ้าขนหนูที่ชุบน้ำเปียกแล้วเช็ดตัวให้นาง ปี้หลิงทำเรื่องเหล่านี้อย่างรู้งานและคล่องมือ หลบเลี่ยงบาดแผลของหลินชิงเวยโดยไม่เอ่ยวาจาใดๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ

หลินชิงเวยพูดขึ้นด้วยท่าทีเกียจคร้านว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าและข้าต่างเป็นตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกันแล้ว นับได้ว่าลงเรือลำเดียวกันเจ้ากระจ่างแจ้งหรือไม่?”

ปี้หลิงตอบกลับมาอย่างสุภาพนบนอบว่า “เหนียงเหนียงโปรดวางใจเพคะ บ่าวยินดีที่จะอยู่ร่วมกับเหนียงเหนียง จะรับใช้เหนียงเหนียงด้วยความซื่อสัตย์จงรักภักดี จะไม่กระทำเช่นลวี่เฉี่ยวโดยเด็ดขาดเพคะ”

หลินชิงเวยเอียงหน้ากลับมามองปี้หลิง จับสังเกตสีหน้าท่าทางบนใบหน้าของนาง และกล่าวว่า “ข้าเชื่อเจ้า”

หลังจากอาบน้ำเช็ดตัวแล้ว หลินชิงเวยเปลี่ยนมาสวมเสื้อนอน เดินออกมาเอนกายลงบนเตียง ปี้หลิงดับไฟในตะเกียงและในโคมไฟผ้าโปร่ง เหลือทิ้งไว้เพียงโคมไฟดวงหนึ่งที่ส่องแสงสีนวลเหลืองอบอุ่นแล้วถอยออกไป

หลินชิงเวยลืมดวงตาทั้งคู่ มองมุ้งลายดอกฝูหรง[1]อันงดงามที่อยู่ข้างบน มือลูบไล้ไปบนผ้าปูที่นอนเรียบลื่นให้ความรู้สึกคุ้นเคยยิ่งยวด

หลินชิงเวยยกมือขึ้นบีบสันจมูกของตน อดคิดไม่ได้ว่า นี่ก็แค่วาสนาที่ต้องมาพบกันโดยบังเอิญเท่านั้น จะอาลัยอาวรณ์อะไรกันนักหนาผู้อื่นคงลืมไปเนิ่นนานแล้วเจ้าจะมัวคิดถึงเรื่องนี้ทำไมกัน

พี่สาว เจ้าอย่าได้ถูกขี้ตาบดบังดวงตาได้หรือไม่ เจ้าไม่ได้อายุสิบหกปี เจ้าน่ะอายุสามสิบปีแล้ว อายุสามสิบปี ไม่ใช่สิบสามปี กลับมัวแต่หวนคิดถึงค่ำคืนสารทวสันต์เช่นแม่นางน้อยอายุสิบหกหรือไร?

หรืออาจเป็นเพราะอาศัยอยู่ในร่างนี้เนิ่นนานไป ความคิดและตรรกะต่างๆ ก็จะค่อยๆ ถดถอยลงไปด้วย?

ดังนั้นหลินชิงเวยจึงสะบัดศีรษะ เช็ดขี้ตาที่ติดอยู่บริเวณหางตาออกจนสะอาดสะอ้าน นางเอื้อมมือไปหยิบถุงเงินที่อยู่บนโต๊ะน้ำชาข้างเตียงขึ้นมาดูพร้อมกับพลิกมันไปมา

ถุงเงินใบนี้ชัดเจนยิ่งนักว่ามิใช่ของนาง แต่เป็นของที่นางได้มาโดยบังเอิญ บนถุงเงินปักลวดลายดอกบัวดอกหนึ่ง ดูไปแล้วฝีมือประณีตงดงามและยังมีสภาพค่อนข้างใหม่ ดูเหมือนงานฝีมือที่สตรีปักแต่กลับมาอยู่บนร่างของบุรุษ

หลินชิงเวยย่นจมูกแล้วโยนถุงเงินไปไว้ด้านข้าง จากนั้นพลิกกายหลับไป

เมื่อเซียวเยี่ยนกลับไปถึงที่พักของตนแล้วผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ มือของเขาลูบไปตามบั้นเอวของตนตามความเคยชินจึงพบว่าสิ่งของหายไปอย่างหนึ่ง เมื่อย้อนคิดกลับไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยามกลางวัน เขาอดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าบูดบึ้ง เอ่ยเสียงต่ำว่า “หลิน ชิง เวย”

เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น เรื่องของลวี่เฉี่ยวถูกแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว

คนทั้งตำหนักฉางเหยี่ยนล้วนรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับลวี่เฉี่ยว ขณะที่นางถูกนำตัวไปพบหลินชิงเวย สีหน้าท่าทางนั้นอิดโรยอย่างยิ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่เป็นระเบียบ แม้กระทั่งน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาทั้งแห้งและแหบพร่า ชัดเจนยิ่งนักว่าเป็นลักษณะของผู้ที่ถูกเคี่ยวกรำจนหมดเรี่ยวแรง

หลินชิงเวยกล่าว “ข้าได้ยินว่าเจ้าจะไปรับใช้ที่ตำหนักจ้าวกุ้ยเหริน หากเจ้าไปแล้วข้าย่อมไม่ขัดขวางเจ้าในเมื่อทุกคนต่างต้องป่ายปีนขึ้นสู่ที่สูงทั้งสิ้น เหตุใดยังไม่เห็นเจ้าไปเล่า?”

ทันทีที่สิ้นเสียงกงกงผู้หนึ่งเดินเข้ามารายงานว่า “เมื่อสักครู่ทางด้านจ้าวกุ้ยเหรินให้คนมาบอกความว่า ไม่ต้องให้ลวี่เฉี่ยวไปทางนั้นแล้วพะยะค่ะ”

ดูจากสีหน้าอิหลักอิเหลื่อของเขาก็รู้ได้ทันทีว่า จ้าวกุ้ยเหรินจะต้องรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเป็นแน่ ทั้งยังได้พูดจาไม่น่าฟังอีกมากมาย

หลินชิงเวยไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อยนางเพียงแค่โบกไม้โบกมือ “ถอยออกไปเถิด” นางค่อยๆ หลุบตาลงต่ำ เห็นลวี่เฉี่ยวคุกเข่าอยู่บนพื้นไม่เอ่ยอะไรแม้แต่ประโยคเดียว ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับจ้องเขม็งมาที่นาง ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง หลินชิงเวยค่อยๆ โน้มกายลงไป ปลายนิ้วของนางบีบคางของลวี่เฉี่ยวให้นางเงยหน้าขึ้นมา น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นราบเรียบ “อย่างไรเล่า เคียดแค้นข้าหรือ? ชิงชังข้าที่ข้าทำลายความบริสุทธิ์ของเจ้า? ที่จริงเจ้าควรจะขอบคุณข้า เพราะข้าไม่ได้สั่งให้ส่งตัวเจ้าไปยังตำหนักเย็น หลินเสวี่ยหรงซื้อตัวเจ้า เมื่อเจ้าตัดสินใจทำงานถวายชีวิตให้กับนางก็ควรจะคิดได้ว่าต่อไปเจ้าจะต้องสูญเสียอะไรเป็นการตอบแทนบ้าง”

ลวี่เฉี่ยวส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ทำ…ข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่ได้ทำงานถวายชีวิตแทนนาง!”

คิ้วของหลินชิงเวยโค้งลง “เจ้ากล้าพูดว่าเจ้าไม่ได้เป็นคนวางยาในน้ำชาที่นำมาให้ข้า?”

“น้ำชา น้ำชานั้นเป็นบ่าวที่ส่งให้กับเหนียงเหนียงเพคะ แต่บ่าวไม่ได้เติมสิ่งของอื่นลงไป!”

หลินชิงเวยหรี่ตาลงจับสังเกตสีหน้าบนใบหน้าของลวี่เฉี่ยว “เมื่อคนเรากำลังพูดเท็จ เพื่อต้องการให้อีกฝ่ายเชื่อในคำเท็จของตนจะจ้องตาของอีกฝ่ายตลอดเวลา ชัดเจนยิ่งนักว่าเจ้าความสามารถในการพูดเท็จของเจ้ายังไม่แนบเนียนถึงขั้นไร้พิรุธ”

ลวี่เฉี่ยวได้ยินเช่นนั้น จึงรีบละเลื่อนสายตาไปทางอื่น

หลินชิงเวยคลายมือจากคางของนาง “เจ้าออกไปเถิด เจ้ายังคงทำงานอยู่ในตำหนักฉางเหยี่ยนต่อไป นับแต่นี้ไปข้าจะไม่ถือสาหาความกับเรื่องที่เจ้าเคยทำมาก่อน”

ลวี่เฉี่ยวไม่ได้เคลื่อนไหวแต่กลับหัวเราะเสียงแหลมออกมา “เหนียงเหนียงทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของบ่าว บ่าวจะมีที่ยืนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? บ่าวยังมีหน้ามีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกหรือ!” พูดแล้วนางกัดฟันแน่น ลุกขึ้นจากพื้นแล้ววิ่งไปชนกำแพงด้านข้างทันที

ปี้หลิงตกใจจนส่งเสียงร้องขึ้น

ที่จริงหลินชิงเวยดึงรั้งลวี่เฉี่ยวได้ แต่นางยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ มองลวี่เฉี่ยวชนเข้ากับกำแพงนั้นด้วยสายตาเฉยเมย

เสียง โครม ดังขึ้น

ประจวบเหมาะกับเป็นจังหวะที่ซินหรูประคองถ้วยยาเข้ามา เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ จิตใจที่อ่อนแอเปราะบางของนางได้แข็งแกร่งขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไปแล้ว แม้จะอายุยังน้อยทว่าสุขุมอย่างยิ่ง

ปี้หลิงรีบเข้าไปประคองลวี่เฉี่ยว หน้าผากของลวี่เฉี่ยวเต็มไปด้วยเลือด หลินชิงเวยกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “หากเจ้ามีใจคิดจะรนหาที่ตายก็ควรจะตายตั้งแต่เมื่อคืนไม่จำเป็นต้องมาตายต่อหน้าข้า ยังมีอีก คนที่เจ้าควรจะเคียดแค้นมิใช่ข้าแต่ควรจะเป็นหลินเสวี่ยหรง เป็นนางที่คิดหาวิธีการเลวทรามต่ำช้าเช่นนี้ออกมาจึงทำให้เจ้าต้องมีจุดจบเช่นเวลานี้”

ซินหรูเดินเข้ามายื่นถ้วยยาส่งให้หลินชิงเวย “พี่สาว ควรดื่มยาแล้วเจ้าค่ะ”

หลินชิงเวยยกถ้วยยาขึ้นเตรียมจะดื่มแล้วยื่นให้กับปี้หลิง “ให้นางดื่มยานี้เสีย หากนางยังต้องการหาทางตายอีกก็ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมนางอีกต่อไป รอกระทั่งนางทรมานตนเองจนตายแล้วค่อยเรียกคนนำศพของนางยกออกไปเป็นอาหารของสุนัขจรจัด”

“เพคะ” ปี้หลิงยกถ้วยยาเข้าไปบังคับให้ลวี่เฉี่ยวดื่มลงไป ลวี่เฉียวทุกข์ทรมานถึงขีดสุด กล้ำกลืนยาที่ผสมปนเปกับเลือดลงไปจากนั้นร่ำไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด

หลินชิงเวยก้าวออกไปจากห้องซินหรูติดตามอยู่ข้างกายนางขมวดคิ้วมองนางและบ่นงึมงำอย่างไม่ค่อยพึงใจนัก “ไม่ง่ายดายเลยกว่าจะต้มยาให้ท่านได้ ท่านกลับเอาไปให้นางดื่ม เช่นนั้นพี่สาวดื่มอะไรเจ้าคะ?”

หลินชิงเวยกล่าวอย่างเห็นขัน “วางใจเถิด ข้าดีขึ้นมากแล้ว”

“ลวี่เฉี่ยวผู้นั้น เป็นคนร้ายที่ทำร้ายพี่สาวจนต้องถูกส่งตัวไปอยู่ตำหนักเย็นใช่หรือไม่เจ้าคะ?” ซินหรูถามอย่างไร้เดียงสา

พอดีกับกงกงจากตำหนักซวี่หยางมาถึง หลินชิงเวยเห็นขันทีกำลังเดินมุ่งหน้ามาทางนี้จึงเอ่ยขึ้นกับซินหรูว่า “มิใช่ต้องการฝึกฝนวิชาแพทย์หรือไร พี่สาวมอบภารกิจอย่างหนึ่งให้กับเจ้า เจ้ารับผิดชอบดูแลบาดแผลบนหน้าผากของลวี่เฉี่ยวให้ดี ต้องห้ามเลือดให้หยุดก่อนแล้วจึงพันแผล แจ่มแจ้งหรือไม่?”

[1] ดอกพุดตาน