เล่ม 4 เล่มที่ 4 ตอนที่ 116 ข้าปรารถนาให้เจ้าเป็นสตรีของข้า

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

เยี่ยโยวเหยาจูบลงไปสองครั้งพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องจึงผละออก นิ้วมือเชยคางของซูจิ่นซีขึ้น นัยน์ตาสีดำสนิทสบกับดวงตาที่วาววับของซูจิ่นซี

        “เยี่ยโยวเหยา ท่านหมายความว่าอย่างไรเพคะ? ”

        “เจ้าต้องการเป็นสตรีของข้าหรือไม่? ”

        “ไม่ต้องการเพคะ! ” ซูจิ่นซีขบริมฝีปาก

        คิ้วของเยี่ยโยวเหยาขมวดแน่น “ซูจิ่นซี เจ้าต้องการหรือไม่ต้องการเป็นพระชายาของข้ากันแน่? ”

        นี่นางมีตัวเลือกด้วยหรืออย่างไร?

        นางสามารถเลือกได้หรือ?

        เมื่อเห็นว่าซูจิ่นซีไม่พูดจา เยี่ยโยวเหยาจึงดึงซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมอก ใช้ปลายคางถูเกศาที่อยู่บนศีรษะของซูจิ่นซีอย่างรักใคร่ “ไม่ว่าเจ้าต้องการเป็นหรือไม่ ชื่อด้านหน้าของเจ้าในชีวิตนี้ก็จะต้องเพิ่มชื่อของเยี่ยโยวเหยาเข้าไป เจ้าเลิกคิดหนีได้เลย”

        “เยี่ยโยวเหยา ท่านหมายความว่าอย่างไรกันแน่เพคะ? ”

        หัวใจของซูจิ่นซีกระตุกอย่างเจ็บปวด นางหลับตาทั้งสองข้างลงอย่างหมดหนทาง

        เยี่ยโยวเหยาไม่พูดตอบ หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ซูจิ่นซีจึงลืมตาทั้งสองข้างขึ้น นางผลักเยี่ยโยวเหยาออกและสบมองนัยน์ตาของเขา “เยี่ยโยวเหยาเพคะ คุณหนูหนานกงผู้นั้นใช่คู่หมั้นของท่านหรือไม่เพคะ? ”

        “ใช่! ”

        ซูจิ่นซีคิดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะยอมรับอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ นางกำหมัดแล้วก็ทุบไปบนร่างของเยี่ยโยวเหยา

        “ท่านมันคนใจร้าย! ”

        เยี่ยโยวเหยารับกำปั้นของซูจิ่นซี แล้วดึงซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมอกอีกครั้ง “จิ่นซี คราก่อนตอนที่เจ้าถูกลักพาตัวไปจากหอสุราตู้คัง ข้ากังวลเป็นอย่างยิ่ง ครานี้ที่วัดพุทธฝ่าเจ้านำกำลังคนมากมายถึงเพียงนั้นไปเผชิญหน้ากับผีดิบติดพิษ ข้าหวาดกลัวยิ่งนัก เจ้ารับปากข้า หลังจากนี้เป็นต้นไปอย่าได้พยายามกล้าหาญทำเรื่องเช่นนี้อีก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า”

        กระแสความอบอุ่นไหลผ่านดวงใจของซูจิ่นซี ละลายความโศกเศร้าและความทุกข์ระทมทั้งหมดในชั่วพริบตา

        ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก พลางหลับตาทั้งสองข้างลงอย่างเชื่องช้า หยดน้ำที่ชุ่มชื้นค่อยๆ ไหลลงมาจากแพขนตา

        “เยี่ยโยวเหยาเพคะ ท่านหมายความว่าอย่างไรกันแน่เพคะ? ”

        เยี่ยโยวเหยาไม่ตอบคำถามของซูจิ่นซี

        ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงกล่าวว่า “เจ้าดื่มจนเมาแล้ว ให้แม่นมฮวาต้มน้ำแกงสร่างเมาให้เจ้าสักชาม ข้าจะไปอาบน้ำก่อน ยามค่ำจะมาทานข้าวเป็นเพื่อนเจ้า”

        ซูจิ่นซีเฝ้ามองเรือนร่างของเยี่ยโยวเหยาที่ลับหายไปจากห้องใต้หลังคาของเรือนอวิ๋นไค นางยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองร่างของเยี่ยโยวเหยาที่เข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋นอีกครั้ง

        ภายในใจสับสนเป็นอย่างยิ่ง

        เยี่ยโยวเหยา ความกังวลและความหวาดกลัวของท่านนั้นแปลว่าในใจของท่าน แท้จริงแล้วมีหม่อมฉันอยู่ใช่หรือไม่?

        หากไม่มี ทว่าคำว่าชอบสักคำก็เอ่ยยากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?

        เมื่อครู่ที่ซูจิ่นซีถามเยี่ยโยวเหยาอยู่ตลอดว่า “ที่ท่านพูดหมายความว่าอย่างไร? ” นั้น เป็นเพราะนางต้องการฟังเยี่ยโยวเหยาเอ่ยคำว่าชอบสักครา

        ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ นางก็ไม่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย

        หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีก็ค่อยๆ ยกยิ้มมุมปากขึ้น

        เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วนี่!

        เมื่อก่อนนางมักจะคิดว่าภาพลักษณ์ของเยี่ยโยวเหยาสูงส่งประดุจดั่งเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น ระยะห่างของพวกเขาต่างกันราวฟ้ากับเหว ดังนั้นนางจึงไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดที่มากจนเกินไป

        แม้ในภายหลัง ความชอบของซูจิ่นซีที่มีต่อเยี่ยโยวเหยานับวันจะยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น ทว่านางก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่า วันหนึ่งพวกเขาจะได้ใกล้ชิดกันเหมือนดั่งวันนี้

        นี่ก็ดีกว่าเมี่อก่อนมากโขแล้ว!

        ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนจะต้องค่อยเป็นค่อยไปใช่หรือไม่?

        เมื่อคิดเช่นนี้ ความรู้สึกของซูจิ่นซีก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก

        อันดับแรก นางต้องดื่มน้ำแกงสร่างเมาที่แม่นมฮวาต้มให้ก่อน จากนั้นก็ขออาบน้ำร้อนอีกครั้ง

        นอนหลับฝันดีสักตื่น

        เมื่อตื่นขึ้นมาก็เย็นค่ำเสียแล้ว

        “พระชายาโยวอ๋อง ท่านตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ? ท่านอ๋องรอท่านอยู่เพคะ! นี่ข้าน้อยก็กำลังจะยกสำรับไปให้พวกท่านเพคะ! ” วันนี้อารมณ์ของแม่นมฮวาดียิ่ง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแฉ่ง

        ซูจิ่นซีเดินไปถึงหน้าประตูก็มองเห็นเยี่ยโยวเหยาที่สวมชุดคลุมสีขาวราวกับหิมะ ปล่อยชายเสื้อยาวระพื้น กำลังนั่งจิบชาอยู่ในลาน

        ด้านหลังของเขาคือแสงอรุณที่แดงฉาน ภาพนั้นดูราวกับคุ้นเคยมาก่อน ช่างงดงามเหลือเกิน

        “เยี่ยโยวเหยาเพคะ! ”

        ซูจิ่นซีตะโกนเรียก

        เยี่ยโยวเหยาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งสองสบมองกันในทันใด บัดนี้ภายในดวงตาพวกเขาทั้งสองล้วนมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

        หลังจากนั้นไม่นานซูจิ่นซีก็ยกกระโปรงขึ้นและก้าวเท้าลงบันไดเดินไปหาเยี่ยโยวเหยา นางเดินไปยังฝั่งตรงข้ามของเยี่ยโยวเหยาแล้วนั่งลง

        “เจ้าลองชิมนี่ดูสิว่ารสชาติเป็นอย่างไร? ”

        เยี่ยโยวเหยาเทน้ำชาให้ซูจิ่นซีหนึ่งจอก

        ซูจิ่นซีจิบลิ้มรส จึงทราบได้ว่าเป็นชาดอกหวงจินกุ้ย [1] ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่ชาเขียว

        ชาชนิดนี้เป็นชากึ่งหมัก ผสมผสานความสดสะอาดและความหวานของชาดำและชาบริสุทธิ์ไร้รส มันสามารถรักษากลิ่นความหอมไว้ระหว่างช่องฟัน รสชาติติดตาตรึงใจไม่รู้จบ

        ที่แท้เยี่ยโยวเหยาก็ชอบดื่มชาชนิดนี้

        “ไม่เลวเลยเพคะ! ” ซูจิ่นซีเอ่ยชื่นชม จดจำไว้ในใจ

        “สิ่งเหล่านี้ก็ไม่เลวเช่นกัน! ”

        เยี่ยโยวเหยามองไปยังสวนยาสมุนไพรด้านข้างแล้วเอ่ยขึ้น

        พักนี้ซูจิ่นซียุ่งมาก นางจึงไม่มีเวลามาดูสวนยาสมุนไพรของตน บัดนี้จึงพบว่าพวกมันได้เติบโตสูงขึ้นอย่างมาก บ้างก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ บ้างก็ผลิดอกออกผล แม้พวกมันไม่ได้ดูสวยงามตระการตาเท่าใดนัก ทว่ากลับปลอดโปร่ง สดชื่นและทำให้สบายใจได้

        “หากท่านอ๋องโปรด บนเรือนยังมีดอกไม้ปลูกไว้มากมาย หม่อมฉันจะให้แม่นมฮวานำกระถางดอกไม้ไปถวายให้ที่ตำหนักฝูอวิ๋นนะเพคะ”

        เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้ว ไม่ได้ตอบรับในทันที

        ทันใดนั้นซูจิ่นซีจึงรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ผิดพลาดในคำพูดของตน

        เหมือนว่าพ่อบ้านจะเคยเตือนแล้ว! เยี่ยโยวเหยาไม่ชอบพวกต้นไม้ใบหญ้าเท่าไร นางถามเช่นนี้ เขาคงไม่ยินดีใช่หรือไม่นะ?

        ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมุ่น เยี่ยโยวเหยาพยักหน้าทันที “ดี เจ้าตัดสินใจแล้วกัน! ”

        ในใจของซูจิ่นซีรู้สึกเบิกบานเล็กน้อย

        “ท่านอ๋องเพคะ พระชายา อาหารมาแล้วเพคะ! ”

        แม่นมฮวายิ้มร่า รีบยกถาดอาหารขึ้นมา

        ซูจิ่นซีตะลึงงันเมื่อมองดูชามสำรับกับข้าวที่ยกเข้ามา “นี่… ”

        “ฮิๆ ท่านอ๋องและพระชายาเพคะ นี่เป็นของที่แสดงการขอบพระคุณอย่างสุดซึ้งสำหรับการวางเดิมพันของท่านอ๋องที่บ่อนพนันเพคะ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารของคู่รักเหล่านี้ส่งมาให้พวกท่านโดยเฉพาะ ข้าน้อยมองแล้วฝีมือประณีตบรรจงไม่เลวจึงทำตามความคิดของตนเองโดยพลการ นำมาให้พวกท่านใช้เพคะ”

        ก่อนหน้านี้ที่คนจากกองคลังมา ซูจิ่นซีอารมณ์ไม่ดีเท่าไร ดังนั้นจึงไม่ได้มองให้ละเอียด ครานี้มองเห็นแล้วว่ารูปลักษณ์ช่างวิจิตรงดงามเสียจริง

        โดยเฉพาะชามสำรับใส่อาหาร บนชามสำรับข้าวของเยี่ยโยวเหยาเคลือบด้วยลายมังกร ส่วนบนชามสำรับข้าวของซูจิ่นซีเคลือบด้วยลายหงส์ รูปแบบที่สรรสร้างของชามทั้งสอง หากวางไว้คู่กันก็จะเป็นภาพหงส์ร่อนมังกรรำ [2] ซึ่งมีนัยความหมายที่ดียิ่งนัก

        ทว่าแม่นมฮวาทำตามความคิดของตนโดยไม่ถามได้อย่างไรกัน?

        หากเยี่ยโยวเหยาไม่ชอบจะทำอย่างไรเล่า?

        “อืม… ดียิ่ง! ต่อจากนี้ไปก็ใช้พวกมันเถิด! ”

        เยี่ยโยวเหยาเอ่ยขึ้น

        แววตาของแม่นมฮวาเป็นประกายขึ้นมาในทันที นางดีใจยิ่งว่าซูจิ่นซีเสียอีก ทั้งยังสามารถจับประเด็นในคำพูดของเยี่ยโยวเหยาได้อย่างเฉียบขาด ในขณะที่ซูจิ่นซีไม่สามารถจับใจความอันใดได้เลย

        “ความหมายของท่านอ๋องก็คือ ต่อจากนี้ไปจะกลับมาร่วมโต๊ะอาหารเป็นเพื่อนพระชายาให้บ่อยขึ้นใช่หรือไม่เพคะ? ”

        “อืม ประมาณนั้น! ” เยี่ยโยวเหยาพูดขึ้นอย่างแผ่วเบาอีกครั้งว่า “หากกลับมาไม่ได้จะให้คนล่วงหน้ามาบอกก่อน”

        สวรรค์!

        ท่านอ๋องปฏิบัติต่อพระชายาดียิ่งนัก

        สมัยก่อน ท่านอ๋องกลับมาเสวยอาหารที่จวนน้อยครั้งมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องแจ้งข่าวคราวให้กับคนที่จวนทราบ นางไม่กล้าแม้แต่จะคิดอย่างแน่นอน

        ทว่าพอมีฮูหยินแล้ว ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม!

        แม่นมฮวามองดูเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี รอยยิ้มบนใบหน้าแย้มบานดั่งดอกไม้

        “แม่นมฮวา! ข้าวเย็นชืดหมดแล้วนะ! ”

        ซูจิ่นซีเตือนแม่นมฮวา นางถึงจะตักสำรับให้เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี

        ในขณะที่ซูจิ่นซีถือข้าวกำลังจะคีบซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานมาทานสักชิ้น ก็พอดีกับตะเกียบของเยี่ยโยวเหยาที่เอื้อมมาคีบซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานชิ้นนั้นเช่นกัน

        เยี่ยโยวเหยาต้องการคีบกุ้งแช่บ๊วยสักชิ้น ตะเกียบของซูจิ่นซีก็คีบไปพอดีเช่นกัน

        ทันใดนั้นซูจิ่นซีจึงคีบซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานวางลงในชามของเยี่ยโยวเหยาอย่างเป็นธรรมชาติ เยี่ยโยวเหยาก็กำลังคีบกุ้งแช่บ๊วยชิ้นที่ซูจิ่นซีคีบไม่ถึงและวางลงในชามของซูจิ่นซีเช่นกัน

        แก้มของซูจิ่นซีแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ทำเพียงก้มหน้าทานข้าวอย่างเดียว

        ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็ได้ยินเสียงของเยี่ยโยวเหยาเอ่ยว่า “ซี่โครงเปรี้ยวหวานชิ้นนี้ดูไม่เปรี้ยวเอาเสียเลย! ”

        พลันซูจิ่นซีก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่ถนนหรงหวาฟู่กุ้ย นางจงใจใส่น้ำส้มสายชูจำนวนมากลงในชามสำรับของเยี่ยโยวเหยาและคุณหนูหนานกง ในสำรับอาหารเหล่านั้นก็มีซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานเช่นกัน

        นี่! เยี่ยโยวเหยาจงใจแกล้งนาง!

        “แม่นมฮวา ไปเอาน้ำส้มสายชู [3] มา! ”

        ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้นจ้องไปที่รอยยิ้มไร้เดียงสาของแม่นมฮวา

……

เชิงอรรถ

[1] ดอกหวงจินกุ้ย คือ ดอกอบเชยสีทอง มักนำไปทำเป็นชาดอกไม้ มีชื่อเสียงในเมืองฝูเจี้ยนของประเทศจีน

[2] หงส์ร่อนมังกรรำ คือสำนวนจีน ในประเทศจีนใช้สำนวนนี้เป็นคำมหามงคลยิ่ง ภาพมังกรกับหงส์อยู่คู่กัน สื่อความหมายว่า บ้านเมืองสงบสุข ประชาชนอยู่ดีกินดี ลวดลายมังกรและหงส์มักนำมาใช้เป็นของชำร่วย จึงสื่อความหมายนามธรรมในงานแต่งได้อีกว่า “คู่ชีวิตที่มีความสมปรารถนาและชีวิตอุดมสมบูรณ์พูนสุข”

[3] กินน้ำส้มสายชู ความหมายแฝงที่คนจีนใช้ในอีกนัยยะ หมายความถึง รู้สึกหึงหวง ดังนั้นน้ำส้มสายชูจึงสามารถใช้แทนความรู้สึกหึงหวงได้เช่นกัน