ตอนที่ 21 สิ่งที่เรียกว่าความจริงใจ

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 21 สิ่งที่เรียกว่าความจริงใจ

ฝ่ามือที่เห็นข้อนิ้วได้อย่างชัดเจนของมู่จวินฮานกอบกุมมืออันเนียนนุ่มของอันหลิงเกอขึ้นมา วินาทีที่สัมผัสกัน อันหลิงเกอก็สะบัดมือของเขาออกทันที และมีท่าทีที่เย็นชามากขึ้นกว่าเดิม

“ซื่อจื่อสมกับเป็นผู้รักหยกถนอมบุปผาไม้ที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวง คำเอ่ยที่หวานหูนั้นช่างยากที่จะต้านทานเสียจริง”

เมื่อได้ยินเช่นนั่น มู่จวินฮานมิคิดว่าคำพูดเช่นนี้จะออกจากปากของอันหลิงเกอ ใบหน้าของเขาฉายแววตะลึงงัน แต่มินานก็กลับมาเป็นปกติ

 “คนเยี่ยงข้าพอใจเด็กเยี่ยงเจ้า เจ้าควรจะสำนึกบุญคุณถึงจะถูกมิใช่หรือ ? อย่าลืมสิว่าจวนอ๋องมู่มีผลงานสร้างชาติ จนทุกวันนี้ก็ยังมีอำนาจทหารอยู่ในมือ ส่วนจวนโหวนั้นไร้สมบัติไร้อำนาจ หากมิใช่เพราะท่านโหวเคยช่วยชีวิตฝ่าบาทเอาไว้ จวนโหวจะเจริญรุ่งเรืองเช่นนี้ได้เยี่ยงไร”

อันหลิงเกอเมื่อได้ฟังคำกล่าวก็คิดตาม ที่เขากล่าวมานั้นมันก็ถูก เป็นเพราะจวนโหวไร้อำนาจและรากฐานที่มั่นคง ท่านพ่อถึงได้ดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อขยายอำนาจของจวนโหวให้แข็งแกร่งขึ้น  เมื่อนึกขึ้นได้เช่นนั้นอันหลิงเกอก็มองลึกเข้าไปในดวงตาของมู่จวินฮานและเผยรอยยิ้มเย็นชาส่งไปให้

 “ความชอบของซื่อจื่อนั้น ข้าคงมิกล้ารับไว้หรอก ขอท่านได้โปรดอยู่ให้ห่างจากข้าจะดีกว่า แล้วข้าน้อยจะมิลืมพระคุณนี้เลย”

เมื่ออันหลิงเกอหวนนึกถึงเมื่อชาติก่อนนางแค่ได้ชื่อว่าเป็นว่าที่ชายาของมู่จวินฮานก็ถูกอันหลิงอีสังหารจนตายเสียแล้ว และหากอันหลิงอีรู้ว่ามู่จวินฮานมาบอกชอบตนเยี่ยงนี้ มิรู้ว่าน้องสาวที่แสนดีจะคลั่งอันใดขึ้นมาอีก

ยิ่งไปกว่านั้น……

อันหลิงเกอยิ้มเยาะให้กับตัวเอง นางพบหน้ามู่จวินฮานเพียงมิกี่ครั้ง เขาก็มาบอกชอบเสียแล้ว ใครจะไปรู้นี่อาจจะเป็นเพียงแค่คำลวงก็เป็นได้   ชาตินี้นางกลับมาเพื่อแก้แค้น จะมีกะจิตกะใจไปคิดเรื่องความรักของชายหญิงได้เยี่ยงไรกัน

เมื่อถูกกล่าวปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่จวินฮานก็เจื่อนลงไปมิน้อย แต่กลับรู้สึกสนุกขึ้นมาอีกหลายเท่า

สตรีในเมืองหลวงมากมายต่างเคลิบเคลิ้มหลงใหลในใบหน้าของเขา มีเพียงอันหลิงเกอที่เห็นเขาคราใดก็ทำราวกับเห็นสิ่งที่น่ารังเกียจต้องคอยหลบหน้าเขาเสียทุกคราไป แต่ว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องที่อันหลิงเกอจะตัดสินใจเอาเองได้ มู่จวินฮานยกยิ้มขึ้นที่มุมปากขึ้น

 “งานแต่งงานของเรามีฮ่องเต้เป็นผู้พระราชทานสมรสให้ ท่านพ่อของข้าและท่านโหวอันก็ได้ตกลงร่วมกันแล้ว อยากให้ข้าอยู่ให้ห่างจากเจ้านั้นคงจะเป็นไปมิได้ เว้นเสียแต่ว่างานแต่งงานของเราจะถูกยกเลิก มิเช่นนั้นคำขอร้องของเจ้าเกรงว่าข้าคงมิสามารถทำให้ได้”

มู่จวินฮานกล่าวออกมาพร้อมแววตาซึ่งแฝงไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับมีความสุขกับงานแต่งงานในครานี้เสียเต็มประดา กับการแต่งงานที่มัดพวกเขาเอาไว้ด้วยกัน

เมื่อได้ฟังคำกล่าวปฏิเสธของมู่จวินฮาน เป็นเหตุให้อันหลิงเกอรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก แต่ตอนนี้นางยังมิมีวิธีจัดการเรื่องงานแต่งงานนี้

เมื่อนึกขึ้นได้นางจึงยื่นมือไปผลักมู่จวินฮานออกไปนอกประตู จากนั้นก็ปิดประตูห้องลงทันที

“เรื่องงานแต่งงาน ซื่อจื่อมิต้องกังวลไป แต่ในตอนนี้ข้ายังมิได้แต่งเข้าจวนอ๋องมู่ และระหว่างเรายังบริสุทธิ์ใจต่อกันอยู่ก็ขอให้ท่านอย่าได้หลงลืมเรื่องข้อปฏิบัติระหว่างชายหญิงไปเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้น มู่จวินฮานผู้ที่ถูกผลักออกมาด้านนอกห้องก็ยกมือขึ้นลูบจมูกอย่างทำอันใดมิถูก เขาเพียงแค่ต้องการจะหยอกล้ออันหลิงเกอเพียงเท่านั้น ใครจะไปคิดว่านางจะตอบโต้กลับมาถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังทิ้งเขาเอาไว้ข้างนอกห้องอีก นี่มิใช่เรื่องที่คุณหนูตระกูลใหญ่ทั่วไปจักทำกัน แต่อันหลิงเกอที่เป็นเยี่ยงนี้ กลับทำให้เขาสนใจนางมากขึ้นไปอีก เขารอคอยที่จะได้พบนางอีกคราแทบจะมิไหว

บางทีสวรรค์อาจได้ยินคำขอของมู่จวินฮานก็เป็นได้ จึงทำให้เขาได้พบกับอันหลิงเกออีกครั้งในวันรุ่งขึ้น

เนื่องในวันเกิดครบรอบอายุ 40 ปีของท่านอ๋องอี้ จวนอ๋องอี้จึงได้จัดงานเลี้ยงขึ้นและได้เชิญขุนนางระดับสูง รวมทั้งบรรดาท่านอ๋องที่สูงศักดิ์มากมายมาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย

อี้หวางเฟยนั้นเป็นสตรีวัย 35 ปี มีรูปร่างที่อวบอิ่มและใบหน้าที่งดงาม

นางสวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มปักลายผีเสื้อชมดอกไม้ ด้านล่างเป็นกระโปรงยาวทำจากผ้าไหมทอลายสีแดงสด บนศีรษะตกแต่งอย่างปราณีต ปักด้วยปิ่นหงษ์สีเงิน กำลังต้อนรับแขกอยู่อย่างยิ้มแย้ม มือที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อนั้นสวมกำไลเงินคู่ และทุกสิ่งที่นางสวมใส่แสดงถึงความมั่งคั่งของจวนอ๋องอี้ได้เป็นอย่างดี

เมื่ออันหลิงเกอลงจากรถม้า สายตาของอี้หวางเฟยก็มองมาที่นางในทันที สายตานั้นมองอย่างประเมินบางอย่างอยู่ ทำให้อันหลิงเกอถึงกับขมวดคิ้วขึ้นมา

“ท่านนี้คงจะเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนโหวใช่หรือไม่ ช่างงดงามประดุจเดียวกับแม่ของเจ้าเสียจริง ใบหน้าท่าทางเยี่ยงนี้ช่างทำให้คนที่พบเห็นมีความสุขขึ้นมา”

อี้หวางเฟยเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางที่สนิทสนม พร้อมกับจับมือข้างหนึ่งของอันหลิงเกอเอาไว้ ท่าทางกระตือรือร้นเช่นนี้ดึงดูดความสนใจของคนรอบข้างเป็นอย่างมาก

เมื่อเห็นเช่นนั้นเป็นเหตุให้อันหลิงเกอต้องอดกลั้นความหมั่นไส้ภายในใจเอาไว้ บนใบหน้าเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและสุภาพออกมา

 “พระชายากล่าวชมเกินไปแล้วเพคะ หลิงเกอหน้าตาพื้น ๆ เพียงเท่านั้น มิกล้ารับคำชมเช่นนี้หรอกเพคะ”

หน้าตาพื้น ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?

อันหลิงอีที่อยู่ด้านหลังนางส่งเสียงเหอะออกมา ต่อให้นางจะมิชอบอันหลิงเกอเพียงใด ก็ยังต้องยอมรับว่าอันหลิงเกอนั้นมีใบหน้าที่งดงาม นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่นางมิชอบอันหลิงเกอ

อี้หวางเฟยกลับมิได้คิดอันใดมาก คิดเพียงแค่ว่าอันหลิงเกอตอบออกมาเพราะความเขินอายเพียงเท่านั้น จากนั้นจึงได้เชื้อเชิญสตรีจากตระกูลอัน รวมทั้งฮูหยินมากมายเข้ามา ถือเป็นการเริ่มงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ งานเลี้ยงของสตรีนั้นมีเพียงน้ำชาและของว่าง จากนั้นก็เป็นการพูดคุยถึงครอบครัว หญิงสาวครอบครัวไหนมีฝีมือการปักที่ยอดเยี่ยม ครอบครัวไหนเก่งการดนตรี

อันหลิงเกอนั่งอยู่ด้านข้างอย่างเงียบ ๆ ฟังคนรอบข้างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ราวกับถูกคนจงใจละเลยเสียอย่างนั้น แต่นางกลับมิได้สนใจ แค่จิบชาอย่างสบายอารมณ์ และชื่นชมดอกไม้รอบ ๆ เพียงเท่านั้น

ส่วนหลี่ซื่อนั้นกลับสนทนากับอี้หวางเฟยอย่างออกรสออกชาติ เนื่องด้วยนางทั้งสองเป็นสหายกันมาตั้งแต่ก่อนออกเรือน จึงมิได้เป็นที่ผิดสังเกตอันใด ด้วยเหตุการณ์เยี่ยงนี้ เป็นเหตุให้อันหลิงเกอนึกสงสัยอยู่เพียงในใจ อี้เหนียงมิได้เตรียมจะลงมือเวลานี้หรือเยี่ยงไร ?

อันหลิงเกอที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีสาวใช้ของอี้หวางเฟยเดินเข้ามาหานางเสียก่อน

“คุณหนูใหญ่ ข้าน้อยเติมชาให้นะเจ้าคะ”

สาวใช้ยกกาขึ้นมา แต่ทันใดนั้นคล้ายกับสะดุดกับอันใดบางอย่าง จึงส่งเสียงร้องออกมา ทำให้กาที่ถืออยู่หกลงไปทางอันหลิงเกอที่นั่งอยู่ เสียงร้องนั้นทำให้งานเลี้ยงหยุดชะงักลง

อี้หวางเฟยรีบเดินเข้ามาหาทันที ใบหน้าที่ได้รับการบำรุงมาอย่างดีปรากฏความโมโหขึ้น

“เจ้า ! เหตุใดถึงได้ซุ่มซ่ามเยี่ยงนี้ห๊ะ ? ยังมิรีบขออภัยคุณหนูอันอีก”

“เป็นความผิดของข้าน้อยเอง ขอคุณหนูได้โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย ข้าน้อยจะระวังให้มากกว่านี้เจ้าค่ะ”

สาวใช้คนนั้นร้องห่มร้องไห้และก้มหัวลงกับพื้นเพื่อรีบคำนับ ราวกับกลัวว่าอันหลิงเกอจะเอาเรื่องนาง และเงยหน้าขึ้นใบหน้าก็เต็มไปด้วยคราบน้ำตา สายตาของคนทั้งงานจดจ้องกันอยู่ที่จุดเดียว

อันหลิงเกอมองที่สาวใช้ผู้นั้น จากนั้นมุมปากปรากฏรอยยิ้มขึ้น

“มิเป็นไร แค่กระโปรงเปียกเพียงเท่านั้น ข้าไปเปลี่ยนชุดก็เรียบร้อยแล้ว รบกวนความสำราญของทุกท่านแล้ว หลิงเกอต้องขออภัยทุกท่านด้วย”

ท่าทางของนางช่างอ่อนโยนและจริงใจ ใบหน้าที่โมโหของอี้หวางเฟยจึงคลายลง จากนั้นจึงยกมือเรียกสาวใช้อีกคนเข้ามา

 “เจ้าพาคุณหนูอันไปเปลี่ยนชุดทีสิ”

อันหลิงเกอเดินตามสาวใช้คนนั้นออกมาจากงาน แต่คล้ายกับก็ได้ยินเสียงบุรุษพูดคุยกันดังขึ้นเบา ๆ นางจึงได้กระซิบบางอย่างที่ข้างหูของปี้จู จากนั้นก็ได้ยินเสียงของสาวใช้ที่เดินนำทางกล่าวขึ้น

 “ไอหยา! ต่างหูของข้าน้อยหายไป พี่สาวท่านนี้รบกวนช่วยข้าน้อยหาหน่อยได้หรือไม่ ? ”

ปี้จูเมื่อได้รับสัญญาณจากอันหลิงเกอก็พยักหน้ารับ

 “ว่าแต่หล่นหายที่ใดกัน ? ”

สาวใช้ผู้นั้นตอบอย่างมิกระวนกระวายอันใด

 “น่าจะหล่นอยู่บริเวณงานเลี้ยง เพียงแต่ข้าน้อยต้องส่งคุณหนูไปเปลี่ยนชุดก่อน คงต้องรบกวนพี่สาวท่านนี้แล้วเจ้าค่ะ”

หลังจากรับปาก ร่างของปี้จูก็ค่อย ๆ เดินหายไปตามทางเดิน