ตอนที่ 50 : เนตรอัคคี

หวังเย่ามองไปที่หงอคงด้วยสีหน้าพอใจ มันดูตัวใหญ่ขึ้นพร้อมกับพลังที่เพิ่มมากขึ้น ราวกับว่าสามารถทำลายรถถังได้ด้วยหมัดเดียว

แน่นอนว่าเขาแค่คาดเดา ความแข็งแกร่งที่แท้จริงนั้นจำเป็นต้องทำการทดสอบดูอีกรอบ

****

หงอคง

สายพันธุ์ : ลิงเพชร

ระดับ : ทองขั้นสูง

เลแวล : 20 (ระดับผู้นำ)

ค่าประสบการณ์ : 5,024/12,500

บ่อประสบการณ์ : 5,024

ความสามารถในการต่อสู้ : 543

****

หวังเย่าเบิกตากว้างด้วยรอยยิ้ม สมกับเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ระดับทองตั้งแต่เกิด การเติบโตแต่ละช่วงพัฒนาขึ้นมาอย่างมาก มันแกร่งกว่าการ์ฟิลด์ที่อยู่ระดับเดียวกันเสียอีก

แต่ก็ต้องใช้ค่าประสบการณ์ที่เยอะกว่าในการพัฒนามัน มันใช้ค่าประสบการณ์ที่มากกว่าเกือบสองเท่า

เมื่อดูสกิลมันแล้ว เขาก็พบว่าสกิลของมันก็ดีเช่นกัน

****

สกิล : 1. ผิวคิงคอง มีการป้องกันที่สูง แม้แต่กระสุนก็ไม่อาจจะสร้างความเสียหายได้ 2. พลังธรรมชาติ เป็นพลังของไททัน สามารถยกภูเขาทั้งลูกได้ (ตอนนี้สามารถยกรถหุ้มเกราะได้แล้ว) 3. เนตรอัคคี สามารถมองทะลุความจริงได้ และยังมองเห็น “ภาพติดตาชั่วขณะ ”….ภายในสิบนาที สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในบางสถานที่ได้

****

หวังเย่าอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้วยความตะลึงงัน

สกิลเนตรอัคคีนี่มีประโยชน์จริง ๆ มันคือสกิลระดับสวรรค์ ไม่ใช่แค่มองความจริงออกแต่ยังมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตได้อีกด้วย

เพื่อยืนยันการทำงานของสกิล หวังเย่าก็ได้เปิดใช้ความสามารถนี้ก่อนจะมองไปรอบ ๆ อยู่ ๆ ตาของเขาก็ส่องประกายสีทองออกมา

หากเขามองดูกระจกตอนนี้ เขาจะพบกับไฟที่ลุกไหม้ในตาของเขา

แน่นอนว่ามันเป็นแค่ภาพภายนอก มันไม่ใช่ไฟจริง ๆ

หลังจากที่ใช้สกิลนี้ดูแล้ว เขาก็มองไปรอบตัว ไม่นานตาของเขาก็สั่นไหวพร้อมกับเห็นหนูตัวหนึ่งที่วิ่งผ่านหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว

เขาได้มองไปยังที่ที่หนูจากไป เขามองมันอยู่สักพักก่อนจะพบกับร่องรอยของมันอีกครั้งซึ่งชัดเจนขึ้นกว่าเก่า

หลังจากที่ทดสอบอยู่หลายครั้ง หวังเย่าก็ใจเต้นรัว เนตรอัคคีนี้ไม่ใช่แค่เห็นภาพในอดีต แต่ยังเห็นการเคลื่อนไหวในอดีตอีกด้วย

หากสถานที่บางแห่งไม่เปลี่ยนแปลงเช่นน้ำที่นิ่งอยู่ในบ่อ มันก็จะไม่มีการตอบสนองใด ๆ จากเนตรอัคคี

แต่ถ้าหากมีปลาว่ายน้ำในบ่อน้ำแล้ว  ก็จะเห็นเส้นทางของปลาที่ว่ายไปมาในเวลา 10 นาทีโดยที่ภาพนั้นจะผ่านเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้แล้วภาพช่วงแรกจะถูกแสดงขึ้นมาก่อน  ยิ่งภาพช่วงแรกชัดเจนเท่าไหร่ ภาพช่วงหลังก็ยิ่งชัดเจนขึ้นมากเท่านั้น

“ถ้าเป็นแบบนี้งั้นสกิลที่ได้มาในวันนี้ก็ต้องเป็นประโยชน์อย่างมาก มันสามารถมองทะลุความจริงและภาพติดตาชั่วขณะ  สกิลนี่ดีจริง ๆ สมกับเป็นเนตรอัคคี เดาว่าไม่มีใครหลบพ้นจากสายตาของฉันได้” หวังเย่าคิดกับตัวเอง

ขนาดของหงอคงที่เพิ่มขึ้นมานี้ทำให้หลีกเลี่ยงความสนใจไม่ได้ มันคงไม่อาจจะวิวัฒนาการได้อีกในเวลาอันสั้น เพราะมันต้องใช้เวลาอีกหน่อยกว่าจะปรับตัวให้เข้ากับการวิวัฒนาการครั้งนี้

หวังเย่าคิดสักพักก่อนจะเก็บมันใส่ไว้ในกำไล เขาจะไม่เรียกมันออกมาชั่วคราว เพราะเขาเชื่อว่าแค่ดึงสกิลของมันมาใช้ก็เพียงพอกับการไล่ล่าในวันนี้ได้แล้ว

เขากลับมาที่แคมป์เพื่อหาอะไรกิน ตอนเกือบจะ 6 โมงเช้า พวกทหารก็ตื่นขึ้นก่อนจะกินข้าวเช้า จากนั้นพวกเขาก็ได้พาหวังเย่าขึ้นเขาไป

ตอนนั้นครูประจำชั้นและครูคนอื่น ๆ ก็เตรียมตัวพร้อมกันแล้ว

30 นาทีต่อมากลุ่มทหารพร้อมกับหวังเย่าและคนอื่น ๆ ก็ได้เดินทางข้ามแม่น้ำหยก ก่อนจะมาถึงที่ตีนเขา

“ไอ้หนู แกบอกว่าจะพาเราไปหามัน งั้นก็บอกแผนการมา” หัวหน้าทหารพูดขึ้น สีหน้าเขาเหมือนจะแสดงท่าทีเยาะเย้ย

หวังเย่าพยักหน้า  เขาไม่ได้สนใจอะไรและได้พูดขึ้นมาว่า “ตอนนี้คุณฟังแผนการของผมก่อน  พวกอาจารย์ไปกับผม ทีมทหารแบ่งกันเป็น 3 ทีม ทีมแรกมากับผม อีกสองทีมแยกไปทางซ้ายกับขวาห่างกัน 500 เมตร ก่อนจะขึ้นเขาไป”

หัวหน้าทหารได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เขารู้สึกว่าเด็กนี่ยังไม่มีหัวคิด แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะเขาต้องรอดูผลลัพธ์อีกที

หลังจากที่แยกทีมกันแล้ว หัวหน้าทหารก็ได้พาทหารเดินหน้าขึ้นเขาไป

ระหว่างทาง หวังเย่าไม่ได้หยุดเลยแม้แต่น้อย เขาไม่ลืมที่จะมองไปรอบตัว ด้วยสกิลเนตรอัคคีแล้ว เขาสามารถมองผ่านความจริงได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกลัวงูเลือดที่อำพรางตัวเองอยู่ เพราะเขาสามารถมองเห็นมันได้ทันที

ระหว่างทางพวกเขาพากันหยุดพักเพื่อพักหายใจกันบ้างเล็กน้อย

จุดอ่อนของงูเลือดคือมันชอบลม ดังนั้นเขาจึงต้องไปยังที่ที่มีอากาศปลอดโปร่งเพื่อหาตัวมัน

ยิ่งสูงและลมแรงเท่าไหร่ก็มีโอกาสที่จะหามันพบมากเท่านั้น

ลมบนยอดเขานั้นแรงและมีแรงกดอากาศที่ต่ำ  ยิ่งสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งมีลมพัดแรงและเย็นมาก

แต่งูนั้นเป็นสัตว์เลือดเย็น ภูเขาด้านบนกว่าครึ่งถูกปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็ง พวกมันจะไม่ชอบอยู่ในที่ที่เย็นมากเกินไป

จากข้อสรุปเหล่านี้แล้ว อันที่จริงระยะการค้นหาก็ไม่ได้กว้างนัก พวกเขาแค่ต้องไปตรวจสอบสถานที่ที่อากาศปลอดโปร่งก็เท่านั้น

ผ่านไป 1 ชั่วโมง หวังเย่าก็ได้พาทุกคนไปพบกับเป้าหมายแรก

ซึ่งมันคือหน้าผาที่มีลมพัดตีขึ้นไปจนถึงยอดเขา ต้นไม้ใกล้ ๆ หลายต้นสั่นไหว แม้แต่คนก็ไม่อาจจะยืนได้อย่างมั่นคง

หวังเย่าได้ลงมือทันที เขามองไปยังต้นไม้รอบ ๆ ด้วยเนตรอัคคีเพื่อมองทะลุการอำพรางและซ่อนตัวของมัน  รวมไปถึงการมองภาพติดตาด้วย

สุดท้าย หวังเย่าก็ไม่พบอะไร เขาได้แต่มองไปที่หน้าผานั้นอยู่นาน

ส่วนนี้ของหน้าผาสูงชัน ด้านบนนั้นมีต้นไม้รูปร่างประหลาด กิ่งของมันบิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยหนาม

“ตรวจสอบทุกอย่างแล้วไม่พบอะไร ไปต่อกันได้” หัวหน้าทหารและทหารคนอื่น ๆ ได้มองไปรอบ ๆ เมื่อไม่พบอะไร พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหมดความอดทนและเร่งให้ทุกคนเดินหน้าต่อ

แต่หวังเย่ากลับขัดขึ้นมา “เดี๋ยว ผมเจอแล้ว”

“เรื่องตลกอะไรกัน เรามีกันตั้งหลายคนแต่กลับมองไม่เห็นอะไร นายมองเห็นอะไรกันแน่ ? ” หัวหน้าทหารพูดขึ้น

“คุณไม่เชื่องั้นหรือ ? ” หวังเย่าละสายตากลับมาและมองไปที่หัวหน้าทหารด้วยสายตาที่เย็นชา “การไม่รู้นั้นไม่ผิด แต่ไม่รู้แล้วยังอวดฉลาดน่ะอีกเรื่อง แต่นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ากลุ่มทหารของคุณไร้ความสามารถแค่ไหน”

“แกระวังปากไว้หน่อย แกเชื่อไหมว่าฉันจัดการกับแกที่นี่ได้ ? ” ตอนนั้นทหารหลายคนก็พากันมองไปที่หวังเย่าด้วยสีหน้าไม่พอใจ

หวังเย่าแลบลิ้นออกมาเหมือนยียวน ก่อนจะเอายาระงับประสาท 2 ขวดออกมาและพูดขึ้น “พวกคุณไปซ่อนตัวก่อน แล้วรอคำสั่งจากผม”

ทันทีที่พูดจบเขาก็กระโดดขึ้นไปที่ต้นไม้ เขายกขวดขึ้นก่อนจะตรวจสอบทิศทางของลมและมุม จากนั้นก็โยนขวดยาไปที่หน้าผา

ลมที่นั่นแรงอย่างมาก ทำให้น้ำยากล่อมประสาทระเหยออกไปอย่างเต็มที่ มันหลอมรวมเข้ากับสายลมแล้วลอยเข้าไปที่หน้าผา ราวกับสายหมอก

ผ่านไปประมาณ 10 นาที

ทุกคนมองดูฉากนั้นด้วยความประหลาดใจและสับสน บางคนถึงกับเยาะเย้ยออกมา

แต่ตอนนั้นที่หน้าผากกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา