บทที่ 57 สังเวยวิญญาณ

ราชาซากศพ

บทที่ 57 สังเวยวิญญาณ

หลินเว่ยนั้นไม่ได้เชื่อถือในทันที หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ขบคิดได้ว่าบางทีนี่อาจจะเป็นหลุมพราง เพราะเนื่องจากของเหลวรวมวิญญาณนั้นอาจจะมีอยู่จริง
แต่จะต้องเต็มไปด้วยอันตราย ดังนั้นราชาหนูศิลาขาวจึงขุดหลุมเพื่อให้เขาตกหลุมพรางอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น หลินเว่ยจึงเอ่ยถามขึ้นว่า

“ความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรที่มีหน้าที่ปกป้องของเหลวรวมวิญญาณคือขั้นใด?”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ราชาหนูศิลาขาวอึกอัก ไม่กล้าพูดอย่างเต็มปากเต็มคำ
“อย่าบอกนะ ว่าไม่มีสัตว์ผู้พิทักษ์สำหรับสิ่งของล้ำค่าแบบนี้น่ะหรือ? เจ้าคิดว่าจะมาหลอกข้าอย่างนั้นหรือ?” เมื่อมองไปที่ท่าทางเงอะงะของอีกฝ่าย
หลินเว่ยคว้าหยิบกริชออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ และกล่าวด้วยน้ำเสียงรังเกียจ บนใบหน้าของเขา
“ข้าจะจับเจ้าตอนเดี๋ยวนี้!”

“อย่าเพิ่ง ๆ” ราชาหนูศิลาขาวเอ่ยกระท่อนกระแท่น “ อย่าทำอะไรข้าเลย!” ราชาหนูศิลาขาวเปล่งเสียงกรีดร้องโหยหวน และร้องออกมาอย่างสั่นสะท้านไปทั่วป่า
“พูด! หากเจ้ากล้าโกหก ฮึ่ม คงจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“ไม่….ไม่! มันคือดอกไม้ผู้คุมวิญญาณความแข็งแกร่งของมันอยู่ที่ขั้นห้าระดับแรก เท่า ๆกันกับข้า” ราชาหนูศิลาขาวตัวแข็งทื่อและไม่ขยับ เขากลัวว่าหากไม่ระมัดระวัง
อาจจะเผลอไปโดนปลายกริชของหลินเว่ย

“ผู้คุมวิญญาณขั้นห้า ถ้าข้าไม่รู้มาก่อน ข้าคงจะถูกสังหารด้วยผู้คุมวิญญาณขั้นห้าไปแล้ว บัดซบ! เจ้ามันคือหนูตัวร้าย ต้องการสังหารข้าด้วยผู้คุมวิญญาณ” หลินเว่ยพูดอย่าง
โกรธเกรี้ยวด้วยใบหน้าที่โมโห

“เอิ่ม” ดวงตาของราชาหนูศิลาขาวเหม่อลอย และเขามองตรงไปที่หลินเว่ย
“ฮ่าฮ่า ปีศาจหนูผู้ชั่วร้าย! เอาล่ะ เห็นแก่ประโยชน์ของข่าวนี้ของเจ้า ข้าจะตัดมันเพียงแค่ครึ่งเดียว หลังจากนั้นใบหน้าของหลินเว่ยก็กลายเป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
“ตัดครึ่ง?” ใบหน้าของราชาหนูศิลาขาวนั้นเปลี่ยนเป็นซีดขาว และมันก็ร้องขอความเมตตาอย่างรวดเร็ว และเสียงดัง: “ไม่ๆ! ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว!
ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ อย่าตัดมันออกไปเลย หลินเว่ยได้ยินดังนั้นจึงกล่าวออกมาว่า

แต่ข้ามีข้อแม้……หนึ่งอย่าง” หลินเว่ยแสร้งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา

“เงื่อนไข…….อย่างไร” ราชาหนูศิลาขาวถามอย่างระมัดระวัง
“เรียกข้าว่า นายท่าน!” หลินเว่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไสหัวไป!” ราชาหนูศิลาขาว ดุด่าอย่างโกรธเกรี้ยว
“อย่างนั้น…ข้าจะไม่ตัดมันออกครึ่งเดียว! เอาล่ะ ตัดมันทั้งหมดเลยดีกว่า
“ นายท่าน” ราชาหนูศิลาขาวพลิกลิ้นของตนอย่างรวดเร็ว

หลังจากชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสีย ราชาหนูศิลาขาวก็ยอมจำนนต่อกริชของหลินเว่ยไปตลอดชีวิต
“เริ่มการพิธีกรรมสังเวยวิญญาณ!” หลินเว่ยนั่งลงคุกเข่าและพูดกับราชาหนูศิลาขาว
“เจ้ารู้เรื่องพิธีกรรมสังเวยวิญญาณได้อย่างไร?” เมื่อได้ยินคำว่า “สังเวยวิญญาณ” ใบหน้าของราชาหนูศิลาขาวก็เปลี่ยนไป ร่างกายสั่นสะท้าน
“แปลกงั้นหรือ มันไม่ใช่ความลับเสียหน่อย” หลินเว่ยกลอกตาและมองไปที่ราชาหนูศิลาขาวด้วยความรังเกียจ

มีสามวิธีในการควบคุมสัตว์อสูร วิธีแรกคือ การกำจัดจิตสำนึกของสัตว์อสูร จากนั้นควบคุมให้พวกมันต่อสู้ไปตามสัญชาตญาณ
นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแต่จะทำให้เสียสมาธิ และยังต้องใช้พลังจิตตามความแข็งแกร่งของสัตว์อสูร ข้อกำหนดสำหรับพลังจิตจะแตกต่างกัน ประเด็นสำคัญที่สุดคือความแข็งแกร่งของสัตว์อสูร
สัตว์อสูรที่ควบคุมด้วยวิธีนี้จะไม่สามารถเลื่อนระดับความแข็งแกร่งต่อไปได้อีกในโลก

วิธีที่สองคือการฝากเสี้ยวจิตวิญญาณเอาไว้ในร่างของสัตว์อสูร ตราบใดที่อีกฝ่ายต้องสงสัยว่าจะทรยศ เจ้านายจะสามารถตรวจพบได้อย่างรวดเร็ว
และสังหารวิญญาณของสัตว์อสูรได้ในทันที โดยทั่วไปมักจะใช้พิธีกรรมนี้ในการทำสัญญา

ด้วยวิธีนี้ อีกฝ่ายจะต้องยอมให้เสี้ยววิญญาณของเจ้านายเข้าไปภายในจิตของตน แต่วิธีนี้นั้นไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากอีกฝ่ายอาจจะแสร้งทำ เนื่องจากในกรณีที่อีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งเกินเจ้านายก็จะสามารถลบจิตวิญญาณทิ้งไป

แต่ในการลบจิตวิญญาณของเจ้านายออก หากว่าไม่รู้วิธีหรือทำไม่ถูกต้องจะได้รับความเจ็บปวด ดั่งเช่นที่เถาจุนเคยประสบมาก่อน
แต่ในส่วนของเถาจุนนั้นได้รับการฝึกฝนตั้งแต่วัยเด็ก ให้รู้จักความภักดี จึงไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น

ข้อดีของการใช้วิธีนี้คือ นอกจากเสี้ยวจิตวิญญาณที่ฝังไว้ในร่างของสัตว์อสูรแล้ว จะไม่มีผลต่อการฝึกฝน สามารถใช้ชีวิตและบำเพ็ญเพียรได้ตามปกติ

ส่วนวิธีที่สามนั้นหาได้ยากมาก โดยปกติแล้วจะใช้เพื่อการกำราบสัตว์อสูรขั้นสูง สัตว์อสูรที่มีความคิดเป็นตนเองและมีสติปัญญาไม่ด้อยไปกว่ามนุษย์ พวกมันสามารถแยกวิญญาณเป็นอิสระ
และปล่อยให้วิญญาณบางส่วนนั้นถูกควบคุมโดยเจ้านาย

“ข้ายอมให้ท่านทิ้งเสี้ยววิญญาณของท่านไว้ในจิตวิญญาณของข้าได้ แต่อย่าให้ข้าแบ่งวิญญาณออกมาเลย! มันจะทำร้ายจิตวิญญาณของข้า…..ราชาหนูศิลาขาววิงวอน
“มีสองทางเลือก จงเลือกมา จะสังเวยวิญญาณหรือสิ้นใจอยู่ที่นี่” หลินเว่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แข็ง ไม่ยอมให้ปฏิเสธ

“ วางข้าลงก่อนได้หรือไม่” ราชาหนูศิลาขาว กล่าวพร้อมกับดิ้นรน
“ไม่มีทาง!” หลินเว่ยส่ายหัวปฏิเสธ
“เพราะเหตุใด?” ราชาหนูศิลาขาวเอ่ยถามขึ้น
“ เพราะข้าไม่วางใจในตัวเจ้า!” หลินเว่ยเม้มริมฝีปากและกล่าวตรงๆ
“ ……. ” ราชาหนูศิลาขาวนั้นหมดคำพูด ได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมของตนเองที่โชคร้ายมาเจอ ชายผู้เหี้ยมโหดอย่างหลินเว่ย

ในขณะนี้ราชาหนูศิลาขาวยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง และหยุดพูดลงไป จากนั้นก็หลับตาและงอกรงเล็บ ครู่ต่อมาแสงสีขาวก็ลอยเหนือหว่างคิ้วของเขา และกลายเป็นราชาหนูศิลาขาว ตัวเล็กที่คล้ายกับร่างจริง แตกต่างที่ขนาด
จากนั้นร่างของราชาหนูศิลาขาวก็ขมวดคิ้ว และใบหน้าของเขาแสดงสีแห่งความเจ็บปวด ร่างที่ห้อยอยู่เหนือคิ้ว แยกตัว และแบ่งออกเป็นสองร่าง ร่างที่เล็กกว่า หนึ่งร่างลอยเข้าไปหาหลินเว่ย พุ่งไปที่หว่างคิ้วของหลินเว่ย
และอีกส่วนหนึ่ง ตรงเข้าไปในหว่างคิ้วของราชาหนูศิลาขาว

เมื่อแสงสีขาวลอยเข้ามา หลินเว่ยรู้สึกว่าแสงสีขาวถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งอยู่ในทะเลแห่งจิตใต้สำนึก และอีกส่วนอยู่ในทะเลลมปราณที่อยู่ในช่องว่างมิติ ไปตามกระดูกสันหลัง
“นี่คือ?” สีหน้าของ หลินเว่ยเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เพราะจุดแสงที่เข้าสู่ทะเลลมปราณ…ไม่เพียงแต่มีวิญญาณของราชาหนูศิลาขาวเท่านั้น แต่ยังมีเศษวิญญาณจำนวนมากที่ไร้เจ้าของ ในขณะที่จุดแสงที่เข้าสู่ทะเลลมปราณ มันก็แตกซ่านในทันทีทันใด
พลังงานจำนวนมากก็ถูกสร้างขึ้น เต็มทะเลลมปราณ พลังงานที่ล้นออกมาไหลไปตามกระดูกสันหลัง แผ่ไปทั่วร่างกาย

สถานการณ์ในตอนนี้วิกฤตมาก หลินเว่ยผงะปล่อยราชาหนูศิลาขาว อย่างรวดเร็ว และรีบนั่งสมาธิ เพื่อเข้าไปยังพื้นที่มิติ หมายจะระงับพลังงานในทะเลลมปราณ หลังจากนั้น เขาก็เข้าสู่จิตใต้สำนึก ด้วยสมาธิของตน
และใช้กำลังทั้งหมดเพื่อกลืนและดูดซับ เศษพลังวิญญาณที่ไร้เจ้าของอย่างรวดเร็ว
“กึกๆ!”ร่างกายของ หลินเว่ยเริ่มสั่นสะท้าน เนื่องจากความว้าวุ่นใจของ หลินเว่ยเขาจึงรู้สึกไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ เขารู้สึกเพียงว่าร่างกายของเขา ได้รับบาดเจ็บราวกับของแหลมคมบาดไปตามร่างกายของเขา จนหลินเว่ยนั้นทนไม่ไหวและหมดสติไปหลายต่อหลายครั้ง เส้นเลือดของเขาก็ปริแตกออกมา สามารถมองเห็นได้ภายใต้ผิวหนังของร่างกายหลินเว่ย

มันจะเป็นเรื่องยากสำหรับหลินเว่ย ที่จะทำหลายสิ่งหลายอย่างในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตามในเวลานี้ เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องระงับพลังงานที่พลุ่งพล่าน ในทะเลลมปราณเสียก่อน หลังจากที่เขาดูดซับเศษวิญญาณในจิตใต้สำนึกจนหมด
จากนั้นเขาสามารถดูดซับเศษพลังงานในทะเลลมปราณได้

หลินเว่ยขบคิดวิธีในการระงับพลังที่พลุ่งพล่านได้ คือการตั้งสมาธิไปทีละส่วน เพื่อดูดซับพลังจิต บดขยี้ชิ้นส่วนขจัดสิ่งสกปรก ทิ้งร่องรอยวิญญาณไว้ในแก่นพลังของตนเอง และยิ่งพลังทางจิตมีพลังมากเท่าไหร่ จุดตันเถียนจะเริ่มควบกลั่นได้อย่างรวดเร็ว
และ เพิ่มความเร็วในการดูดซับพลังจิต ยิ่งสถานะของเขานั้นคงที่มากเท่าไร แม้หลินเว่ยไม่ได้ตั้งใจระงับพลัง พลังก็จะดำเนินต่อไปตลอดเวลา ไม่ว่าจะวิ่ง กินหรือนอน ความเข้มแข็งทางจิตวิญญาณของเขา ก็เพิ่มขึ้นทุกขณะ