สามสิบห้า
ออกจากป่าเขาหวนคืนบ้าน
เสวี่ยหยวนจิ้งหันไปมองเสวี่ยเจียเยว่ และได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างชัดเจน
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้น “เจ้าวางใจเถิด พวกเราจะไม่อยู่ที่นี่นานเกินไป”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปเรียนที่สำนักศึกษา แต่ยังอยากจะสอบผ่านการคัดเลือกขุนนาง และเขาไม่คิดจะอยู่ที่นี่แม้แต่น้อย ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่กับเสวี่ยหย่งฝูและซุนซิ่งฮวาตลอดชีวิต แค่รอให้เขาปีกกล้าขาแข็งมากพอแล้วค่อยหนีไปจากที่นี่
ครั้นเสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวจบก็เป็นฝ่ายเดินนำลงเขาไปก่อน
เสวี่ยเจียเยว่ยืนมองแผ่นหลังอันสง่างามของเขาโดยไม่ไหวติง
ราวกับเด็กหนุ่มรู้ว่าเธอไม่อยากอยู่ในหมู่บ้านซิ่วเฟิงอย่างไรอย่างนั้น เขายังรู้อะไรอีกบ้าง หรือเขาจะรู้ว่าเธอ…
ใบหน้าเสวี่ยเจียเยว่พลันซีดเผือด แต่เมื่อเธอคิดดูแล้ว เขาคงไม่รู้หรอกกระมัง หากพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เขาอาจคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ถ้าเสวี่ยหยวนจิ้งรู้เรื่องนี้จริงๆ จะมีท่าทีนิ่งสงบและทำดีกับเธอขนาดนี้เชียวหรือ เขาคงเห็นเธอเป็นปีศาจ จับเธอเสียบไม้ย่างไฟ หรือไม่ก็มัดเธอถ่วงน้ำไปแล้วกระมัง
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเสวี่ยเจียเยว่ไม่ตามมา เขาก็หยุดเดินแล้วหันกลับไปมอง
แม้เขาจะไม่ได้เอ่ยคำใด ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายรอเธออยู่ จึงรีบสะบัดศีรษะไล่ความคิดที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออกไปจากสมอง ยิ่งคิดยิ่งหวาดกลัว จากนั้นเธอก็เดินตามเขาไปแต่โดยดี
พอเธอเดินตามมาทัน เสวี่ยหยวนจิ้งจึงเดินต่อ
ระหว่างเดินเข้ามาในหมู่บ้าน พวกเขาได้พบชาวบ้านหลายคนที่กำลังกลับจากการทำนา เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ ชาวบ้านต่างก็ตื่นตกใจ
“พวกเจ้าสองคนยังมีชีวิตอยู่เช่นนั้นหรือ ได้ยินว่าเข้าป่าลึกไปหลายวันยังไม่กลับมา คนในหมู่บ้านต่างก็นึกว่าพวกเจ้าถูกเสือคาบไปกินเสียแล้ว”
ทั้งยังถามอีกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบนเขา เหตุใดผ่านไปตั้งหลายวันจึงเพิ่งกลับมา
ชาวบ้านหลายคนเอ่ยถามพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ เสวี่ยเจียเยว่รู้จักนิสัยของเสวี่ยหยวนจิ้งดีว่าเขาเป็นคนเยือกเย็น ไม่ชอบให้คนมาวุ่นวายกับตน เธอจึงเล่าเรื่องโกหกให้ชาวบ้านเหล่านั้นฟังด้วยสีหน้าจริงจัง โดยบอกว่าเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งได้พบหมาป่าในป่าลึก จึงวิ่งหนีเตลิดไปด้วยความตกใจ สุดท้ายเมื่อมองไม่เห็นหมาป่าแล้ว พวกเขากลับหลงทาง จนเธอโชคร้ายหกล้มข้อเท้าแพลง เพื่อให้เรื่องนี้สมจริง เธอจึงทำท่าจะยกข้อเท้าที่ยังบวมเล็กน้อยขึ้นมาให้ชาวบ้านเหล่านั้นดู แต่เสวี่ยหยวนจิ้งเหลือบเห็นเสียก่อน จึงหยิกหลังมือข้างขวาของเธออย่างแรง เมื่อเสวี่ยเจียเยว่แสดงอาการเจ็บปวด เขาก็ปล่อยมือออก
เมื่อชาวบ้านเห็นกิ่งไม้ในมือเสวี่ยเจียเยว่ อีกทั้งยังเห็นตอนที่เธอเดินมาตามทางเมื่อครู่นี้ ขาขวาของเธอดูจะเดินเหินไม่สะดวกจริงๆ จึงเชื่อว่าที่เธอกล่าวมานั้นคือเรื่องจริง
ชาวบ้านเหล่านั้นเอ่ยชมว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ช่างโชคดียิ่งนัก แม้จะเจอหมาป่า อีกทั้งยังหลงทางตั้งหลายวัน แต่พวกเขาก็ยังอยู่รอดปลอดภัยดี ขณะเดียวกันก็ด่าเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาว่าไม่ใช่คน สองคนนั้นไปบ้านเกิดของซุนซิ่งฮวา ได้กินดีอยู่ดี และอยู่ที่นั่นอีกหลายวัน แต่ให้เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ไปเก็บของป่าในป่าลึกบนเขา มิหนำซ้ำสองพี่น้องหายตัวไปตั้งหลายวัน ก็ไม่เห็นว่าสองสามีภรรยาจะร้อนใจแม้แต่นิดเดียว นอกจากไม่คิดจะขึ้นเขาไปตามหาแล้ว สามีภรรยาคู่นั้นยังกินได้ดื่มได้ทุกวันเหมือนคนไม่มีเรื่องอันใด
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินชาวบ้านหลายคนเอ่ยประณามเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาก็แอบยิ้มเยาะในใจ บางครั้งเธอจะพูดแทรกว่าตนกับเสวี่ยหยวนจิ้งใช้ชีวิตอยู่ในป่าลึกอย่างน่าเวทนาเพียงใด ทั้งยังพูดเรื่องสะเทือนใจจนเธอต้องเค้นน้ำตาออกมา ทำให้ชาวบ้านเหล่านั้นสงสารเธอจับใจ และยิ่งด่าเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาว่าแม้แต่สัตว์เดรัจฉานพวกเขายังเทียบไม่ได้ สัตว์มันยังรู้จักปกป้องลูกของตัวเอง
เสวี่ยหยวนจิ้งเหลือบมองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยสายตาราบเรียบครู่หนึ่ง และบังเอิญเห็นดวงตาที่ระยิบระยับไปด้วยหยาดน้ำตาของอีกฝ่ายพอดี จากนั้นมุมปากของเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ราวกับแม่นางน้อยผู้นี้คือจิ้งจอกน้อยที่กำลังกระทำความผิด แต่ในใจกลับแอบกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ก็มิปาน
เขาไม่ได้เอ่ยแทรกละครงิ้วของเสวี่ยเจียเยว่ เพียงหันไปมองต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ข้างๆ
เมื่อชาวบ้านเหล่านั้นจากไปด้วยความเดือดดาล เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งจึงเดินต่อ ไม่นานก็มองเห็นเรือนของพวกเขา
ทันใดนั้นเสวี่ยเจียเยว่พลันตะโกนเรียกเด็กหนุ่มให้หยุด “ท่านพี่! เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งหันไปมองอีกฝ่ายพลางเอ่ย “เป็นอะไรไปหรือ”
เขานึกว่าแม่นางน้อยหวาดกลัว ไม่อยากพบซุนซิ่งฮวา เพราะแม่เลี้ยงของเขาด่าทอทุกวัน
ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย เธอเดินไปยืนข้างเสวี่ยหยวนจิ้ง จากนั้นก็หยิบถุงผ้าใส่ของป่าสองใบออกจากกระบุงใบเล็กที่เขาถืออยู่ ก่อนจะนำไปซ่อนไว้ในกองฟางที่อยู่ใกล้ๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ของป่าในถุงใบหนึ่งข้าจะนำไปให้ท่านยายหาน ส่วนอีกใบข้าจะเก็บไว้ให้พวกเราสองคนกิน”
อีกประเดี๋ยวพวกเขาต้องนำของป่าที่เก็บได้ไปให้สองสามีภรรยา แล้วมีหรือซุนซิ่งฮวาจะยอมแบ่งให้พวกเขากิน
เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงยื่นมือไปลูบศีรษะแม่นางน้อยเบาๆ
เส้นผมของเสวี่ยเจียเยว่นุ่มสลวย เมื่อลูบแล้วเขาก็รู้สึกดีไม่น้อย เสวี่ยหยวนจิ้งจึงอยากลูบศีรษะอีกฝ่ายบ่อยๆ
“เจ้าไม่ต้องกังวล” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนและเอ็นดูโดยไม่รู้ตัว “ตอนนี้ข้ามีวรยุทธ์แล้ว ยิงธนูก็เป็น ต่อไปหากข้าว่างก็จะไปยิงกระต่ายกับไก่ป่ามาให้เจ้ากิน”
เสวี่ยเจียเยว่คิดในใจ ‘พูดอย่างกับว่าฝึกวรยุทธ์มาเพื่อยิงกระต่ายกับไก่ป่าอย่างนั้นละ ในอนาคตคุณจะได้เป็นขุนนางในราชสำนักเชียวนะ นี่คือสิ่งที่คุณแสวงหาอย่างนั้นหรือ’
ประตูลานเรือนเปิดอยู่ พวกเขาจึงเดินเข้าไปพร้อมกัน
ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่เพิ่งข้ามภพมา ลานเรือนมีของวางระเกะระกะ ทั้งยังสกปรกมาก แต่เธอเป็นคนรักความสะอาด ไม่มีทางทนอยู่ในที่ที่ทั้งสกปรกและไม่เป็นระเบียบเช่นนี้ได้ จึงเก็บกวาดจนสะอาดสะอ้าน แต่ดูตอนนี้สิ บนลานเล็กๆ นี้มีสภาพเหมือนตอนที่เธอเห็นครั้งแรกไม่มีผิด
ตอนนี้ท้องฟ้ายังสว่างอยู่ ประตูเรือนจึงยังเปิดอ้าออกเช่นกัน เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่สบตากัน ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไป
เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวานั่งกินอาหารเย็นอยู่ที่โต๊ะ และซุนซิ่งฮวากำลังบ่นเรื่องที่สามีนำเงินไปซื้อสุรา
“ธัญพืชที่เก็บเกี่ยวมาได้ในฤดูใบไม้ร่วง ข้านำไปขายซื้อสัตว์เลี้ยงหมดแล้ว ตอนนี้เงินที่เหลืออยู่ก็มีน้อยนิด แต่เจ้ากลับเอาไปซื้อสุราอย่างนั้นหรือ ดื่มให้มันน้อยๆ หน่อยเจ้าจะตายหรือไร ตอนนี้เข้าฤดูหนาวแล้ว อากาศก็เริ่มเย็น แม้แต่เสื้อบุนวมผ้าฝ้ายข้าก็ไม่มีสักตัว หรือเจ้าอยากให้ข้าสวมเสื้อบุนวมเก่าๆ ตัวนั้นหรือ สวมออกไปคนเขาจะไม่หัวเราะเยาะข้าเอาหรือ”
เสวี่ยหย่งฝูยอมจำนนต่อซุนซิ่งฮวาแต่โดยดี เอาแต่นั่งคอตกคีบอาหารกินอย่างรวดเร็ว
ซุนซิ่งฮวาทนเห็นท่าทางไม่เอาไหนของเขาไม่ได้อีกต่อไป จึงยื่นมือไปคว้าตะเกียบในมือเขามา จากนั้นก็ฟาดลงพื้นทันที
“กิน กิน กิน เจ้ารู้จักแต่กิน เข้าฤดูหนาวแล้ว จากนั้นก็สิ้นปี ไม่มีเงินแล้วจะเอาอะไรมาฉลองปีใหม่ หรือว่าเรือนคนอื่นมีอาหารเต็มโต๊ะ แต่พวกเรา…”
ยังไม่ทันจะสิ้นประโยค จู่ๆ ซุนซิ่งฮวาก็เหลือบเห็นเงาตะคุ่มๆ ในห้องที่เดิมทีมืดสลัว จึงหันไปมองประตู และเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ยืนอยู่ตรงนั้น
ซุนซิ่งฮวาตะลึงงันทันที จากนั้นนางก็ร้องเสียงแหลม ก่อนลุกพรวดพราดราวกับถูกไฟลนบั้นท้าย แล้วกระโดดไปดึงคอเสื้อเสวี่ยหย่งฝู พลางเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “บิ… บิดาเขาเถอะ มี… มีผี”
เสวี่ยหย่งฝูดื่มสุรามาก่อนหน้านี้ สองแก้มจึงแดงระเรื่อ ขณะมองตามสายตาภรรยาก็ยังมึนงงไม่น้อย
“ผี?” เขามองเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ และหันมามองซุนซิ่งฮวา “ผีที่ไหนกัน ที่ยืนอยู่ตรงประตูนั่นไม่ใช่จิ้งเอ๋อร์กับเอ้อร์ยาหรอกหรือ”
เมื่อเขากล่าวจบก็หยัดกายลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปข้างหน้าทั้งที่ร่างกายโงนเงน “จิ้งเอ๋อร์ เอ้อร์ยา พวกเจ้ากลับมาแล้วหรือ”
ทว่ากลับถูกซุนซิ่งฮวาคว้าตัวเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ” ซุนซิ่งฮวาร้อนใจจนเหงื่อผุดขึ้นบนศีรษะ หัวใจเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกมาจากอก ด้วยความหวาดกลัวนางจึงหลบอยู่ด้านหลังเสวี่ยหย่งฝู “เจ้าลืมไปแล้วหรือ พวกเขาสองคน… พวกเขาขึ้นเขาไปหลายวัน ไม่มีแม้แต่ข่าวคราว ต้องถูกเสือคาบไปกินแล้วอย่างแน่นอน มีหรือจะกลับมาได้ นั่นจะต้องเป็น… ต้องเป็นวิญญาณของพวกเขา!”
พอพูดมาถึงประโยคสุดท้าย เสียงของนางก็ยิ่งสั่นเครือมากกว่าเดิม
เสวี่ยหย่งฝูได้ยินเช่นนั้น ในใจพลันเกิดความสงสัย ขณะเดียวกันก็ไม่กล้าเดินไปข้างหน้า แต่ถอยกลับมา
แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่อยากให้เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาหวาดกลัวยิ่งกว่านี้ แต่เธอรู้ดีว่าพวกเขาต้องรู้ความจริงในไม่ช้า มิสู้ให้เธอเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อนดีกว่า
เธอก้าวเท้าพลางเรียกซุนซิ่งฮวา “ท่านแม่ ข้ากับท่านพี่ไม่ใช่ผีนะเจ้าคะ พวกข้ายังไม่ตาย”
เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่ก้าวเข้ามา ซุนซิ่งฮวายิ่งตกใจกลัวจนถอยหลบไปอีก เสียงของนางก็สั่นเครือเหมือนระฆังโดนตี
“เจ้า… เจ้าอย่าเข้ามา ข้า… พรุ่งนี้ข้าจะเผากระดาษเงินไปให้เจ้า เจ้าอยากได้เท่าไร ข้าก็จะเผาไปให้ แต่ขออย่างเดียว รีบออกไปเถอะ”
เสวี่ยเจียเยว่ปรารถนาเพียงอย่างเดียวคือ ให้ซุนซิ่งฮวาคุกเข่าลงโขกศีรษะขออภัยในตอนนี้
เธอรู้สึกมีความสุขไม่น้อยเมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวหัวหดของอีกฝ่าย ทว่ายังต้องทำเป็นร้อนใจพลางเอ่ยขึ้น
“ไอหยา ท่านแม่ ข้ากับท่านพี่เป็นคนนะเจ้าคะ ไม่ใช่ผี”
ครั้นเอ่ยจบเธอก็จงใจเดินไปข้างหน้า แล้วเอื้อมมือไปราวกับต้องการจับแขนซุนซิ่งฮวา
ซุนซิ่งฮวาตกใจกลัวจนร้องเสียงหลงและวิ่งไปทั่วเรือน ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ก็วิ่งตาม ขอเพียงทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวได้เธอก็พอใจแล้ว
เสวี่ยหยวนจิ้งส่ายหน้าให้แก่ความเจ้าเล่ห์ของเสวี่ยเจียเยว่ จากนั้นเขาก็หันไปมองเสวี่ยหย่งฝู
เดิมทีเสวี่ยหย่งฝูมองเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่อย่างหวาดระแวงอยู่แล้ว เมื่อจู่ๆ เห็นเด็กหนุ่มหันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็งในวสันตฤดู เขาก็ตกใจทันที พลางถอยหลังไปอีกหลายก้าว
ไม่นานเสวี่ยหยวนจิ้งก็เก็บสายตาเย็นชา แล้วประสานมือคำนับเสวี่ยหย่งฝู พลางเอ่ยอย่างอ่อนน้อม “ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้ว”