นี่เป็นสตรีนางหนึ่งที่ไม่หลบเลี่ยงสิ่งใดทั้งสิ้น น่าประหลาดนักนางแตกต่างจากสตรีคนอื่นๆ แม้เซียวจิ่นจะได้สัมผัสคลุกคลีกับหญิงสาวในวังมาน้อยยิ่ง เขามักจะได้พบเห็นพวกนางเดินไปมาในวังหลวง

พวกนางล้วนเป็นนางสนมของเขา แม้กระทั่งคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าก็หาใช่ข้อยกเว้นไม่

เมื่อปลายนิ้วของหลินชิงเวยเลื่อนลงมาถึงเบื้องล่างหน้าท้องของเซียวจิ่น เซียวจิ่นเอ่ยขึ้นว่า “เหลือกางเกงไว้ให้ข้าตัวหนึ่งได้หรือไม่?”

หลินชิงเวยมองกางเกงตัวสุดท้ายที่ติดอยู่บนกายของเซียวจิ่น กล่าวอย่างลำบากใจว่า “เหลือกางเกงไว้ตัวหนึ่ง? เช่นนั้นอีกประเดี๋ยวหากหม่อมฉันฝังเข็มผิดตำแหน่ง จะทำอย่างไรเล่า? หากเป็นกางเกงชั้นใน หรือกางเกงในแบบสามเหลี่ยมหม่อมฉันยังพอจะพิจารณาให้เหลือไว้ได้ แต่กางเกงชั้นในตัวนี้ของฝ่าบาทนั้นห่อหุ้มขาทั้งสองข้างเอาไว้ทั้งหมด หม่อมฉันเกรงว่าจะเหลือไว้ให้ฝ่าบาทไม่ได้เพคะ”

พูดแล้ว หลินชิงเวยก็ปลดกางเกงตัวนั้นออกจากร่างของเซียวจิ่น

เซียวจิ่นหลับตาลง หายใจเข้าลึกๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจิ้นก็มีเนื้ออยู่แค่นั้น”

หลินชิงเวยคิดว่า เซียวจิ่นที่มีสติครบถ้วนน่าสนใจกว่าเซียวจิ่นที่หมดสติมาก หลินชิงเวยกล่าว “ฝ่าบาทรู้สึกอายหรือไม่? ไม่ต้องอาย ร่างกายทุกส่วนของฝ่าบาท หม่อมฉันล้วนเคยเห็นมาก่อนเพคะ”

เซียวจิ่น “…”

ปลายนิ้วทั้งสิบหยิบเข็มเงินขึ้นมา นางนำเข็มเงินไปฆ่าเชื้อกับเปลวไฟอย่างชำนาญจากนั้นฝังเข็มลงบนร่างกายของเซียวจิ่น

เมื่อเซียวเยี่ยนมาถึงตำหนักซวี่หยางเห็นหมอหลวงและนางกำนัลล้วนเฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนักบรรทม เขาจึงก้าวข้ามประตูด้านหน้าและขึ้นบันไดมา แสงแดดในวสันตฤดูทำให้ร่างของเขาดูสูงใหญ่ เมื่อเข้าไปแล้วจึงถามขึ้นว่า “ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง?”

หมอหลวงกล่าวว่า “หลินเฟยเหนียงเหนียงมาตรวจพระอาการให้ฝ่าบาท เวลานี้กำลังอยู่ด้านในพะยะค่ะ”

ดังนั้นฝีเท้าของเซียวเยี่ยนจึงหยุดชะงักลง ทว่ายังคงก้าวย่างเข้าไป เมื่อเขาเข้าไปแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเซียวจิ่นนอนอยู่บนเตียง ส่วนหลินชิงเวยกำลังฝังเข็มลงบนร่างเปลือยเปล่าของเขา

เซียวจิ่นอึกอัก จากนั้นทนไม่ไหว เอียงศีรษะกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง

จากนั้นเซียวจิ่นรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้นมาก หลินชิงเวยหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดรอยเลือดที่มุมปากของเขา เขาพรูลมหายใจโล่งอกแล้วมองหลินชิงเวยใหม่อีกครั้ง “เมื่อวานไทเฮาปรึกษาหารือกับเจิ้น ต้องการให้เจิ้นแต่งตั้งจ้าวกุ้ยเหรินเป็นจ้าวเฟย”

หลินชิงเวยไม่แม้แต่จะช้อนตาขึ้นมอง “ได้ยินว่าจ้าวกุ้ยเหรินเป็นพระญาติของไทเฮานี่เพคะ เช่นนั้นก็สมเหตุสมผลแล้ว”

“ยังต้องการให้เจิ้นปลดตำแหน่งเฟยของเจ้า ให้เจ้าเป็นนางกำนัลขั้นต่ำสุด”

หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้น สบสายตากับเซียวจิ่น เซียวจิ่นหัวเราะให้นาง “เช่นนี้เจ้าคิดว่าสมเหตุสมผลหรือไม่?”

หลินชิงเวย “นางกำนัลขั้นล่างสุด เช่นนี้ย่อมต้องถูกคนเล่นงานจนตายทุกนาที หากฝ่าบาทคิดว่าทำเช่นนี้แล้วเป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้วละก็ นับแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปก็ทำให้ข้าโกรธจนไม่มารักษาแล้วเพคะ”

ริมฝีปากของเซียวจิ่นอ้ากว้าง “การกระทำของเจ้าคือการข่มขู่ใช่หรือไม่ เพียงแต่เจิ้นเองก็รู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผล ไม่สู้ลดให้เจ้าเป็นเจาอี๋[1]ก็แล้วกัน”

นี่เขากำลังปรึกษาหารือกับนางใช่หรือไม่?

หลินชิงเวยเพียงแต่พยักหน้า “แล้วแต่ฝ่าบาทจะทรงเห็นสมควรเพคะ”

เซียวจิ่นกล่าวอีกว่า “ในเมื่อเจ้าแต่งเข้ามาในตำหนักในของเจิ้น ย่อมต้องเป็นสนมของเจิ้น เหตุใดต้องออกนอกลู่นอกทาง? หรือวังหลวงแห่งนี้ไม่ดีต่อเจ้า?”

เอ๊ะ คำถามนี้ถามเสียจนพี่สาวตอบไม่ได้ แต่ฮ่องเต้น้อยองค์นี้กลับถามคำถามไร้เดียงสาอย่างที่สุด ควรจะตอบอย่างไรดีนะ?

หลินชิงเวยกลับมากวาดตามองร่างของเซียวจิ่นอีกครั้ง กล่าวพร้อมกับร้อยยิ้มร้ายกาจว่า “ฝ่าบาททรงเข้าใจว่าชีวิตส่วนตัวของหม่อมฉันค่อนข้างไร้ระเบียบก็เป็นการดีแล้ว อย่างไรการแต่งเข้าวังมา จุดประสงค์หลักก็เพื่อเป็นการเสริมความเป็นสิริมงคลแก่ฝ่าบาท หากหม่อมฉันรักษาอาการประชวรของฝ่าบาทให้หายได้ ถึงเวลานั้นก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในวังหลวงแห่งนี้อีกต่อไป ยังต้องขอให้ฝ่าบาทปล่อยให้หม่อมฉันเป็นอิสระ หม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทก็คงไม่ยินดีที่จะเป็นอนุสามีคนหนึ่ง”

เซียวจิ่นกล่าว “หากเจ้ารักษาเจิ้นจนหายได้ ถึงเวลานั้นค่อยพูดกันเถิด” สายตาของเขาเลื่อนออกไป ไม่มองหลินชิงเวยอีกต่อไป แต่กลับไปตกอยู่เบื้องหลังร่างของหลินชิงเวย เห็นเซียวเยี่ยนที่เข้ามาแล้ว “เสด็จอามาแล้ว”

เซียวเยี่ยนพนักหน้า ตอบเรียบๆ ว่า “อื้อ”

หลินชิงเวยดึงเข็มเงินกลับมาทีละเล่ม แล้วจึงค่อยๆ ช่วยเซียวจิ่นสวมเสื้อผ้ากลับไป นางหยิบน้ำมาให้เซียวจิ่นบ้วนปาก

เซียวเยี่ยนเดินเข้ามา ถามว่า “ฝ่าบาทรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่?”

เซียวจิ่นกล่าว “เจิ้นดีขึ้นมาก พักผ่อนอีกสักครู่ก็ออกไปอนุมัติฎีกาได้”

หลินชิงเวยรู้สึกได้ว่าทันทีที่เซียวเยี่ยนเข้ามา คำพูดและน้ำเสียงของเซียวจิ่นรวมไปถึงสีหน้าท่าทางก็เปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้เขาคล้ายผู้ใหญ่คนหนึ่ง เวลานี้เมื่ออยู่ต่อหน้าเซียวเยี่ยนกลับเหมือนเด็กน้อยที่เชื่อฟังคนหนึ่ง

ไม่รอให้เซียวเยี่ยนเอ่ยปาก หลินชิงเวยตวัดสายตามองเขาพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ฝ่าบาททำได้เพียงนอนพักอยู่บนเตียงเท่านั้น เรื่องอื่นอย่าได้คิด รอให้ผ่านไปอีกสองวัน พิษในร่างกายของฝ่าบาทถูกขับออกจนหมดแล้ว ต้องอาบน้ำและแช่ตัวด้วยสมุนไพร ถึงเวลานั้นหากดีขึ้นแล้วค่อยพูดกัน หาไม่แล้วฝ่าบาทตัดสินใจเลือกเอาเองว่าจะมีชีวิตอยู่ถึงอายุสิบหกปีหรือหกสิบปี”

เมื่อหลินชิงเวยจริงจังขึ้นมา นางแทบจะไม่ให้เซียวจิ่นมีช่องว่างเพื่อปฏิเสธ

เซี่ยวเยี่ยนกล่าวว่า “ฟังนางก็แล้วกัน เรื่องเหล่านั้นรอให้ฝ่าบาทอาการดีขึ้นค่อยจัดการเถิด”

เซียวจิ่นกล่าว “เช่นนั้นวันนี้เจิ้นก็นอนพักอยู่นเตียง แต่ก็ยังอ่านฎีกาได้ อีกประเดี๋ยวเสด็จอาช่วยนำฎีกาในห้องทรงพระอักษรมาที่นี่เถิด”

เซียวเยี่ยนไม่พูดจา เขาหันไปมองหลินชิงเวย ราวกับรอคำตอบจากหลินชิงเวย

หลินชิงเวย “ฝ่าบาททรงขยันขันแข็ง เป็นห่วงไพร่ฟ้าประชาชนนั้นเป็นเรื่องดี ได้ก็ได้เพคะ เพียงแต่การทำงานและพักผ่อนต้องเป็นไปอย่างเหมาะสม”

เซียวจิ่นยิ้มให้นาง กล่าวว่า “มีเจ้าอยู่ข้างกายเจิ้น เจิ้นย่อมวางใจ ชิงเวย ท่านนี้คือ เซ่อเจิ้งอ๋อง ทั้งยังเป็นเสด็จอาของเจิ้น คิดดูแล้วพวกเจ้าน่าจะได้พบกันมาก่อนแล้ว แต่ต่อไปคงจะได้พบกันบ่อยขึ้น หากเจ้าไม่รังเกียจก็เรียกเขาว่าเสด็จอาเช่นเดียวกับเจิ้นเถิด”

“…” หลินชิงเวยมุมปากกระตุก หันไปมองใบหน้าบูดบึ้งงอง้ำของเซียวเยี่ยน ไม่อาจเอ่ยอะไรออกมาได้ชั่วขณะ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนเสียงหวานกับเขาว่า “เสด็จอาเพคะ”

ครั้งนี้มาถึงเซียวเยี่ยนบ้าง หลินชิงเวยเห็นขมับของเขากระตุกขึ้นครั้งหนึ่ง สายตาที่มองนางนั้นเคร่งขรึมขึ้นอีก “ไม่ต้อง เจ้ายังคงเรียกเปิ่นหวางว่า เซ่อเจิ้งอ๋อง”

“แต่ฝ่าบาททรงตรัสเช่นนี้แล้ว หม่อมฉันไม่อาจปฏิเสธได้เพคะ”

เซียวเยี่ยนย้ำเตือน “เจ้าควรจะแทนตนเองว่า เฉินเชี่ย[2]”

เซียวจิ่นกล่าวว่า “เจิ้นอนุญาตให้นางไม่ต้องถือธรรมเนียมปฏิบัติกับเจิ้นด้วยธรรมเนียมมารยาทระหว่างฮ่องเต้และขุนนาง”

หลินชิงเวยหันกลับมามองเซียวจิ่นตาปริบๆ เซียวจิ่นตกตะลึง นางค้นพบว่าเด็กน้อยคนนี้ยิ่งน่ารักขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

เซียวเยี่ยนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ประสงค์ดีว่า “เจ้าออกมากับเปิ่นหวาง” พูดแล้วก็หันกายก้าวยาวๆ ออกไปด้านนอกตำหนักบรรทม

หลินชิงเวยกล่าวพร้อมกับเลิกคิ้ว “ฝ่าบาทพักผ่อนเถิดเพคะ เสด็จอาเรียกหม่อมฉัน หม่อมฉันออกไปข้างนอกสักครู่เพคะ”

เซียวจิ่นพยักหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน จากนั้นมองเงาร่างด้านหลังของหลินชิงเวย เซียวเยี่ยนรออยู่หน้าประตูใหญ่ เงาร่างสูงและเตี้ยนั้นแตกต่างกันชัดเจนยิ่งนัก แต่กลับรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่ชัดเจนนัก แววตาของเซียวจิ่นพลันลุ่มลึกขึ้นเล็กน้อย ดูท่าแล้วระหว่างเสด็จอาและนางต้องมีเรื่องบางอย่างที่ยากจะพูดออกมา

เซียวเยี่ยนเดินมาหยุดอยู่ใต้เงาร่มของต้นไม้ด้านข้าง เขายืนอยู่ที่นั่นอย่างเย็นชา บริเวณใกล้เคียงไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมา นอกจากหลินชิงเวยที่เดินตามหลังมา

[1] เจาอี๋ คือ หนึ่งในตำแหน่ง “เก้าพระสนมเอก” ( จิ่วผิน) ชั้น 2 ชั้น เอก มีทั้งหมด 9 ตำแหน่ง และตำแหน่ง เจาอี๋ (ผู้งามเลิศยิ่ง) เป็นตำแหน่งที่ 1

[2] เฉินเชี่ย หมายถึง อนุภรรยา หรือเมียอื่นๆ ที่มิใช่ ชี (เมียหลวง) เฉินเชี่ย สามารถใช้คำว่า หม่อมฉัน แทนก็ได้