ตอนที่ 56 อัจฉริยะตระกูลถัง

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

ข่ายพลังขนส่งได้นำอวิ๋นเจี่ยวมายังหมู่บ้านเล็กบนเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นสถานที่ที่อยู่นอกเขตเมืองเสวียนแล้ว ชายชราที่ท่าทางเหมือนชาวนาคนหนึ่งรอพวกเขาอยู่บริเวณทางเข้าหมู่บ้าน เมื่อเห็นว่ามีคนหลายสิบคนปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก็รีบเดินเข้ามารับอย่างดีใจ 

 

 

“พวกท่านมาเสียที” ชายชรายิ้ม หันตัวเตรียมนำทุกคนเข้าหมู่บ้าน “รีบเชิญทุกท่านเข้าไปข้างในเถอะ มีพวกท่านอยู่ หมู่บ้านซื่อสือของพวกเราต่อไปคงจะสงบได้” 

 

 

“ท่านผู้เฒ่า ในหมู่บ้านเกิดเรื่องอะไรเหรอ” มีคนเดินขึ้นหน้าอย่างร้อนใจ ทุกคนถูกส่งมาที่นี่เพื่อทำการทดสอบ แต่เนื้อหารายละเอียดนั้นต้องค้นหาด้วยตัวเอง อีกทั้งเวลามีเพียงแค่สามวัน 

 

 

“ไม่ใช่หมู่บ้านของพวกเรา แต่เป็นภูเขาจี้ซานซานหลังหมู่บ้าน” ชายชราชี้ไปยังภูเขาที่อยู่บริเวณหลังหมู่บ้าน ก่อนที่จะเอ่ยเสียงทุ้มว่า “บนภูเขานั้นเดิมเป็นสุสานของบรรพบุรุษของคนในหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านจะขึ้นไปไหว้บรรพบุรุษตอนวันที่หนึ่ง หรือวันที่สิบห้า แต่เมื่อหลายเดือนก่อน บนภูเขากลับปรากฏสัมภเวสีผีเร่ร่อน เมื่อตกดึกก็จะออกมาทำร้ายคน ทำให้คนในหมู่บ้านไม่กล้าขึ้นไปบนนั้นอีก” 

 

 

ทุกคนต่างแสดงสีหน้าดีใจ ทันใดนั้นก็เข้าใจว่าบททดสอบของสนามที่สามก็คือการจับสัมภเวสีผีเร่ร่อนเหล่านั้น บางคนถึงกับรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “ท่านผู้เฒ่า เรื่องนี้รอช้าไม่ได้ รีบพาพวกเราไปดูเถอะ” 

 

 

ชายชราพยักหน้า หันหลังเดินนำทางไป ทุกคนต่างรีบเดินตามเข้าไปในหมู่บ้าน ไม่รู้คิดไปเองหรือไม่ อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกว่าหมู่บ้านนี้เย็นยะเยือกอย่างประหลาด เมื่อเทียบกับอากาศนอกหมู่บ้านแล้วดูหนาวเย็นลงไปไม่น้อย 

 

 

หมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใหญ่เท่าไร ดูจากบ้านเรือนแล้วยังมีไม่ถึงห้าหกสิบครอบครัว เมื่อเห็นศิษย์เสวียนเหมินจำนวนมากเข้ามาในหมู่บ้าน มีไม่น้อยคนที่เข้ามามุงดู สายตากวาดมองไปมาระหว่างพวกนาง มีทั้งสงสัย พินิจวิเคราะห์ และตื่นเต้น…? 

 

 

ชายชรานำทางทุกคนเดินเข้าไปด้านใน สุดท้ายหยุดลงที่หน้าภูเขาแห่งหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “นี่คือภูเขาจี้ซานซาน” 

 

 

นั่นเป็นป่าที่ต้นไม้หนาแน่น เนื่องจากเป็นทิศทางที่หันหลังให้ดวงอาทิตย์ ถึงแม้จะเป็นกลางวันก็ยังให้ความรู้สึกมืดมิดและเย็นยะเยือก บริเวณทางขึ้นภูเขายังมีข่ายพลังกักขังที่ติดยันต์ปราบมารไว้หลายที่ ดูท่าทางเป็นฝีมือของสำนักเทียนซือ ถึงแม้พวกเขาจะเอาที่นี่เป็นสนามสอบ แต่สิ่งสำคัญก็คือการรักษาความปลอดภัยของผู้คนในหมู่บ้านด้านล่าง 

 

 

ชายชราชี้ทางเสร็จก็กลับเข้าหมู่บ้านไป อาจเป็นเพราะสำนักเทียนซือได้กำชับเอาไว้ก่อน ก่อนจากไปชายชรายังบอกว่า บริเวณด้านล่างเขามีบ้านว่างหลายหลัง หากเหนื่อยแล้วสามารถพักผ่อนอยู่ที่นั่นได้ ในเมื่อเวลาสอบของพวกเขามีสามวัน 

 

 

ทุกคนเอ่ยขอบคุณ ถึงได้แยกย้ายกันมุ่งขึ้นเขาไป เวลานี้เป็นช่วงกลางวันพอดีเป็นช่วงที่แสงอาทิตย์เพียงพอที่สุด วิญญาณทั่วไปจะไม่ออกมาในเวลานี้ ดังนั้นคนส่วนใหญ่ที่ขึ้นไปก็เพื่อทำความคุ้นชินกับเส้นทางเท่านั้น 

 

 

มีแต่ชายแก่ที่ดูกระวนกระวาย ตั้งแต่เจอเจ้าหนูมาทุกครั้งที่ออกมาข้างนอกมักจะเป็นการกำจัดผี อีกทั้งทุกครั้งยังเป็นผีร้าย จนทำให้ตอนนี้กลายเป็นการตอบสนองโดยอัตโนมัติของเขาไปแล้ว กำยันต์ในมือแน่น กลัวว่าจะมีผีสาวโผล่ออกมาจากทางไหน ผลักอวิ๋นเจี่ยวเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าหนู เจ้าเห็นอะไรหรือไม่” 

 

 

“ไม่เห็น!” อวิ๋นเจี่ยวส่ายหัว เมื่อเทียบกับสองครั้งก่อน ในป่านี้มันช่าง…สะอาด? แม้แต่พลังสีดำของผียังมองไม่เห็น นางอดสงสัยไม่ได้ว่า สำนักเทียนซือออกโจทย์ผิดหรือเปล่า 

 

 

ชายแก่โล่งใจอย่างมาก “ไม่มีก็ดี” ไม่มีก็แสดงว่า บนภูเขานี้ไม่มีผีร้าย ดังนั้นจึงไม่สามารถปรากฏตัวในตอนกลางวันได้ 

 

 

พวกเขาเดินวนบนภูเขาอยู่รอบหนึ่ง แต่ก็ไม่พบอะไร ในใจยิ่งรู้สึกโล่งมากขึ้น เซ่าเซี่ยนเสนอให้ลงเขาไปพักผ่อนในบ้านหลังเล็กก่อน พอตกดึกค่อยขึ้นเขาปราบผี คนที่เหลือก็ไม่มีปัญหา พากันลงจากเขาไป ระหว่างทางเจอกับกลุ่มอื่นบ้าง ดูท่าทางทุกคนก็ไม่ได้อะไรกลับมาเหมือนกัน 

 

 

ทั้งสี่คนเดินเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ภายในบ้านไม่มีของตกแต่งอะไร มีเพียงหญ้าแห้งที่ปูเอาไว้บนพื้น พวกเขาถือว่าลงมาเร็ว คนที่กลับมายังไม่มาก มีเพียงแค่สิบกว่าคน กำลังรวมตัวกันหารืออะไรบางอย่าง พวกนางก็ไม่ได้สนใจมาก กำลังจะนั่งลงพักผ่อนบนพื้น เซ่าเซี่ยนกลับตะลึงไปพักก่อนจะมองยังคนด้านขวา พร้อมเรียกอย่างดีใจ “ศิษย์พี่ถังเฉิน ทำไมท่านก็มาอยู่ที่นี่” 

 

 

คนอื่นต่างผงะไป มองไปยังทางเซ่าเซี่ยน พบว่าบริเวณหน้าต่างทางด้านขวามีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังหันหน้ามา โอ๊ะ คนคุ้นเคย นี่มันไม่ใช่ชายหนุ่มที่ถูกอวิ๋นเจี่ยวฟันเงินไปสามร้อยตำลึงเมื่อหลายวันก่อนหรอกเหรอ 

 

 

ทางกลุ่มของไป๋อวี้อึ้งไป ตอนแรกคนเยอะไปไม่ทันสังเกต ไม่คิดว่าเขาก็มายังสนามสอบรอบที่สามด้วย อีกทั้งยังถูกแบ่งให้อยู่กลุ่มเดียวกันอีก ช่างเป็นโชคชะตาที่ดีอะไรเช่นนี้! 

 

 

“ศิษย์พี่ถัง ไม่คิดว่าท่านก็มาขึ้นทะเบียน เจ้าตระกูลนึกว่าท่านหายตัวไป กำลังหาท่านไปทั่ว!” เห็นได้ชัดว่าเซ่าเซี่ยนรู้จักอีกฝ่าย เดินเข้าไปใกล้อย่างร้อนรน 

 

 

ถังเฉินมองเห็นกลุ่มของอวิ๋นเจี่ยวก่อนจะขมวดคิ้ว จากนั้นถึงได้กวาดสายตามองเซ่าเซี่ยนที่อยู่ตรงหน้า “เจ้าคือ…ศิษย์ใหม่ที่ท่านอาวุโสสามเพิ่งรับเข้าไป?” 

 

 

“ใช่ ข้าชื่อเซี่ยน!” เขาพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยต่อ “ศิษย์พี่ถัง ท่านจากไปอย่างไม่ได้บอกกล่าวใคร คนในตระกูลถังต่างเป็นห่วงท่านมาก” 

 

 

คิ้วของถังเฉินยิ่งขมวดหนักมากขึ้น จ้องมองเขาราวกับโกรธเคือง ก่อนจะเอ่ย “ไม่ต้องมายุ่ง! ศิษย์นอกตระกูลอย่างเจ้าคิดจะมาคุมข้าหรือไง” 

 

 

“ไม่ใช่ ศิษย์พี่ถังท่านเข้าใจผิด…” เซ่าเซี่ยนถูกเขาตอกกลับจนงงงวย กำลังจะอธิบาย 

 

 

“ไม่ต้องพูด!” อีกฝ่ายขัดคำพูดของเขา “ข้าตัดสินใจเองได้ เจ้ามาขึ้นทะเบียนไม่ใช่เหรอ ตั้งใจทำข้อสอบของเจ้าก็พอ!” 

 

 

“อ่อ…” เห็นเขาทำหน้าไม่สบอารมณ์ เซ่าเซี่ยนจึงทำได้เพียงพยักหน้า ไม่เอ่ยต่อ 

 

 

แต่ทางถังเฉินเงยหน้ากวาดตามองกลุ่มอวิ๋นเจี่ยว สีหน้ายิ่งดำลงไป อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม “ทำไมเจ้าถึงไม่จับกลุ่มกับศิษย์ตระกูลถัง” ตามหลักแล้วศิษย์ตระกูลถังเข้าร่วมการขึ้นทะเบียนไม่รีบร้อน ปกติแล้วจะจับกลุ่มกันเองอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องหลีกเลี่ยงกลุ่มคนพวกนั้น ไม่คิดว่าจะเจอคนที่ไม่ปกติ 

 

 

“อ่อ พวกเขาเป็นเพื่อนของข้า เป็นการยากที่จะได้เจอพวกเขา จึงตัดสินใจจับกลุ่มด้วยกัน” เซ่าเซี่ยนอธิบาย มองไปยังรอบตัวเขาไม่เห็นเพื่อนร่วมกลุ่ม อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ถังยังไม่จัดกลุ่มเหรอ อย่างนั้น…มาอยู่กลุ่มเดียวกับพวกข้าหรือไม่” 

 

 

“ไม่ต้อง!” ถังเฉินปฏิเสธทันควัน เขายังจำสามร้อยตำลึงนั้นได้ พูดจบก็กวาดตามองทั้งสามคนเป็นเชิงเตือน อีกทั้งยังกำชับเซ่าเซี่ยนว่า “จับกลุ่มกับพวกเขา…เจ้าเองก็ระวังหน่อยเถอะ!” 

 

 

เซ่าเซี่ยนฟังน้ำเสียงเสียดสีของเขาไม่ออก ชี้ไปทางอวิ๋นเจี่ยวแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่วางใจเถอะ สหายอวิ๋นเก่งกาจมาก” 

 

 

“เจ้าระวังตัวเอง!” ถังเฉินส่งเสียงเย็นในลำคอ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป ก้าวขาออกไปได้สองก้าวก็ชะงักลง ก่อนจะหันกลับมาถาม “อวิ๋น! เจ้าบอกนางแซ่อวิ๋น?” 

 

 

เซ่าเซี่ยนตกใจในปฏิกิริยาของเขาจนถอยออกไปหนึ่งก้าว ก่อนจะพยักหน้า 

 

 

ถังเฉินตาเบิกโตยิ่งขึ้น มองไปยังอวิ๋นเจี่ยวอย่างเหลือเชื่อ “เจ้าคืออวิ๋นเจี่ยว? ได้ที่หนึ่งในสนามสอบสอง?!” 

 

 

“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า แปลกเหรอ 

 

 

ถังเฉินผงะไปสักครู่ ในดวงตาของเขามีอารมณ์ที่ซับซ้อนแวบผ่านไป ราวกับโกรธเคือง แต่ก็ราวกับไม่ยอม จ้องมองนางเขม็งอยู่ชั่วครู่ ถึงได้ส่งเสียงเย็นในลำคอเสียงหนึ่ง “ฮึ! เจ้ารอก่อนเถอะ!” พูดจบก็หันหลังเดินจากไปด้วยสีหน้าโกรธเคือง 

 

 

อวิ๋นเจี่ยว “…” 

 

 

อะไรกัน นางได้ที่หนึ่งทำให้เขาไม่พอใจเหรอ