แต่ฟางเจิ้งก็ยังถามระบบก่อน “ว่ายังไง?”
“แรงงานแลกค่าตอบแทน สมเหตุผล”
ดังนั้นฟางเจิ้งที่เป็นมะเร็งขี้เกียจระยะสุดท้ายจึงพยักหน้า “ได้”
“ถัง ถัง ถัง ไต้ซือถังอยู่ไหน? ผมจะเอาถังใหญ่!” พั่งจื่อได้ยินดังนั้นก็ดีใจ หิวไม่เป็นไร ตอนนี้แค่อยากกินน้ำ!
แก๊ง!
ฟางเจิ้งเอาถังใหญ่ที่เขาแบกน้ำออกมาจากห้องครัว ถังเหล็กใหญ่สูงหนึ่งเมตรสอง กว้างครึ่งเมตรวางอยู่ตรงหน้าพั่งจื่อ
พั่งจื่อที่เพิ่งตื่นเต้นดีใจพลันตะลึงค้าง ชี้ถังน้ำพลางว่า “ไต้ซือ ท่านหยิบผิดถังรึเปล่า? แน่ใจนะว่านี่ไม่ใช่โอ่งน้ำ?”
ฟางเจิ้งชี้โอ่งน้ำที่ใหญ่กว่าในครัว “นั่นคือโอ่งน้ำ โยมจะลองหน่อยไหมล่ะ?”
พั่งจื่อชำเลืองตามองโอ่งน้ำแวบหนึ่ง พลันมีสีหน้าขมขื่นแอบด่าทอในใจ‘ไอ้เวร! นั่นมันโอ่งน้ำเรอะ? นั่นคือโอ่งน้ำบ้านแกเรอะ? นี่มันยังกับอ่างอาบน้ำ? คุณพั่งลงไปว่ายน้ำยังได้เลย!’
ฟางเจิ้งย่อมเข้าใจความลำบากของพั่งจื่อ แต่ก็ยังพูดเสริมด้วยความชั่วร้าย “ถังนี่ใหญ่ที่สุดแล้ว ถ้าโยมไม่ชอบที่มันยังเล็กไป ก็แบกโอ่งน้ำลงไปเถอะ”
“ไม่เล็กแล้วๆ” พั่งจื่อรีบตอบ จากนั้นลองยกถังน้ำดูเหล็กดู ไม่ถือว่าหนัก และก็ไม่เบา แบกคนนึงยังพอไหว แต่ว่าหากมีน้ำด้วย…พั่งจื่อหน้าสลดทันที ทั้งยังชำเลืองตามองโหวจื่อแวบหนึ่ง โหวจื่อกำลังเอาสองมือล้วงกระเป๋า ผิวปาก มองฟ้า ทำเหมือนมองไม่เห็น ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น
พั่งจื่อเดินเข้าไปเตะก้นโหวจื่อทีหนึ่ง “นายอยากกินน้ำไหม? ถ้าอยากก็ทำงาน ไม่งั้นฉันเอาน้ำกลับมาแล้ว นายอย่าได้กิน!”
โหวจื่อถึงกล่าว “ไต้ซือ พวกเราต้องตักน้ำกลับมาเท่าไหร่ถึงจะให้น้ำกินเหรอครับ?”
ฟางเจิ้งชี้โอ่งพุทธพลางตอบ “เติมเต็มโอ่งก็พอ”
ห้าคนเข้าไปใกล้ มองไปข้างในก็ต้องผงะ! โอ่งน้ำนี่ใหญ่มาก มองจากข้างในใหญ่ยิ่งกว่า!
โหวจื่อกลืนน้ำลายลงคอ “นี่ต้องใช้กี่ถังถึงจะเต็มครับ?”
ฟางเจิ้งตอบ “ประมาณสิบถัง”
“ไต้ซือ ปกติท่านแบกน้ำขึ้นมายังไง?” พั่งจื่อไม่ยอมจึงคิดหาทางลัด ไม่คิดว่าหลวงจีนสุภาพเรียบร้อยแบบนี้จะแบกน้ำขึ้นลงเขาคนเดียว ส่วนหมาป่านั่น ถึงจะมีร่างกายแข็งแรง แต่หมาป่าก็ยังเป็นหมาป่า ไม่ใช่วัวม้า มีกระดูกสันหลังอ่อนโดยธรรมชาติ ไม่มีทางมีกำลังเติมน้ำเต็มโอ่งด้วยตัวเองแน่
ฟางเจิ้งตอบ “แบกเอา”
“ท่านคนเดียวเหรอ?” ทุกคนอึ้งไป
ฟางเจิ้งพยักหน้า “หมาป่าเดียวดายช่วยด้วยบ้าง”
ทุกคนมึนงงเล็กน้อย ถังใหญ่ขนาดนี้กับหลวงจีนผอมบาง มองเดี่ยวๆ ก็ดูปกติมาก แต่พอเอามารวมกันกลับไม่เข้ากันเล็กน้อย
“พวกโยมยังจะตักน้ำอีกไหม? ถ้าจะตักก็รีบหน่อย ขึ้นลงเขาไม่ง่ายนะ” ฟางเจิ้งถาม
“ว่ายังไง? จะทำไหม?” พั่งจื่อถามโหวจื่อ
“ไปเหอะหน่า แบกถังใหญ่ด้วยกัน! ขึ้นลงเขาก็เหนื่อยพอแล้ว รอบนึงหนึ่งถังใหญ่ว่าไง?” พั่งจื่อด่ายิ้มๆ
โหวจื่อลังเลเล็กน้อย แต่เห็นแววตาปรารถนาของหลูเสียวอ่าแล้ว ตอนนี้จะยอมแพ้ไม่ได้ จึงตอบตกลง ไม่ต้องใช้ไม้หามแล้ว แต่แบกหนึ่งถังน้ำใหญ่คนละข้างลงเขาไป
เจียงถิง หลูเสียวอ่า หร่วนอิ่งเห็นดังนั้นก็หยิบอ่างเล็ก เดินตามไป หลูเสียวอ่าหัวเราะ หยิบแก้วน้ำไปด้วยหนึ่งแก้ว…
เห็นดังนั้นฟางเจิ้งก็พูดไม่ออก มีคนที่คิดไม่ซื่ออยู่จริงๆ…
ฟางเจิ้งไม่สนว่าพวกเขาจะขึ้นมาเมื่อไร ข้าวอยู่ในหม้อแล้ว การหุงข้าวหม้อใหญ่ใช้เวลานานมาก อีกอย่างฟางเจิ้งก็หุงข้าวได้ไม่แย่นัก รู้ว่าเมื่อไรต้องใช้ไฟอ่อน เมื่อไรใช้ไฟแรง คุมไฟสลับกันเลยหุงมาเป็นข้าวที่อร่อยที่สุด วิชานี้เขาเรียนมาจากหลวงจีนหนึ่งนิ้ว บนเขาลำบาก หลวงจีนหนึ่งนิ้วจึงหาของอร่อยมาเติมเต็มความตะกละของฟางเจิ้งไม่ได้ ดังนั้นจึงฝึกฝนฝีมือในการทำอาหารอันร้ายกาจของตัวเอง
แน่นอนว่ามีขีดจำกัดอยู่ที่การทำอาหารและข้าวง่ายๆ สองสามอย่าง ส่วนที่เหลือ ถึงเขาอยากจะศึกษาก็ซื้อวัตถุดิบมาฝึกมือไม่ได้
ฟางเจิ้งปรับให้เป็นไฟอ่อน จากนั้นเดินมาที่ใต้ต้นโพธิ์ในลาน อ่านพุทธคัมภีร์อย่างสงบ
พุทธคัมภีร์ไม่ใช่ฉบับเต็ม ฉบับเต็มคืออะไรฟางเจิ้งไม่รู้ เพราะมันหายไปครึ่งหนึ่งนานแล้ว ไม่มีตอนต้นและตอนท้าย มองไม่ออกด้วย แต่ในนี้มีบทหนึ่งเป็นบททำวัตรเช้า สวดแล้วก็ไพเราะดี อีกทั้งตอนสวดจะทำให้จิตใจสงบ รู้สึกสบายใจไปทั้งตัว
อีกอย่างก็ไม่มีอะไรทำจริงๆ จึงอ่านเป็นร้อยรอบ ได้รู้ความหมายของมัน และยังได้ทบทวนของเก่าจึงเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ใต้ภูเขา ในที่สุดพวกพั่งจื่อกับโหวจื่อก็มาถึงจุดน้ำพุ พั่งจื่อพลันตบเข้าที่หน้าผาก เอ่ยขึ้น “เดี๋ยว นี่พวกเราโง่รึเปล่า? น้ำของหลวงจีนนั่นก็มาจากตรงนี้นี่ พวกเราจะตักน้ำให้เขาทำไมกัน? ที่นี่ก็มี พวกเรานอนกินในนี้ยังได้! จะตักน้ำขึ้นไปทำไม!”
พวกโหวจื่อพลันรู้ตัว “ใช่! พวกเราจะแบกน้ำทำไมกัน จะเหนื่อยไปทำไม กินเลยเถอะ!”
ดังนั้นห้าคนจึงโห่ร้องพร้อมพุ่งไปยังน้ำพุ ไม่ต้องใช้ถังน้ำแล้ว แต่เหมือนกับม้าป่าไร้บังเหียน
พั่งจื่อหัวเราะเสียงดัง “โหวจื่อ นายว่าถ้าเอาน้ำนี้ไปทำน้ำแร่จะขายได้เป็นกอบเป็นกำไหม?”
“ต้องได้อยู่แล้ว!” โหวจื่อดวงตาเปล่งประกาย!
“กลับไปรวมเงินแล้วทำกันเถอะ! พวกเราจะรวยแล้ว ฮ่าๆ…หลวงจีนเวรนั่น เฝ้าขุมทรัพย์ไว้ไม่ยอมใช้ สมน้ำหน้า! พวกเราให้พันหยวนต่อชามยังไม่ให้ ตอนนี้ฉันจะไม่แบ่งเขาแม้แต่เหมาเดียว แถมจะกินให้หนำใจด้วย! รอฉันได้รับเหมาน้ำพุนี่ก่อนเถอะ ฉันจะให้เขาจ่ายเงินค่าน้ำนี่! ชามละพันหยวน!”
“พั่งจื่อ อย่าคิดน้อยแบบนั้นสิ ฉันว่าพันห้ากำลังดี” โหวจื่อหัวเราะ
สองคนต่างหัวเราะ สามสาวก็หัวเราะเช่นกัน เจียงถิงว่า “ไต้ซือนั่นน่ารังเกียจจริงๆ”
หลูเสียวอ่าหัวเราะหึหึ “แต่เขาไม่ฉลาดเอาเลยนะ ไม่คิดเลยว่าจะบอกที่ซ่อนสมบัติกับพวกเราแบบนี้ พวกเราจะรวยแล้ว แต่เขาก็ยังจนอยู่…”
ทุกคนหัวเราะ จนเดินมาถึงริมน้ำพุ ใครมีอ่างก็ใช้อ่าง มีแก้วใช้แก้ว พั่งจื่อนอนหมอบอยู่ข้างตาน้ำพุ ชะเง้อหน้าเข้าไปกิน ส่วนโหวจื่อนั่งยองอยู่ตรงนั้น ใช้สองมือตักน้ำขึ้นมากิน…
หลายนาทีต่อมา รอยยิ้มทุกคนแข็งค้าง
จากนั้นยืนขึ้นพร้อมกัน พ่นน้ำออกมา
“นี่มันอะไรกัน? ทำไมน้ำถึงรสชาติแย่ขนาดนี้?” พั่งจื่อร้องขึ้นด้วยอาการไม่ดีที่สุด
“พั่งจื่อ อย่าพูดซี้ซั้ว มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่นายพูดสักหน่อย ดีกว่าน้ำแร่ที่เรากินก่อนหน้านี้อีก แต่เทียบกับน้ำของไต้ซือแล้วอยู่คนละชั้นกันเลย” เจียงถิงเอ่ยด้วยความกลัดกลุ้ม
“เอาเถอะ เมื่อกี้ยังบอกว่าเขาโง่อยู่เลย ตอนนี้ดูแล้วเขาไม่โง่เลยนะ! บอกที่อยู่พวกเราที่ไม่ใช่ที่ที่เขาไปตักน้ำ” หลูเสียวอ่าพูดด้วยความเศร้า
หร่วนอิ่งว่า “ถ้างั้นตอนนี้พวกเราเอาไงดี? จะตักน้ำรึเปล่า?”
“ไหนๆ ก็มาแล้ว ถ้าไม่ได้กินอีกอึกฉันไม่ยอมจริงๆ! อีกอย่างพอขึ้นไปแล้วจะต้องถามหน่อยว่าน้ำของหลวงจีนนั่นมันอะไรกันแน่ ทำไมถึงอร่อยขนาดนั้น! ในนั้นจะต้องมีอะไรปิดบังแน่ ถ้าเขาตักน้ำด้วยตัวเองได้ ก็คงไม่ให้พวกเราแบกน้ำพุนี่ขึ้นไปหรอก” พั่งจื่อแค่นเสียงดังหึหึ
…………………….